สตีจ์อาร์นาน เอฟซี: สโมสรจากไอซ์แลนด์ที่โด่งดังจากการสร้างสรรค์ท่าฉลองประตู

สตีจ์อาร์นาน เอฟซี: สโมสรจากไอซ์แลนด์ที่โด่งดังจากการสร้างสรรค์ท่าฉลองประตู

สตีจ์อาร์นาน เอฟซี: สโมสรจากไอซ์แลนด์ที่โด่งดังจากการสร้างสรรค์ท่าฉลองประตู
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล” เป็นกีฬาที่การทำประตูคือเป้าหมายสำคัญ ซึ่งบางครั้งเพียงแค่ประตูเดียว ก็อาจตัดสินผลแพ้ชนะได้ ทำให้ทุกครั้งที่มีสกอร์ ผู้เล่นส่วนใหญ่มักจะฉลองด้วยท่าดีใจ อาจจะง่ายบ้าง มีเอกลักษณ์บ้าง แตกต่างกันไป

ทว่าเมื่อย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน มีทีมจากไอซ์แลนด์ที่ทำลายทุกข้อบัญญัติของการฉลองประตู เพราะมันไม่ใช่แค่ท่าดีใจธรรมดา แต่เป็นท่าที่เหมือนกับเรื่องราวๆสั้นๆและเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์  ไม่ว่าจะเป็น “แรมโบ” “แซลมอน” “ห้องน้ำมนุษย์” หรืออื่นๆอีกมากมาย 

พวกเขาคือ สตีจ์อาร์นาน เอฟซี (Stjarnan FC) และนี่คือเรื่องราวของพวกเขา

ลีกที่แทบไม่มีใครรู้จัก 

เหนือขึ้นไปจากเกาะอังกฤษ ใกล้กับเกาะกรีนแลนด์ เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีเกาะพื้นที่บางส่วนปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งตั้งอยู่ มันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บที่รู้จักกันในชื่อ “ไอซ์แลนด์” 


Photo : www.66north.com

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ประเทศขนาดใหญ่ ด้วยประชากรเพียงราว 360,000 คน แต่การตั้งอยู่ในทวีปที่เป็นเหมือนเมืองหลวงของฟุตบอลอย่างยุโรป ทำให้เกมลูกหนังเป็นหนึ่งในกีฬาที่ได้รับความนิยมของประเทศ (แต่ยังเป็นรองแฮนด์บอล) 

พวกเขาถือเป็นหนึ่งในชาติที่ส่งออกนักฟุตบอลมาประดับวงการได้อย่างต่อเนื่อง ที่ต่างกระจายตัวไปโชว์ฝีเท้าในลีกดังของยุโรป ทั้งพรีเมียร์ลีก, บุนเดสลีกา, กัลโช เซเรียอา หรือลีกเอิงของฝรั่งเศส 

ในขณะเดียวกัน ทีมชาติของพวกเขาก็มีการพัฒนาการอย่างก้าวกระโดด หลังเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในยูโร 2016 ที่ฝรั่งเศส ก่อนจะผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ในศึกที่รัสเซียเมื่อปี 2018 

อย่างไรก็ดี สิ่งเหล่านี้สวนทางกับลีกในประเทศ เพราะแม้ว่า Úrvalsdeild ลีกสูงสุด หรือที่รู้จักกันในนาม “เป๊บซี ลีก” จะมีอายุนับ 100 ปี หลังก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1912 แต่มันแทบจะไม่ได้รับความนิยมมากนัก 

ด้วยความที่มันเป็นลีกสมัครเล่น ที่นักเตะหลายคนยังต้องทำอาชีพอื่นเพื่อเลี้ยงชีพ และรูปแบบการแข่งขันที่สั้นเพียงแค่ 5 เดือน ทำให้คนในท้องถิ่น ชื่นชอบที่จะติดตามลีกเพื่อนบ้านอย่างพรีเมียร์ลีกของอังกฤษมากกว่า 


Photo : www.fck.dk

แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อปี 2010 ได้มีทีมหนึ่งที่ชื่อว่า สตีจ์อาร์นาน เอฟซี (Stjarnan FC) ช่วยปลุกกระแสลีกฟุตบอลไอซ์แลนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และมันไม่ได้มากจากลีลาการเล่นที่ตื่นตา หรือมีนักเตะชื่อดังอยู่ในทีม แต่ดันมีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากคนอื่น 

นั่นคือฉลองการทำประตูที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร 

 

ท่าดีใจสุดสร้างสรรค์ 

ในเกมพบเคฟลาวิค เมื่อฤดูกาล 2010 มันอาจจะดูเหมือนเป็นแค่เกมธรรมดาเกมหนึ่งของ สตีจ์อาร์นาน สโมสรเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ชานเมืองเรคยาวิค แต่หลังจาก ฮัลดอร์ ออร์รี บยอร์นสัน ดาวยิงของทีมในตอนนั้น ซัดประตูแรกให้ทีมออกนำ ความบันเทิงก็เกิดขึ้น 


Photo : www.groundhopping.se

เขาฉลองประตูด้วยการวิ่งไปหาเพื่อนร่วมทีม แล้วต่อยเข้าไปที่หน้าแบบหลอกๆ จนล้มลง จากนั้นจึงทำมือเป็นรูปปืน แล้วเล็งไปที่เพื่อนร่วมทีมที่วิ่งเข้ามาพร้อมกับทำท่ายิงที่ทำให้ทั้งหมดค่อยๆล้มลง ก่อนจะปิดท้ายด้วยการวิ่งไปที่วงกลมกลางสนาม นอนลงแล้วทำท่าเล็งปืนราวกับสไนเปอร์ 

ก่อนที่ท่า “แรมโบ้” ความยาว 15 วินาที จะทำให้ทีมโด่งดังไปทั่วประเทศ เมื่อท่าดีใจของพวกเขาถูกฉายซ้ำทางสถานีโทรทัศน์ ก่อนที่จะได้รับการพูดถึงกันแบบปากต่อปาก 

“ผมได้ไอเดียตอนที่ไปทัวร์ตกปลากับพ่อในช่วงหน้าร้อน ผมแทบไม่ได้ปลาเลย ผมจึงมีเวลาคิดเหลือเฟือ” บยอร์นสันย้อนความทรงจำกับ ESPN

แต่นั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อหลังจากนั้น บยอร์นสันรับบทฮีโร่ของทีม ยิงประตูชัยในนาทีที่ 90 แน่นอนว่าจะฉลองแบบธรรมดาไม่ได้อีกแล้ว และท่า “แซลมอน” ที่กลายเป็นส่วนผสมระหว่างความบันเทิงและประสิทธิภาพก็เกิดขึ้น 

เขาเริ่มด้วยการทำท่าเหวี่ยงเบ็ด จากนั้น โยฮัน ลักซ์ดาล เพื่อนร่วมทีมก็แปลงร่างเป็นปลา ด้วยการนอนลงบนพื้น แล้วเคลื่อนตัวเข้ามาหาในลักษณะเหมือนกับปลาติดเบ็ด ก่อนที่ บยอร์นสัน และเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนจะจับลักซ์ดาลอุ้มขึ้นมาให้บัลด์วิน สเตอร์ลูสัน ทำท่าถ่ายรูป

คำว่า ลักซ์ ในภาษาไอซ์แลนด์ มีความหมายว่าแซลมอน นั่นคือเหตุผลว่าทำไม ลักซ์ดาล จึงได้รับบทนี้จาก บยอร์นสัน แถมเขายังทำได้อย่างไม่มีที่ติ จนทำให้คลิป “แซลมอน” ของพวกเขาถูกรับชมถึง 1 ล้านครั้งบนยูทิวบ์ 

“มันก็แค่ความเคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติ มีคนบอกว่าผมอัจฉริยะ คุณจะพูดแบบนั้นก็ได้” ลักซ์ดาลหัวเราะ  

และไม่ใช่แค่ในอินเตอร์เน็ตเท่านั้น เมื่อหลังจากนั้น ท่าดีใจของพวกเขาได้รับการพูดถึงอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์จาก ฝรั่งเศสและเบลเยียม หรือนักข่าวจากออสเตรีย บราซิล นอร์เวย์ เม็กซิโก ก็พากันทำข่าวนี้ 

“หลังจาก  'The Fish’ เราก็ดังจนหยุดไม่อยู่” ลักซ์ดาลกล่าวต่อ 

“เหตุผลเดียวที่เราทำมันก็เพราะตัวเราเองและแฟนของเรา มันค่อนข้างยากที่จะรับมือกับปฏิกิริยานี้”

แม้ฟังอาจจะดูกดดัน แต่พวกเขาก็ไม่หยุดแค่นั้น 

โด่งดังไปทั่วโลก 

“เราเป็นกลุ่มที่สนิทกัน มันจึงเป็นแค่การทำไปด้วยกัน”  ลักซ์ดาลกล่าวกับ ESPN 


Photo : stevenmcnamara4.wordpress.com

หลังจากแซลมอนถูกพูดถึงในวงกว้าง สตีจ์อาร์นาน ก็ปล่อยท่าดีใจของพวกเขาออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ห้องน้ำมนุษย์, หิมะ, จักรยาน, ระเบิด, พายเรือ, เต้นรำ ที่ล้วนเรียกเสียงฮาแก่ผู้รับชม แต่หนึ่งในท่าที่ถูกฉายซ้ำบ่อยที่สุดคงจะเป็นท่า “การให้กำเนิด” 

มันเป็นท่าที่ดูเหมือนง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่เต็มไปด้วยจินตนาการ หลังจาก บยอร์นสัน ยิงประตูได้ เขาเริ่มด้วยการเอาลูกบอลใส่เข้าไปในเสื้อแล้วนอนลงพร้อมยกขาขึ้นจากนั้นเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนก็วิ่งเข้ามาแล้วแสดงเป็นขาหยั่ง ก่อนที่ลักซ์ดาล คู่หูของเขาจะมาเป็นหมอทำคลอด เอาลูกบอลที่เปรียบเสมือนเด็กออกมา แล้วชูขึ้นบนอากาศ ท่ามกลางเพื่อนร่วมทีมที่ให้กำลังใจ 

“เหมือนกับในภาพยนตร์ไลออนคิง หญิงคนหนึ่งที่มาจากอเมริกาที่เล่นให้ทีมหญิงของ สตีจ์อาร์นาน เป็นต้นกำเนิดของไอเดียนี้” บยอร์นสสัน กล่าว

แน่นอนว่าการปล่อยท่าดีใจมาเรื่อยๆเช่นนี้ ทำให้พวกเขาโด่งดังเป็นพลุแตก มีสื่อและสถานีโทรทัศน์มากมายจากทั่วโลก เข้ามาสัมภาษณ์ และทำให้ไอซ์แลนด์ กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น ในยุคที่ทีมชาติไอซ์แลนด์ ยังไม่เคยผ่านเข้าไปเล่นในรายการระดับเมเจอร์ 

อันที่จริงก่อนหน้านั้น สตีจ์อาร์นาน ไม่ได้เป็นทีมที่มีชื่อเสียงแม้แต่ในประเทศ พวกเขาทีมกึ่งอาชีพเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ที่เมืองกาเดอร์แบร์ ชานเมือง เรคยาวิค ที่มีประชากรราว 10,000 คน และสนามรองรับความจุได้เพียง 1,298 คน เท่านั้น 

“ลีกไอซ์แลนด์ยังไม่ได้เป็นลีกอาชีพ แม้ว่าผู้เล่นบางคนจะมีเงินเดือน แต่รายได้ที่ได้รับไม่พอสำหรับการดำรงชีวิต นักเตะของสตีจ์อาร์นานส่วนใหญ่เป็นนักเรียนและมีงานอื่นนอกจากฟุตบอล เรามีครู ช่างไฟฟ้า และคนที่ทำงานไอทีให้สโมสร” คริสตินน์ อินกิ ลารุสสัน ผู้ช่วยผู้จัดการทีมกล่าวกับ Goal 

ในขณะเดียวกัน “แซลมอน” ของพวกเขายังถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย ตั้งแต่การแข่งขันของเด็กอายุไม่เกิน 10 ปีในไอซ์แลนด์ ไปจนถึงอเมริกาใต้และญี่ปุ่น และมีแฟนๆทั่วโลกมากมายรอชมผลงานของพวกเขา  

“เราไม่เคยจินตนาการเลยว่าจะมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้น การฉลองเป็นแค่การสื่อให้เห็นว่าพวกนักเตะสนุกกับฟุตบอลมากแค่ไหน การถูกพูดถึงขนาดนี้ ทำให้เราประหลาดใจพอสมควร” ลารุสสันกล่าวต่อ 

“มันทำให้สโมสรได้รับความสนใจมากอย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่ไอซ์แลนด์แต่รวมไปถึงต่างประเทศ เราเคยไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์และออกโทรทัศน์ทั่วโลก ผมคิดว่าสโมสรและนักเตะมีแฟนทั่วโลกจากท่าดีใจของเรา”

อย่างไรก็ดี ท่าดีใจของพวกเขา ไม่ใช่แค่ความบันเทิงเท่านั้น เพราะมัน มันยังช่วยสร้างขวัญกำลังใจและความกระหายในการยิงประตู รวมไปถึงปลุกจิตวิญญาณของทีมขึ้นมา 


Photo : www.betacademy.com

“แน่นอนเราสนุกที่ได้เห็นพวกเด็กๆทำมัน การฉลองหลังยิงประตูคือรางวัลที่ได้รับในฐานะทีม สิ่งนี้ทำให้สภาพจิตใจเราดีมากในทีม” ลารุสสัน อธิบาย

“เราไม่เคยซ้อมมันอย่างจริงจัง ส่วนใหญ่จะมีบางคนมาบอกไอเดียและคุยกันในทีม เราอาจจะลองครั้งหนึ่งเพื่อดูว่ามันเวิร์คมั้ย แต่ก็แค่นั้น พวกเด็กๆ เสนอไอเดียบ้าๆขึ้นมา แล้วแค่ลองทำดูในเกมที่กำลังมาถึง” 

เช่นเดียวกับ บียาร์นี โยฮันสสัน โค้ชของทีมในตอนนั้นที่เห็นด้วยในเรื่องดังกล่าว และนั่นคือเหตุใดที่เขายอมให้ลูกทีมทำอะไรอย่างนี้ 

“การฉลองทำให้เรามีจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นเล็กน้อยกับเกม” โยฮันสสัน กล่าวกับ ESPN

“ผมคิดว่าจิตวิญญาณเหล่านี้ทำให้เราทำแต้มได้มากมาย เรามีช่วงเวลาที่ยากลำบากในช่วงกลางฤดูกาลตอนที่เราขายนักเตะที่เก่งที่สุดของทีมออกไป และผู้เล่นตัวหลัก 2-3 คนได้รับบาดเจ็บ เราจึงต้องการสิ่งนี้”

อย่างไรก็ดี มันอาจจะไม่ได้มีแค่นั้น 

อารมณ์ขันของชาวไอซ์แลนด์ 

ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะทางตอนเหนือ ทำให้ไอซ์แลนด์มีสภาพอากาศที่ค่อนข้างหนาวเย็นตลอดทั้งปี โดยอุณหภูมิสูงสุดในฤดูร้อนของพวกเขาแค่เพียงราว 20 กว่าองศาเซลเซียส และต่ำสุดอาจจะถึงลบ 30 องศาเซลเซียส 

นอกจากนี้พวกเขายังมีภูเขาไฟที่ยังไม่ดับที่ตั้งอยู่ใต้ธารน้ำแข็ง ทำให้คนไอซ์แลนด์ ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากธรรมชาติอยู่เสมอ  


Photo : www.aurora-nights.co.uk

“มันมีระดับของความผกผันของธรรมชาติ ที่เราเรียนรู้มากกว่าพันปี” อาริ คริสทินน์ จอนส์สัน อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเรคยาวิค ผู้เคนทำงานให้กับ NASA กล่าวกับ ESPN 

“ธรรมชาติต่อสู้กับเราในทุกฝีก้าว และมันมีบางอย่างในคาแร็คเตอร์ของเรา ที่เมื่อภูเขาไฟปะทุจนเกิดเถ้าถ่านเต็มไปทั่วพื้นที่การเกษตร เราต้องรับในสิ่งที่เจอและเริ่มต้นพรวนดิน พยายามและทำมันให้สนุกและออกไปทำมันอีกครั้ง”  

ด้วยสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายดังกล่าว กลับช่วยบ่มเพาะความเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ของชาวไอซ์แลนด์ขึ้นมา 

พวกเขามีศิลปินหลายคนที่สามารถสร้างชื่อในระดับโลก ตัวอย่างเช่น ฮัลดอร์ ลักซ์เนส นักเขียนที่เคยคว้ารางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรมเมื่อปี 1956 หรือ บยอร์ค (กัวมุนสดอร์เตอร์) นักร้องสาวที่มีอัลบั้มดังมากมาย 

และด้วยความที่พวกเขาภาคภูมิใจในความคิดสร้างสรรค์ของตนเองอยู่แล้ว 
ทำให้การฉลองหลังยิงประตูที่ไม่เหมือนใครของ สตีจ์อาร์นาน น่าจะเป็นผลมาจากเรื่องนี้เช่นกัน  

เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว ไอซ์แลนด์เต็มไปด้วยปัญหามากมายรุมเร้า พวกเขาเพิ่งจะเจอวิกฤติทางเศรษฐกิจในปี 2008 ที่ธนาคารแห่งชาติ 3 แห่งถึงกับล้มละลาย และถึงแม้จะได้รับเงินอุดหนุนราว 6 พันล้านดอลลลาร์ฯ จากกองทุนระหว่างประเทศ แต่ด้วยปัญหาการว่างงานและปัญหาค่าเงินแข็งค่า ทำให้ประเทศตกอยู่ในสภาพย่ำแย่อยู่หลายปี

นอกจากนี้พวกเขายังเจอกับปัญหาภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งระเบิดครั้งใหญ่ ในปี 2010 ที่ทำให้ทั้งประเทศเต็มไปด้วยเถ้าถ่านจากภูเขาไฟ แถมยังส่งผลกระทบไปทั่วยุโรป ที่ทำให้เที่ยวบินหลายสายต้องหยุดทำการชั่วคราวจากทัศนวิสัยที่ย่ำแย่ 


Photo : bernews.com

“คุณไม่สามารถวางแผนอะไรได้เลยสำหรับที่นี่ ที่ไอซ์แลนด์” แม็กนุส เชพวิง อดีตแชมป์ยิมนาสติก ที่ปัจจุบันเป็นดาราโทรทัศน์กล่าวกับ ESPN 

“มันอาจจะมีภูเขาไฟระเบิดพรุ่งนี้ อารมณ์ขันของชาวไอซ์แลนด์จึงค่อนข้างมืดดำ แห้งแล้ง แต่เขาอยากทำให้คนพอใจ ทำให้พวกเขามีความสุข และยิ้มได้” 

แม้ว่าเชพวิง ที่แสดงเป็น Sportacus ซูเปอร์ฮีโรของเด็กๆ ในรายการที่ออกฉายในหลายประเทศทั่วยุโรป จะมีทีมรักเป็นอีกทีมหนึ่งในลีกไอซ์แลนด์ แต่เขาก็ชื่นชมในศิลปะที่เหล่านักเตะของ สตีจ์อาร์นาน แสดงออกมา 

“การเขียนจดหมายสั้นๆยากกว่าเขียนยาวๆ มันคือความสวยงามเกี่ยวกับการฉลองนี้ พวกเขาฉลาด ผมเห็นห้องน้ำมนุษย์และเขามีกระดาษอยู่ในมือ มันเป็นไอเดียที่ดีมาก” 

“บางทีมันอาจเป็นศิลปะรูปแบบใหม่ บางทีนะ”

อย่างไรก็ดี น่าเสียดายที่ท่าดีใจสุดลือลั่นของพวกเขา ต้องยุติลงหลังฤดูกาล 2011 เมื่อโค้ชอยากให้นักเตะในทีมมาโฟกัสกับการเล่นฟุตบอลมากขึ้น ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นความคิดที่ดี 

เพราะในปี 2013 พวกเขาก้าวไปถึงอันดับ 3 ของลีกพร้อมได้สิทธิ์ผ่านไปเล่นในยูโรปาลีก รอบคัดเลือก โดยไปไกลถึงรอบเพลย์ออฟก่อนรอบแบ่งกลุ่ม ก่อนจะจอดป้ายด้วยน้ำมือของอินเตอร์ มิลาน ทีมดังจากอิตาลี 

ก่อนที่ในฤดูกาลต่อมา สตีจ์อาร์นาน จะประกาศศักดา คว้าแชมป์ลีกไอซ์แลนด์มาครองได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และได้เข้าไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกรอบที่ 2 แต่ต้องอกหักด้วยการพ่ายกลาสโกว เซลติก 

หลังจากนั้น สตีจ์อาร์นาน ก็ยกระดับขึ้นมาเป็นทีมหัวแถวของลีกได้อย่างต่อเนื่อง และได้ผ่านเข้ามาเล่นในรอบคัดเลือกยูโรปาลีก 3 สมัยติด รวมไปถึงคว้าตำแหน่งรองแชมป์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 2016 

อย่างไรก็ดี แม้ว่า สตีจ์อาร์นาน จะเลิกทำท่าดีใจในตำนาน (เคยกลับมาทำในปี 2016 ครั้งเดียวก่อนจะประกาศเลิกทำอย่างเป็นทางการ) แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยหายไป คือ การเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกรู้จักประเทศไอซ์แลนด์มากขึ้น 

นั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาควรค่าแก่การจดจำ ในฐานะที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะล้ำค่าของโลกขึ้นมา 


Photo : SNS Group | www.dailymail.co.uk

“บอกตามตรงว่าผมไม่เห็นผลเสียจากสิ่งนี้ ผมได้เห็นท่าดีใจทุกท่า และพวกเขาก็เท่จริงๆ” คริสตินน์ อินกิ ลารุสสัน กล่าวกับ Bleacher Report

“การที่พวกเขาทำต่อไปเรื่อยๆ ผู้คนก็จะเห็นเขาบนอินเตอร์เน็ตและถูกระบุว่ามาจากไอซ์แลนด์ นั่นคือสิ่งที่ดีสำหรับลีกและประเทศของเรา” 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook