"เดวิด เจนกินส์" : ฮีโร่เหรียญเงินโอลิมปิก สู่ประวัติศาสตร์การลักลอบขนสเตียรอยด์ข้ามชาติ
Zero to Hero คือวลียอดฮิตที่ใช้กล่าวถึงบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตด้านใดด้านหนึ่งโดยเริ่มต้นจากศูนย์ ต้นทุนชีวิตติดลบโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตามบุคคลที่เราหยิบยกเรื่องของเขามาเล่าในวันนี้เขาไม่ใช่ Zero to Hero ตรงกันข้ามเขาคือ Hero to Zero อย่างแท้จริง เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยมีทุกอย่าง ประสบความสำเร็จ เป็นฮีโร่ของประเทศชาติ แต่แล้วจู่ๆ บ่วงชีวิตก็ผลักให้เขาเข้าสู่ด้านมืด ดิ่งลึกสู่จุดตกต่ำ
นี่คือเรื่องราวของ เดวิด เจนกินส์ นักกรีฑาฝีเท้าจัดชาวสกอตแลนด์ที่ครั้งหนึ่งเคยถึงขั้นคว้าเหรียญเงินในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้นเขากลับโดนจับในข้อหาลักลอบสเตียรอยด์ข้ามชาติในปริมาณที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์
เกิดอะไรขึ้นกับ เดวิด เจนกินส์? อะไรที่พาให้ชีวิตเขาผลิกผันจากฮีโร่กลายเป็นผู้ร้าย? และสุดท้ายเขาจะพาชีวิตตัวเองกลับเข้าฝั่งได้หรือไม่? ติดตามเรื่องราวของเขาได้ที่ Main Stand
มากทั้งต้นทุนชีวิตและพรสวรรค์
นักกีฬาชั้นยอดส่วนใหญ่มักจะมีจุดเริ่มต้นจากความยากจนในวัยเด็กที่กลายเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาต้องดิ้นรนสู้ชีวิต เอาดีด้านกีฬา เพื่อเลี้ยงปากท้อง แต่ไม่ใช่สำหรับ เดวิด เจนกินส์ เรียกว่าตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงก็ว่าได้ เพราะ เจนกินส์ ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ปี 1952 ณ เมือง ปวงต์ - ปิแอร์ ประเทศตรินิแดดแอนด์โตเบโก (ในขณะนั้นยังตกอยู่เป็นอาณานิคมของประเทศสหราชอาณาจักร) โดยมีพ่อเป็นถึงผู้จัดการโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ ดังนั้นครอบครัวของ เจนกินส์ จึงเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวผู้มีอันจะกิน
เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมในประเทศตรินิแดดและโทบาโก เจนกินส์ก็ลัดฟ้าสู่สกอตแลนด์ บ้านเกิดของครอบครัวเพื่อศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ University of Edinburgh ในสาขาวิศวกรรมเคมีปิโตรเลียม และที่นี่เองพรสวรรค์ในกีฬากรีฑาของเขาก็เริ่มฉายแสง เมื่อ เจนกินส์ ได้พบกับ เจค ยัง (Jake Young) โค้ชคนแรกในชีวิต
"ถึงแม้จะเป็นเด็กผิวขาว รูปร่างธรรมดา แต่ เจนกินส์ คือนักกีฬากรีฑาที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์" เจค ยัง เผยกับ Herald Scotland
เมื่อพรสวรรค์มาพบเจอกับการเคี่ยวกรำอย่างเข้มงวด ก็ยิ่งตอกย้ำว่าสายตาของ เจค ยัง นั้นไม่พลาด เพราะไม่นานหลังจากนั้น เจนกินส์ ก็สามารถคว้าแชมป์วิ่ง 400 เมตร ในระดับเยาวชนชิงแชมป์ยุโรปได้สำเร็จ แถมยังสามารถทำเวลาจนกลายเป็นสถิติในช่วงเวลาดังกล่าวได้อีกด้วย
เมื่อความเก่งกาจเริ่มฉายแวว เจนกินส์ ก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเป็นนักกีฬาอย่างจริงจัง โดยในปี 1970 ก็ได้มาอยู่กับ จอห์น แอนเดอร์สัน (John Anderson) โค้ชจาก Scottish National Coach และในปีเดียวกันนั้นเองเขาก็สามารถคว้าแชมป์การวิ่งชิงแชมป์ภายในของสกอตแลนด์ได้ทั้งในระยะ 100, 200, และ 400 เมตร นั่นทำให้เขากลายมาเป็นหนึ่งในนักวิ่งชั้นนำทันที แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการที่เขาสามารถคว้าตั๋วเข้าร่วมมหกรรมกีฬาโอลิมปิกปี 1972 ณ เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี (ขณะนั้นคือ เยอรมันตะวันตก) ได้สำเร็จ
ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้สวย โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่า เจนกินส์ กำลังตกเข้าสู่หลุมพรางอันมืดมิดของชีวิตอย่างช้าๆ
วีรบุรุษโอลิมปิก
เดวิด เจนกินส์ เข้าร่วมโอลิมปิกปี 1972 ในฐานะนักกรีฑา 4x100 เมตร ภายใต้ธงสหราชอาณาจักร โดยเขาคือไม้สุดท้าย เป็นคนชี้ชะตาสำคัญ ซึ่ง เจนกินส์ ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ในระยะการวิ่ง 100 เมตรที่เขารับผิดชอบ เขาสามารถวิ่งกวดแซงคู่ต่อสู้ได้ 1 คน จนสามารถพาสหราชอาณาจักรเข้าป้ายเป็นอันดับ 2 คว้าเหรียญเงินมาครอบครองได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในเส้นทางนักกรีฑาอาชีพของเขาเท่านั้น เพราะหลังจากนั้น เจนกินส์ ก็สถาปนาเป็นขาประจำขึ้นโพเดี้ยมรับเหรียญรางวัลในรายการแข่งขันกรีฑาระดับยุโรป
ในปี 1974 เจนกินส์ คว้าเหรียญเงินในการวิ่ง 400 เมตร และเหรียญทองในการวิ่ง 4x400 เมตร ในรายการ European Athletics Championships ณ กรุงโรมประเทศอิตาลี
"สำหรับ เดวิด เจนกินส์ เขามีการวิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิต ในการวิ่ง 4x400 เมตร ที่โรม" The National สื่อของประเทศสกอตแลนด์พาดหัวข่าวในวันที่ เจนกินส์ ขึ้นคว้าเหรียญทอง
หลังจากนั้นก็คงไม่ต้องสาธยายถึงชีวิตที่ประสบความสำเร็จของ เจนกินส์ ให้มากความอีกต่อไป เพราะแน่นอนว่าเขายังคงคว้าเหรียญรางวัลในระดับต่างๆ เป็นกอบเป็นกำ ตามมาด้วยชื่อเสียง ถึงขั้นที่ว่า Pelicula Films บริษัทถ่ายทำสารคดีชื่อดังของประเทศสกอตแลนด์มาถ่ายทำสารคดีในชื่อ The Long Sprint: Diary of an Olympic Athlete โดยเป็นการตามติดชีวิตของ เดวิด เจนกินส์ ในระหว่างที่เขาเก็บตัวซ้อมเพื่อเตรียมตัวสู้ศึกโอลิมปิกปี 1976
มาถึงตรงนี้ เจค ยัง โค้ชคนแรกในชีวิตของ เจนกินส์ อาจจะกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องว่าเขาอ่านพรสวรรค์แฝงในตัวของเด็กหนุ่มคนนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่เปล่าเลย ... พรสวรรค์ก็ส่วนหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ เจนกินส์ กลายเป็นนักกรีฑาที่ประสบความสำเร็จ คือสารชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า "สเตียรอยด์"
ชีวิตพลิกผัน
"ผมเริ่มใช้สเตียรอยด์เพราะความกดดัน ผมได้รับความคาดหวังจากทุกคนรอบตัว จากคนทั้งชาติว่าจะต้องทำเวลาให้ดีที่สุด และเมื่อเริ่มใช้ครั้งแรก มันคือจุดเริ่มต้นของการขายวิญญาณก็ว่าได้" เดวิด เจนกินส์ ย้อนเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตของเขาดิ่งลงเหวกับสื่อ Independent
กลับกลายเป็นว่าเรื่องราวทั้งหมดพลิกตาลปัตร เพราะทั้งความสำเร็จและชื่อเสียงต่างๆ ที่ เจนกินส์ ได้รับมาในฐานะวีรบุรุษนักกีฬา นั่นก็เพราะเขาใช้สารสเตียรอยด์เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อของตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากกว่าปกติ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับดำมืด ไม่มีใครล่วงรู้จนกระทั่ง เจนกินส์ ประกาศยุติบทบาทการเป็นนักรีฑาอาชีพของเขาในปี 1982
ไม่ใช่แค่ใช้เพื่อกระตุ้นร่างกายตัวเองเท่านั้น แต่ เจนกินส์ กับสเตียรอยด์มีความเกี่ยวข้องกันลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น เรียกว่าเขาเข้าขั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้มัน เนื่องจาก เจนกินส์ เป็นนักกีฬาที่มีความรู้ เขาจบการศึกษาระดับปริญญา สาขาที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ นั่นทำให้ตั้งแต่สมัยเป็นนักกีฬาเขาจึงเป็นทั้งที่ปรึกษาในการใช้สเตียรอยด์ให้กับนักกีฬารายอื่น รวมถึงการเป็นผู้จัดหาสารชนิดนี้อีกด้วย
พฤติกรรมเช่นนี้ยังคงดำเนินเรื่อยมา ถึงแม้ว่าเขาจะกลายเป็นผู้จัดการฝ่ายขายของแบรนด์อุปกรณ์กีฬาชื่อดังอย่าง Reebok หลังจากที่เขาไม่ได้เป็นนักกีฬาแล้ว
"ในตอนนั้นผมยอมรับว่าโดนความโลภเข้าครอบงำ" เจนกินส์ กล่าว
เจนกินส์ รู้ดีว่า สเตียรอยด์สามารถทำเงินให้เขาได้มหาศาล เขาต้องการเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในเส้นทางนี้ ตอนนี้เขามีเครือข่ายการค้าสเตียรอยด์อยู่ในมือแล้ว ถ้าได้ซัพพลายสินค้ามา ทุกอย่างก็จะสมบูรณ์แบบ เมื่อคิดได้เช่นนั้น เจนกินส์ จึงบินลัดฟ้าสู่ประเทศเม็กซิโก
"ผมต้องไปเม็กซิโกเพื่อหาแหล่งผลิตสเตียรอยด์ในปริมาณที่ผมต้องการ" เจนกินส์ เผยเหตุผลกับ The Times
ปี 1986 ณ เมืองตีฮัวน่า ประเทศเม็กซิโก เจนกินส์ได้มาพบกับ ฮวน ฮาเวียร์ แมคลิส (Juan Javier Macklis) เจ้าของ Laboratorios Milanos โรงงานผลิตยาขนาดใหญ่ ซึ่งมีลูกค้าหลักเป็นรัฐบาลเม็กซิโก
ไม่มีรายละเอียดว่าทั้งสองได้พูดคุยตกลงกันอย่างไร แต่ผลลัพธ์คือ เจนกินส์ กลายเป็นหุ้นส่วนกับ แมคลิส โดยแผนของพวกเขาคือการลักลอบขนสเตียรอยด์มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ข้ามชายแดนบริเวณตีฮัวน่า เข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา (ในช่วงเวลาดังกล่าวการนำเข้าสเตียรอยด์สู่ประเทศสหรัฐอเมริกาต้องได้รับความยินยอมจาก United States Food and Drug Administration หรือ FDA เนื่องจากสเตียรอยด์ถูกจัดเป็นหนึ่งในสารที่ต้องถูกควบคุมอย่างเข้มงวด) ซึ่งสื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่าปริมาณที่ เจนกินส์ ขนนั้นคิดเป็น 70% ของปริมาณสเตียรอยด์ในดินแดนสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว
เจนกินส์ ยอมรับว่าในสมองของเขาตอนนั้นกำลังฝันหวาน หนทางการเป็นเศรษฐีเงินล้านอยู่แค่เอื้อม อย่างไรก็ตามชีวิตไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น และในครั้งนี้พระเจ้าก็ไม่เข้าข้างผู้กระทำความผิด เพราะตอนจบของแผนการยิ่งใหญ่ครั้งนี้คือ เจนกินส์ โดนจับกุม ณ ด่านตรวจค้น เมือง ซาน ดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมคนงานอีก 36 คน
หลักฐานทุกอย่างมัดแน่น ไม่เพียงแต่สเตียรอยด์ที่กองอยู่เต็มรถบรรทุกเท่านั้น แต่เมื่อเช็กประวัติการติดต่อทางโทรศัพท์ของ เจนกินส์ ก็พบว่าเขาคือตัวการสำคัญของโคงข่ายค้าสเตียรอยด์ที่แฝงตัวอยู่ทั่วมุมโลก โดยมีสมาชิกที่ใช้ในการกระจายสินค้ามากถึง 33 คน
เมื่อ 10 ปีก่อน เจนกินส์ ยังเป็นฮีโร่ของคนทั้งชาติ แต่ในเวลานี้เขากำลังเดินคอตกเข้ารับฟังข้อกล่าวหารวมถึงคำพิจารณาในศาลรัฐแคลิฟอร์เนีย
"ผมต้องขอโทษศาลและรัฐบาลสหรัฐฯ กับสิ่งที่ทำไปด้วยใจจริง ผมกระทำไปด้วยการตัดสินใจที่ผิดพลาดและความโง่เขลาของตัวผมเอง"
"ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมใช้สเตียรอยด์ ชีวิตผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ผมรู้สึกว่าผมกำลังหลอกลวงคนทั้งโลก ผมต้องใช้ชีวิตกับความรู้สึกเหล่านั้นมาโดยตลอด และมันคือแรงผลักดันให้ผมก้าวลึกเข้าไปในเส้นทางที่ผิดมากขึ้นเรื่อยๆ"
"ถ้าเป็นไปได้ในชีวิตนี้ผมไม่อยากรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า 'สเตียรอยด์' เลย" เจนกินส์ ในชุดสูทสีน้ำเงิน เสื้อเชิ้ตสีขาว เน็กไทสีดำ กางเกงขายาวทรงหลวมสีน้ำตาลกล่าวต่อหน้าบัลลังก์ศาลด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดจากใจจริง
"นับตั้งแต่ที่ผมทำหน้าที่บนบัลลังก์มา 6 ปีครึ่ง นี่คือหนึ่งในคดีที่สะเทือนใจผมมากที่สุด เจนกินส์ คุณมีทุกอย่าง มีการศึกษา มีความรู้ มีพรสวรรค์ มีความสามารถ แต่คุณเลือกที่จะให้ความโลภเข้าครอบงำ และกดทุกสิ่งที่คุณมีลงชักโครกเสียสิ้น" ลอว์เรนซ์ เออร์วิ่ง (Lawrence Irving) ผู้พิพากษาในวันนั้นกล่าวกับ เจนกินส์
เรียกได้ว่าเป็นโชคดีของ เจนกินส์ ที่ในช่วงเวลาดังกล่าวสหรัฐอเมริกายังไม่มีบทกำหนดโทษเกี่ยวกับการลักลอบขนสารสเตียรอยด์เข้าประเทศอย่างเป็นรูปธรรม เพราะถ้าเป็นทุกวันนี้ เจนกินส์ อาจโดนโทษจำคุกสูงสุดถึง 100 ปี แต่ในวันนั้น เจนกินส์ ถูกศาลตัดสินจำคุกเพียงแค่ 7 ปี เนื่องจากเขาให้การสารภาพที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี แต่สุดท้ายแล้ว เจนกินส์ กลับใช้ชีวิตอย่างไร้อิสรภาพอยู่เพียง 10 เดือนเท่านั้น โดยในช่วงเวลาที่เหลือเขาได้รับอนุญาตให้ออกมาใช้ชีวิตข้างนอกได้ โดยแลกเปลี่ยนกับการเป็นผู้บรรยายให้ความรู้ถึงโทษของสเตียรอยด์กับประชาชน
แข็งแกร่งได้โดยไม่ใช้สเตียรอยด์
"สิ่งที่ผมทำคือเรื่องเลวร้ายเกินให้อภัย มันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่ครอบครัวผมต้องมาเห็นผมเดินเข้าคุก อย่างไรก็ตามมันก็ทำให้ผมได้เริ่มต้นใหม่ เป็นการเริ่มต้นชีวิตอีกครั้งที่แสนสดใส" เจนกินส์ กล่าวกับ Los Angeles Times หลังจากที่เขาได้รับอิสรภาพแล้ว
และมันก็เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่แสนสดใสเหมือนที่เขากล่าวไว้จริงๆ เพราะในปี 1989 เขาก็ได้นำความรู้เกี่ยวกับการสร้างกล้ามเนื้อและกีฬาของเขามาใช้ให้เป็นประโยชน์อีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้ไม่ใช่สเตียรอยด์ แต่เป็นเวย์โปรตีน
เจนกินส์ เปิดบริษัทที่ชื่อว่า NEXT Protein โดยเป็นบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในการดูแลสุขภาพ เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งมันก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม โดยในปัจจุบัน NEXT Protein ได้ส่งออกผลิตภัณฑ์ไปวางจำหน่ายถึง 41 ประเทศทั่วโลก
"ผมก็เพียงแค่ประยุกต์องค์ความรู้ที่ผมมีนำมาใช้ในทางที่ถูกเท่านั้นเอง"
ก่อนที่ในปี 1996 เจนกินส์จะเริ่มเปิดธุรกิจใหม่อีกหนึ่งอย่าง โดยคราวนี้เป็นธุรกิจสำนักพิมพ์ Xipe Press และหนังสือเล่มแรกที่ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์นี้ก็เป็นหนังสือที่เขียนโดย เจนกินส์ เองในชื่อ Underground Bodyopus: Militant Weight Loss and Recomposition ที่บอกเล่าถึงการใช้สารกระตุ้นในแวดวงกีฬาอย่างเจาะลึก
มาถึงตรงนี้คงกล่าวได้ว่า เดวิด เจนกินส์ คือหนึ่งในผู้ที่มีชีวิตหวือหวาที่สุด ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็น Hero to Zero ก่อนที่จะพลิกกลับมาเป็น Zero to Hero อีกครั้งได้อย่างงดงาม การันตีด้วยทรัพย์สินมูลค่านับสิบล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เขามีในปัจจุบัน
"ถ้าวันหนึ่งลูกของคุณมาพูดกับคุณว่า 'พ่อครับ ผมอยากใช้ยาเสพติด' คุณจะตอบเขาไปว่ายังไง" นักข่าวจาก Los Angeles Times ยิงคำถาม
"ผมจะนั่งจับเขานั่งลงและพูดคุยกับเขาอย่างจริงจัง ผมจะบอกเขาว่าถ้าเริ่มใช้ยาเสพติด แปลว่าชีวิตที่เหลือของลูกจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับการโกหกไปตลอด ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีใครจับได้ แต่สุขภาพร่างกายที่ต้องสูญเสียไปคือความจริงที่ยังไงเสียก็ไม่มีทางหนีพ้น" เจนกินส์ กล่าวทิ้งท้าย
อัลบั้มภาพ 5 ภาพ