ชีวิตที่เลือกได้แค่ "ดำ" กับ "ขาว" : เบื้องหลังภาพจำนักบอลอันธพาลของ "โจอี้ บาร์ตัน"
โจอี้ บาร์ตัน หากเอ่ยถึงชื่อนักฟุตบอลคนนี้ แทบไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องดีๆ ของเขาเลย ทั้ง เอาบุหรี่จี้ตารุ่นน้อง, ต่อยเพื่อนร่วมทีม, เหยียดเพศคู่แข่ง และแทงพนันทีมตัวเอง ... แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่แยแสเหมือนกันที่ใครจะเข้าใจว่าเขาเป็นคนแบบนั้น
จะเป็นไปได้หรือที่คนๆ หนึ่งไม่เหลือเรื่องดีๆ ให้น่าจดจำบ้าง และต่อให้เขาจะร้ายสุดขั้วชั่วสุดขีดในสายตาของใคร มันก็ต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาเติบโตมาเป็นคนอย่างนั้น
อะไรหล่อหลอมให้เกิดนักนักเตะอย่าง บาร์ตัน มาถึงจุดที่คนอื่นบอกว่าเขาเป็นความชั่วร้ายของฟุตบอล และด้านดีที่แอบอยู่ลึกๆ ในตัวเขาเป็นเช่นไร?
ติดตามได้ที่นี่
แข็งแกร่ง...และแข็งกร้าว (มากเกินไป)
ไม่มีเลยสักครั้งที่ภาพจำของ โจอี้ บาร์ตัน จะออกมาในรูปแบบที่สร้างความประทับใจให้กับคนภายนอก อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่เขาทำเรื่องแย่ๆ และทำผิด เขายอมรับผิดเสมอ เว้นเสียแต่ว่าเขาจะไม่เอ่ยคำว่าขอโทษกับสิ่งที่เคยทำลงไป
บาร์ตัน ไม่ใช่นักเตะที่เก่งตั้งแต่เด็ก ดังนั้นชื่อเสียงในด้านความเป็นวันเดอร์คิดจึงไม่เคยปรากฎ เขาเล่นให้กับทีมอคาเดมีของ เอฟเวอร์ตัน ซึ่งเป็นทีมรักของเขาได้ 6 ปี ก่อนที่ตอนอายุ 14 ปี จะถูกยกเลิกสัญญาด้วยเหตุผลที่ว่า ฝีเท้าไม่ดีพอที่จะผ่านขึ้นไปสู่ระดับยู 14 ของทีมได้
"โคตรแย่เลยนะตอนนั้น ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเอฟเวอร์ตัน ตั้งแต่เด็กผมยืนต่อแถวขอลายเซ็นนักเตะเป็นประจำ จนกระทั่งได้เข้าไปในอคาเดมีตอนอายุ 7 ขวบ แต่พอถึงอายุ 14 ปี กลับมีคนบอกว่าคุณต้องออกจากทีม ... ไม่ใช่เพราะว่าผมไม่เก่งนะ ตอนนั้นผมโดนให้ออกจากทีมเพราะว่าผมตัวเล็กเกินไป"
"มันยากก็จริง แต่ผมคิดในใจตั้งแต่วันนั้นว่า คอยดูเถอะ เดี๋ยวข้าจะทำให้รู้ว่าพวกแกคิดผิด" บาร์ตัน กล่าวถึงวัยหวาน ก่อนที่เขาจะได้ย้ายมาอยู่กับ แมนฯ ซิตี้ และถูก เควิน คีแกน ดันขึ้นทีมชุดใหญ่ในปี 2002 ... หลังจากนั้นทุกอย่างจึงกลายเป็นเรื่องตำนานนักเตะที่ว่ากันว่าสร้างปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน
Photo : www.mancity.com
แม้จะเป็นนักเตะที่อายุไม่มาก แต่เมื่อไดรับโอกาสขึ้นชุดใหญ่ บาร์ตัน ถือว่าปรับตัวเข้ากับฟุตบอลระดับสูงในเวทีที่ไม่มีพี่เลี้ยงได้เป็นอย่างดี ในตำแหน่งกองกลาง เขาทำหน้าที่ได้ดีเท่าที่นักเตะดาวรุ่งคนหนึ่งจะทำได้ จนกลายเป็นนักเตะที่มีอิทธิพลในห้องแต่งตัว ฝีปากของ บาร์ตัน เจ็บร้ายและซึมลึก เขาไม่ค่อยแคร์ที่จะพูดกับใครตรงๆ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นข้อดี เพราะเมื่อเขาเห็นใครที่เล่นไม่ได้ตามมาตรฐานและทำให้องค์รวมของทีมตกต่ำลงไป เขาจะเป็นคนแรกที่กล้าเตือนสติแบบแรงๆ อารมณ์ประมาณว่า "มึงนี่มันห่วยแตกจริงๆ"
ซึ่งบางครั้งมันก็มากไปเกินพอดี ... บาร์ตัน อาจจะฝังตัวเป็นซีเนียร์ของ แมนฯ ซิตี้ ในช่วงต้นยุค 2000 ได้ ด้วยทัศนคตินักสู้หัวรุนแรงแบบนั้น เพราะส่วนใหญ่แข้งเรือใบสีฟ้าเป็นนักเตะในสหราชอาณาจักรที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังและมีฝีเท้าเป็นที่ยอมรับเท่าไหร่ แต่เมื่อมาถึงยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง เมื่อทีมถูกเทคโอเวอร์ด้วยเจ้าของใหม่ชาวไทยอย่าง ทักษิณ ชินวัตร หลายสิ่งหลายอย่างในห้องแต่งตัวก็เปลี่ยนไป
ระบบการทำงานของ แมนฯ ซิตี้ ถูกรื้อใหม่ทั้งหมดในปี 2007 การจ้างโค้ชใหม่อย่าง สเวน โกรัน อีริคส์สัน การใช้ระบบสเกาท์ที่เน้นดึงนักเตะต่างประเทศเข้ามาเพื่อยกระดับคุณภาพเกมและภาพลักษณ์ของสโมสร ทำให้แข้งซีเนียร์หลายคนจากยุคเก่าถูกโละออกไป ซึ่ง 1 ในคนที่ถูกโละเป็นอันดับแรกๆ ก็คือ บาร์ตัน นั่นเอง
ปัญหาที่เกิดขึ้นด้านพฤติกรรม ความรุนแรง และคำพูดในแบบที่ไม่ควรทำของ บาร์ตัน นั้นยาวเป็นหางว่าว มากพอที่จะทำให้ทีมที่กำลังจะสร้างแบรนด์เปลี่ยนภาพลักษณ์ของสโมสรใหม่มองเขาเป็นเนื้อร้ายและหั่นทิ้งไปได้อย่างไม่ต้องคิดมาก
ตัวอย่างของความรุนแรงทั้งการกระทำและคำพูดของ บาร์ตัน ที่ทุกคนจำฝังใจ ได้แก่การต่อยกับ อุสมาน ดาโบ กองกลางชาวฝรั่งเศสในสนามฝึกซ้อมของทีมช่วงปลายฤดูกาล 2006-07 เนื่องจากปะทะอารมณ์กัน ซึ่งถามว่าบาร์ตันรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำไปหรือไม่? เขาก็ได้แต่บอกว่าเสียใจที่ทำ แต่ ณ เวลานั้นการชกกันคือคำตอบที่ถูกต้องที่สุดในใจของเขา
Photo : www.theguardian.com
"แน่นอนผมเสียใจอยู่แล้วที่ไปต่อยเขาแบบนั้น ถ้าคุณให้ผมย้อนเวลากลับไปวันนั้นได้ ผมยืนยันว่าผมจะไม่ทำมันซ้ำสองหรอก แต่ทำไงได้ล่ะ? โลกนี่ไม่มีไทม์แมชชีนเสียหน่อย"
"ผมเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ แต่ผมยืนยันว่าผมไม่ได้ชกกับเขาเพราะเรื่องไร้เหตุผล และถ้าคุณถามผมว่าจะหาทางออกอื่นๆ นอกจากชกกันได้ไหม? ผมก็ตอบอีกนั่นแหละว่าทำไมจะไม่ได้? แต่ด้วยตัวตนและนิสัยของผมในตอนนั้น ผมมองว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้หรอก (หมายถึงการจบเรื่องแบบไม่ต้องชกกัน)"
อีกเรื่องหนึ่งที่ดังไม่แพ้กันคือการฉลองปาร์ตี้คริสต์มาสเมื่อปี 2004 ที่นักเตะของ ซิตี้ มารวมตัวกันเป็นงานเลี้ยงของสโมสร มีนักเตะดาวรุ่งที่ชื่อว่า เจมี่ แทนดี้ พยายามจะเผาเสื้อของเขา ทว่า บาร์ตัน จับได้ ... จากนั้นเขาก็เอาซิการ์จี้ที่ตาของ เจมี่ นั่นคือเรื่องที่น่าจะเลวร้ายที่สุดที่เขาเคยทำมาในชีวิตนักฟุตบอล
"เรื่องกับ เจมี่ แทนดี้ มันเกิดขึ้นในงานเลี้ยงคริสต์มาส แล้วในวันนั้นไม่มีใครที่ไม่เมา ทุกคนเมาเละเทะ แล้วคุณคิดดูว่าเมื่อคุณเอาชายหนุ่มวัยกระทงมารวมตัวกันแบบนี้ บางครั้งฮอร์โมนเพศชายก็พุ่งพล่านทำให้ทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมลงไปได้"
"ใครบ้างที่ไม่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ตอนเมา และมานั่งเสียใจในตอนเช้ากับสิ่งที่เคยทำลงไปเมื่อคืน เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นในทุกคืนวันศุกร์ทุกๆ ที่นั่นแหละ น่าเสียดายจริงๆ ที่สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นในคืนนั้น" เป็นอีกครั้งที่ บาร์ตัน ยอมรับแต่ว่าทำ แต่เขาไม่เคยกล่าวคำว่า Sorry หรือ Apologise ที่แปลเป็นไทยว่า "ขอโทษ" เหมือนเช่นเคย
Photo : www.abc.net.au
ยังมีเรื่องใหญ่ๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นสมัยเขาอยู่กับซิตี้ เช่นการทะเลาะวิวาทข้างถนนและถูกบันทึกภาพไว้ได้จนเขาต้องติดคุก 74 วัน ... ซึ่งแน่นอนเขาบอกว่า "ผมเมาจริงๆ นะวันนั้น" ซึ่งถ้าเรามองเรื่องนี้ในภายหลังมันเป็นเรื่องที่ตลกชวนหัวเราะ แต่ถ้าย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เกิดขึ้น จะเห็นได้ว่า บาร์ตัน ได้กระทำสิ่งที่เรียกว่า "ไร้ความรับผิดชอบ" ตลอดเวลา ... และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงไม่ได้รับโอกาสจาก แมนฯ ซิตี้ ในยุคเปลี่ยนถ่ายทีมเข้าสู่ยุคใหม่
"มีหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลากับ ซิตี้ แน่นอนว่าผมเสียใจ มันเหมือนกับผมเกิดมาเพื่อเป็นไอ้นักบอลเดนนรก ตอนนั้นผมไม่เสียใจที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมซิตี้ ผมว่าผมเจ๋งในระดับหนึ่งแหละ เจ๋งพอจนคิดว่า 'ไม่เป็นไร ออกจากที่นี่แล้วไปหาประสบการณ์ใหม่ก็ได้วะ'" นั่นคืออาชีพของเขาทั้งหมดที่ แมนฯ ซิตี้ เรื่องฝีเท้าคนจะจำเขาได้ซัก 20% แต่อีก 80% คือเรื่องพฤติกรรมที่ติดลบล้วนๆ เลยทีเดียว...
ไม่รักก็เกลียดเลย...
แม้ บาร์ตัน จะยอมรับบทบาทนักเตะสารเลว และบอกว่าตัวของเขาสมัยค้าแข้งก็เป็นแบบนี้แหละ ชีวิตของเขาไม่มีเทา กล่าวคือมีสองทางเลือกเท่านั้นที่คุณจะจดจำเข้าไว้ในฐานะบุคคลประเภทไหน นั่นคือไม่เลวร้ายจนเป็นสีดำ ก็ยอดเยี่ยมโดนใจเป็นสีขาว ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ ให้เลือก แม้ว่าผู้คนต่างพร้อมลงความเห็นว่า "สีดำ" คือตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่ บาร์ตัน ก็ยินดีกับคำติฉินที่กล่าวมา
Photo : lasueur.com
อย่างไรก็ตามแม้จะสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดาร์ก, ไร้ข้อดี และไม่มีความน่าคบหา แต่ที่สุดแล้วชีวิตคนเราต่อให้แย่แค่ไหนสุดท้ายก็ไม่มีใครดำได้ทั้งหมด 100% มนุษย์ทุกคนล้วนมีบางสิ่งในตัวที่ถูกจริตคนรอบข้างบ้างโดยเฉพาะพวกเดียวกัน และบาร์ตันก็เช่นกัน แม้ว่าเขาจะไม่เคยมองมุมนี้ของตัวเองก็ตาม
นักเตะประเภทนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นนักเตะที่แฟนๆ ฝั่งตัวเองรักมาก บาร์ตัน ก็เช่นกัน การชอบเล่นแรงใส่คู่แข่ง การมีอารมณ์ร่วมกับเกมสูง และฝีปากที่พร้อมจะปั่นประสาทคู่แข่งทุกทีม นี่คือสิ่งที่เขามี รวมถึงเคยสร้างความประทับใจให้กับแฟนๆ และโค้ชบางคนที่ต้องการนักเตะเช่นนี้ในทีม
ครั้งหนึ่งที่ บาร์ตัน ย้ายมาเล่นให้ คิวพีอาร์ ตอนนั้นกุนซือ นีล วอร์น็อค ประกาศว่าสโมสรจะเปลี่ยนตัวกัปตันทีม โดยปลด อเดล ทารับต์ ออกและให้ บาร์ตัน รับหน้าที่แทน เพราะชื่อว่าลีดเดอร์สกิลของ บาร์ตัน หาคนเทียบชั้นยากมาก
Photo : Sports Tonight
"มันเป็นการตัดสินใจจากตรรกะของนักเตะจริงๆ (การเปลี่ยนกัปตันทีม) ผมบอก อเดล เรื่องนี้และเขายอมรับทันที เรามาถึงจุดที่ต้องการใครสักคนที่เป็นผู้นำในสนามให้กับทีมจริงๆ และ บาร์ตัน เป็นคนที่มีคาแร็คเตอร์ที่ชัดเจนที่สุด" วอร์น็อค ว่าไว้เช่นนั้น
นอกจากนี้ความสดความห้าวของ บาร์ตัน ยังเคยสร้างความประทับใจไว้ที่ฝรั่งเศส สมัยเขาย้ายไปอยู่กับ โอลิมปิก มาร์กเซย ในฤดูกาล 2012-13 มีนักเตะอังกฤษไม่กี่คนที่ทำเช่นนั้น แต่เมื่อ บาร์ตัน ไปถึง เขาไม่รู้สึกว่านี่เป็นที่ต่างบ้านต่างเมือง เขายังคงเป็น บาร์ตัน คนเดิมที่พร้อมจัดหนักใส่คู่แข่งทุกคนที่คิดจะเอาชนะต้นสังกัดของเขา แม้วันที่ย้ายไป บาร์ตัน จะมีโทษแบนติดตัวถึง 12 เกม จากเกมส่งท้ายฤดูกาล 2011-12 ที่แม้แต่ใบแดงก็หยุดลูกเกเรของเขาไม่ได้ กลายเป็น "นักเตะสารเลว" ที่โดนคนอังกฤษตราหน้า แต่เมื่อถึงฝรั่งเศส เมื่อเขาได้ลงสนามและกลายเป็นส่วนหนึ่งของทีม แฟนๆ ของ มาร์กเซย ก็ต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น
"ยินดีต้อนรับเจ้านักเลงหัวไม้" ป้ายแบนเนอร์ที่เขียนด้วยลายมือจากแฟนๆ ฝั่งอุลตร้าของ มาร์กเซย ปรากฎในสนาม และนั่นทำให้ บาร์ตัน รู้สึกดีแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
Photo : www.mirror.co.uk
"ผมไปที่นั่นหลังการโดนแบน 12 เกม ที่อังกฤษผมกลายเป็นคนไร้ค่า แต่ที่นั่นผู้คนทั้งเมืองโอบกอดผมด้วยความรัก ผมมีปีที่ยอดเยี่ยมที่โอแอ็ม และผมจะไม่มีวันลืมประสบการณ์นั้นเลย"
บางครั้งการผิดหรือถูกก็ถูกตัดสินกันด้วยอคติที่ฝรั่งเศส บาร์ตัน ทำเรื่องเอาไว้ก็ไม่ใช่น้อยๆ เขาล้อ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่เล่นให้กับ เปแอสเช ในเวลานั้นว่า "ไอ้จมูกโตอย่าบ่นได้ปะ?" นอกจากนี้เมื่อ เปแอสเช เข้าใกล้แชมป์และกัปตันทีมของ เปแอสเช อย่าง ติอาโก้ ซิลวา เริ่มให้สัมภาษณ์พูดถึง บาร์ตัน เป็นพวกพูดไปเรื่อย วิจารณ์คนอื่นๆ ไปต่างๆ นานาเพราะอยากจะดัง ก่อนจะปิดท้ายว่าแบบแสบๆ ว่า "ฝากถึงนักเตะมาร์กเซยคนหนึ่งที่ผมจำชื่อเขาไม่ได้ รู้แค่ว่าเป็นนักเตะอังกฤษ"
"เขาคงลืมไปแล้วว่า บราซิลมีนักเตะเก่งๆ มากกว่าทีมไหนๆ ในโลก เราคว้าแชมป์โลกมาแล้ว 5 สมัย และสมควรที่จะได้รับความเคารพบ้าง และเขาล่ะรู้อะไรบ้าง ผมจำไม่ได้เลยนะว่า เคยได้เจอกับเขาในเกมทีมชาติ" ซิลวา กล่าวแบบแสบๆ
แทนที่ บาร์ตัน จะสลดกลับกลายเป็นว่าเหมือนเขายิ่งถูกใจที่มีโจทย์เพิ่มว่า "ขี้หงุดหงิดจริงๆ นะไอ้กะเทยอ้วน แล้วแกล่ะ? ด่าเก่งแบบนี้แปลงเพศแล้วหรือยังล่ะเนี่ย?"
นี่คือคำด่าที่สามารถใช้คำว่า "โคตรแรง" ได้อย่างเต็มปาก เพราะมีทั้งการเหยียดเพศที่ 3 และด่ากันแบบเลยเถิดเกินไปจนถึงขั้น เปแอสเช ต้องสั่งเตรียมดำเนินการฟ้องร้อง บาร์ตัน เลยทีเดียว ... และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากขอโทษใครสักคน ซึ่งจะเห็นได้ว่าหากคุกตารางไม่มาถึงตัว เขาไม่มีวันทำแบบนั้นแน่
Photo : bleacherreport.com
อย่างไรก็ตามฟุตบอลเป็นยิ่งกว่าศาสนา เมื่อได้แบ่งฝั่งกันแล้วทุกคนล้วนเปลี่ยนขาวเป็นดำ เปลี่ยนดำเป็นขาว เปลี่ยนผิดให้เป็นถูกได้ ตราบใดที่ใครคนนั้นคือข้างเดียวกับเรา ... แฟนๆ มาร์กเซย จำนวนไม่น้อยที่ชอบใจสิ่งที่ บาร์ตัน ทำในเวลานั้น เพราะพวกเขาไม่มีทางสู้ เปแอสเช ได้เลย และการที่มีใครสักคนทำให้นักเตะทีมแชมป์ที่เหนือกว่าทุกทีมในลีกแบบไม่เห็นฝุ่น ออกอาการหงุดหงิดได้แบบนั้น แม้จะเป็นการเล่นแรงข้าม แต่ต้องยอมรับว่านั่นคือสิ่งที่แฟนๆ ระดับเข้าเส้น "บางคน" อยากจะเห็น แต่ไม่กล้าที่จะปลดปล่อยด้านมืดของตัวเองแบบนั้น
ช่วงท้ายอาชีพของ บาร์ตัน เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นมาก นอกจากฝีปากที่ยังแสบไม่เปลี่ยน แต่อย่างน้อยเรื่องพฤติกรรมในและนอกสนามของเขาถูกปรับลดไปตามอายุ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาเข้าชมรมเลิกเหล้า ที่ตัวของ บาร์ตัน เผยว่าติดเหล้าตั้งแต่ยังเป็นดาวรุ่ง ซึ่งการเลิกได้นำมาซึ่งสมาธิในการเล่นที่มากขึ้น และสร้างผลงานได้ดีในตอนท้ายๆ เห็นได้จากช่วงใกล้แขวนสตั๊ด เขากลายเป็นที่รักของแฟนบอลท้องถิ่นทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการพา เบิร์นลี่ย์ เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดในปี 2015 รวมถึงการเล่นให้กับ มาร์กเซย อย่างที่กล่าวไป
แม้กว่าจะได้พบวิถีที่ถูกต้องของนักบอลอาชีพก็ปาเข้าไปช่วงอายุมากแล้ว แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเขาไม่รู้ตัวเลย ... หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยน บาร์ตัน ได้ด้วยการเริ่มแก้ที่ทัศนคติของตัวเอง แม้ทุกวันนี้คนจะจำภาพเขาว่าถ่อย เถื่อน ดิบ อยู่ แต่ใครจะรู้ว่าทุกอย่างมันมีที่มาซึ่งทำให้เขาเป็นเช่นนั้น และที่สุดแล้ว เขาก็แก้มันก่อนที่จะไม่เหลือด้านดีๆ ให้คนพูดถึงเลย
ดูเป็นเยี่ยง อย่าเอาเป็นอย่าง
ชีวิตค้าแข้งของ บาร์ตัน ไม่ใช่เรื่องที่ควรเอาอย่าง และไม่สามารถพูดว่ามันคือต้นแบบที่ควรทำตามได้ แม้จะกลับตัวได้ในตอนปลาย แต่จะว่าตรงๆ มันก็ช้าไปมาก มากเกินกว่าที่เขาจะเปลี่ยนภาพจำของตัวเองได้ แม้ว่าภายหลังจะพยายามแก้ไขมันและเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่มีชีวิตที่สงบขึ้นแค่ไหนก็ตาม ... ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาเราสามารถนำมาเตือนใจตัวเองได้หลายอย่าง เช่นอย่าเชื่อมั่นในชื่อเสียงที่เข้ามามากเกินไป
ตอนอายุ 17 ปี บาร์ตัน ได้เงินสัปดาห์ละ 300 ปอนด์ มากเท่ากับที่พ่อของเขาหาเงินได้ในแต่ละเดือน นั่นทำให้ทัศนคติของเขาเปลี่ยนไป เขายอมรับมันทีหลังเมื่อแขวนสตั๊ดและเป็นโค้ชของทีม ฟลีตวูด ทาวน์ ว่าการรับมือกับชีวิตที่มาเร็วเกินไปคือปัญหาใหญ่ของเขาเลย
Photo : www.chroniclelive.co.uk
"ผมพาเพื่อนไปเที่ยวคลับด้วยเงินที่ผมหาได้สัปดาห์ละ 300 ปอนด์ และมันทำให้ผมได้รับการยอมรับกับทุกคน ผมเดินไปไหนใครก็รู้จักผม นั่นทำให้ชีวิตของผมมันยากเกินกว่าจะปรับสมดุลได้" นี่คือเขาตอนอายุ 17 ปี ในฐานะดาวรุ่งของ แมนฯ ซิตี้
ทุกอย่างมาเร็วมาก เขาก้าวขึ้นมาเป็นชุดใหญ่ และไปไกลถึงขั้นไปติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่แล้วด้วยซ้ำ แต่ภายนอกที่ดูเป็นคนแข็งกร้าว ก็ซ่อนความอ่อนแอไว้มากมาย บางครั้งเขาไม่ได้เก่งเหมือนปากว่า และเขาจำเป็นต้องใช้บางอย่างช่วยให้ตัวเอง เลิกสั่น เลิกกลัว และแสดงสิ่งนั้นออกมาให้คนอื่นเห็น
"ตอนผมอายุ 22 ปี ผมเป็นคนที่วิ่งลงสนามท่ามกลางเสียงเชียร์ของแฟนบอล 40,000 คน วันไหนผมเล่นไม่ดี ผมจะถูกกดดันเยอะมาก และการดื่มคือทางเดียวที่ผมพอจะคิดออกในเวลานั้น ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ทางแก้ แต่มันคือการหนีความจริงของผมเองนั่นแหละ"
"ทุกคนเริ่มมองมาที่ผมและตัดสินผมจากมุมมองของพวกเขา ผมเดินเข้าไปต้องเจอกับสายตาแปลกๆ จากคนที่ผมไม่รู้จัก ผมคิดว่าผมอยากจะหนีออกจากจุดนั้น ผมจึงต้องดื่มเหล้าทุกวันแม้ว่าผมจะเกลียดรสชาติของเหล้ามากๆ ก็ตาม" เขาเริ่มเล่าปมในใจกับ เดอะ การ์เดี้ยน
สิ่งเหล่านั้นไม่เคยหายไปจากจิตใจ ยิ่งเขาดื่มเขาก็ยิ่งทำเรื่องที่ผิดพลาด และเมื่อเขาทำผิดพลาดสื่อก็จะเอาเรื่องดังกล่าวมาขยี้เป็นประจำจน บาร์ตัน กลายเป็นนักเตะที่มีภาพลักษณ์ไม่ดี แม้ปากเขาจะบอกว่า "ไม่แคร์" แต่ความจริงแล้วเขาได้พยายามอย่างมากที่จะเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าเรื่องดีๆ บนหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์มัน "ไม่ขาย" เท่าเรื่องฉาวๆ ที่ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
Photo : www.sunderlandecho.com
หลังจากปี 2016 บาร์ตัน ไม่มีข่าวด้านลบปรากฎเหมือนในอดีตมากนัก มันอาจจะแปลความหมายได้หลายอย่าง หนึ่งคือเขาเลิกเล่นไปแล้วและนักข่าวไม่สนใจจะขายข่าวเขาอีก หรือสอง เขาเปลี่ยนตัวเองได้แล้วจริงๆ (ในแง่พฤติกรรม)
ทุกวันนี้ บาร์ตัน เป็นกุนซือของทีม ฟลีตวูด ทาวน์ และลูกน้องของเขาหลายคนก็รักเขาดี บอกเล่าถึงความเป็นผู้นำของ "โค้ชโจอี้"
ทุกคนเริ่มคิดว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริงๆ จนกระทั่งสุดท้ายก็มีเรื่องจนได้ ... หลังเกมที่ ฟลีตวูด บุกแพ้ บาร์นสลี่ย์ 2-4 ในปี 2019 นักเตะของ บาร์นสลี่ย์ ทวีตข้อความว่า บาร์ตัน ไปต่อยกุนซือของเขาจนเลือดออก ก่อนที่ทวีตดังกล่าวจะโดนลบออกไป ขณะที่ บาร์ตัน ก็ยังไม่ได้ถูกตัดสินลงโทษอะไรจากเหตุการณ์นั้น ซึ่งก็ยังต้องรอฟันธงอีกว่า ตกลงแล้วเขาได้ไปซัดปากใครสักคนจริงๆ หรือเปล่า?
และแน่นอนเมื่อทุกคนเห็นข่าวนี้ไม่มีใครคิดว่ามันจะไม่จริง เพราะสิ่งต่างๆ ในอดีตที่ บาร์ตัน เคยทำ ทำให้เขาถูกจำในแง่นั้นไปโดยปริยาย
Photo : www.thesun.co.uk
การหลีกหนีความกดดัน การปิดบังความอ่อนแอ การแสดงตัวและต้องการการยอมรับ คือสิ่งที่เกิดขึ้นวนไปเวียนมาในชีวิตฟุตบอลของ โจอี้ บาร์ตัน ... และชีวิตของเขาสอนให้เรารู้ว่าทุกคนมีปัญหาชีวิตไว้ให้คอยรับมือ สุดท้ายจงอย่ากลัวและหันหลังหนีมันไป เพราะสุดท้ายมันจะกลับมาเล่นงานในภายหลังอยู่ดีๆ
ค่อยๆ แก้ ค่อยๆ ทำ เป็นคนดีในสายตาใครไม่ได้ ก็อย่าเป็นคนร้ายที่ทำให้ชีวิตคนอื่นหรือตัวเองต้องลำบากก็พอแล้ว ... ซึ่งมาถึงตอนนี้ บาร์ตัน เองก็ยังยอมรับตรงๆ ว่าเขาไม่รู้ว่าจะทำตามสิ่งที่ตัวเองคิดได้หรือเปล่า
"ทุกวันนี้ผมมีความสุขดี ผมแฮปปี้ที่จะพูดว่าช่างแม่งกับชีวิต ผมอาจจะดูเป็นคนแปลกประหลาดเสมอมา แต่นั่นและคือตัวผม ผมขอรับมันแต่โดยดี" บาร์ตัน กล่าวทิ้งท้าย