"เกม" จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ทำให้ "ดิมิเทรียส จอห์นสัน" กลายเป็นสุดยอดนักสู้กรงเหล็ก

"เกม" จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ทำให้ "ดิมิเทรียส จอห์นสัน" กลายเป็นสุดยอดนักสู้กรงเหล็ก

"เกม" จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ทำให้ "ดิมิเทรียส จอห์นสัน" กลายเป็นสุดยอดนักสู้กรงเหล็ก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กว่าที่เหล่านักสู้ยอดฝีมือของโลกจะไต่เต้าถึงจุดที่ประสบความสำเร็จได้ เส้นทางที่เดินไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ พวกเขาต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายกว่าจะถึงวันที่ได้ลิ้มรสชาติของการเป็นผู้ชนะ โดยเฉพาะความยากลำบากในวัยเด็ก ที่เปรียบเสมือนแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงชั้นดีที่คอยผลักดันให้พวกเขาต่อสู้ ฝากความหวังไว้กับกำปั้นว่าสักวันหนึ่งจะพาให้ชีวิตดีขึ้น ไม่ใช่แค่ตัวเอง แต่รวมถึงครอบครัวด้วย

อย่างไรก็ตามเรื่องราวของยอดนักสู้ที่เราหยิบยกมานำเสนอในวันนี้กลับแตกต่างออกไป จริงอยู่ที่ ดิมิเทรียส จอห์นสัน (Demetrious Johnson) นักสู้เจ้าของฉายา "Mighty Mouse" อดีตแชมป์รุ่นฟลายเวตแห่งศึก UFC ซึ่งสามารถป้องกันแชมป์ได้ยาวนานถึง 11 สมัย รวมระยะเวลากว่า 6 ปี และเป็นหนึ่งในนักสู้ MMA ที่ดีที่สุดเมื่อวัดกันปอนด์ต่อปอนด์ ก็มีปูมหลังวัยเด็กที่ลำบากยากแค้นไม่แพ้ยอดนักสู้คนอื่นๆ แต่แรงบันดาลใจที่ทำให้เขาเข้าสู่สังเวียนกรงเหล็กกลับไม่ใช่ความยากลำบากเหล่านั้น แต่เป็น "เกม" สิ่งที่ใครหลายคนอาจจะมองว่าไร้สาระ

เส้นทางชีวิตของ ดิมิเทรียส จอห์นสัน เป็นอย่างไร? ทำไมเกมถึงกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเขาได้? ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ที่ Main Stand

เครื่องแฟมิคอมในความทรงจำ

ไม่ต้องอธิบายให้มากความว่าชีวิตในวัยเด็กของ ดิมิเทรียส จอห์นสัน นั้นลำบากแค่ไหน โดยเขาเป็นลูกชายคนกลาง มีน้องชายกับพี่สาว พวกเขาเติบโตขึ้นมาใน ปาร์คเลน เมืองเล็กๆ ในรัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ภายใต้การดูแลของผู้เป็นแม่ ซึ่งทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบแม้สภาพทางเศรษฐกิจจะไม่เอื้ออำนวยเลยแม้แต่น้อย นอกจากนั้นเธอยังเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวและมีความบกพร่องทางร่างกาย


Photo : bleacherreport.com

"แม่ของผมหูหนวกน่ะ แต่เธอพูดได้นะ ตอนเด็กๆ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอไม่ได้ยิน จนผมเริ่มเข้าโรงเรียนถึงจะทราบความจริงนี้ ผมทึ่งในตัวเธอมากๆ เลยล่ะ" จอห์นสัน ย้อนอดีตผ่านการสัมภาษณ์ของ ONE Championship

พ่อที่แท้จริงของจอห์นสันแยกทางกับแม่ของเขาไปตั้งแต่เขายังจำความไม่ได้ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีผู้ชายแปลกหน้าหนึ่งคนเข้าสู่ชีวิตของจอห์นสัน ในฐานะ "พ่อเลี้ยง" 

ไม่ต่างจากในละครน้ำเน่า พ่อเลี้ยงของจอห์นสันคนนี้ทำงานอยู่ในกองทัพสหรัฐอเมริกา และมีพฤติกรรมชอบใช้ความรุนแรงอยู่เป็นนิจ โดยเฉพาะจอห์นสันกับน้องชายที่ถูกใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือในการระบายอารมณ์อยู่เสมอๆ  

ท่ามกลางสภาพชีวิตที่ฟังดูหดหู่ แต่จอห์นสันกลับรู้สึกว่าชีวิตวัยเด็กของเขาไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เพราะนอกจากคุณแม่จะเลี้ยงดูเขาเป็นอย่างดี ให้ความรักความอบอุ่นจนช่องว่างในหัวใจไม่รู้สึกขาดแคลน ก็ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยเติมเต็มวัยเด็กของจอห์นสันให้สมบูรณ์ นั่นก็คือ "เครื่องเกมแฟมิคอม" ที่มีอยู่ในบ้าน

"ความทรงจำที่ชัดเจนของผมคือเสียงของแม่ที่ตะโกนบอกให้ผมรีบคว้าปืน Spread ตอนที่เรานั่งเล่นเกม Super Contra ด้วยกัน"

สำหรับคนทั่วไปอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องแสนธรรมดา แต่สำหรับ จอห์นสัน ที่วัยเด็กของเขามีคำว่ายากจนตัวโตๆ แปะอยู่บนหน้าผาก มันคือความทรงจำสุดแสนพิเศษ เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ความอบอุ่นที่หาได้ยากยิ่งในชีวิตแบบเขา เครื่องเกมแฟมิคอมเครื่องนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ จอห์นสัน หลงรักการเล่นเกมอย่างหมดหัวใจ 

"ผมสนุกกับวัยเด็กของตัวเองนะ ทั้งๆ ที่แทบจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าชีวิตของผมแย่แค่ไหน แต่การได้ใช้เวลาเล่นเกมกับแม่ และพี่น้อง ในตอนนั้นก็เพียงพอแล้ว"

ถึงแม้ จอห์นสัน จะไม่รู้ว่าทำไมที่บ้านของเขาซึ่งแทบจะต้องอดมื้อกินมื้อกลับมีเครื่องเกมแฟมิคอมอยู่ได้ แต่เขาก็รู้สึกขอบคุณมันมากๆ เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จทุกอย่าง

 

วัดกัน 1 ต่อ 1 

ชีวิตของ จอห์นสัน เข้ามาเกี่ยวข้องกับศิลปะการต่อสู้ครั้งแรกในช่วงที่เขาอายุได้ 13 ปี กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมต้น โดยเป็นการเรียนรู้วิชามวยปล้ำจากคุณครูที่โรงเรียน


Photo : komonews.com

"แม่ของผมสนับสนุนสิ่งที่ผมทำทุกอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องกีฬา"

"เพื่อนๆ ของผมมักจะเล่นฟุตบอลหรืออเมริกันฟุตบอลกันเป็นประจำ แต่ผมกลับสนใจกีฬามวยปล้ำมากกว่า เพราะมันคือกีฬาที่วัดกัน 1 ต่อ 1 ไม่ต้องอาศัยเพื่อนร่วมทีม การจะเป็นผู้ชนะก็อยู่ที่ตัวเอง เหมือนกับการเล่นเกมนั่นแหละ (ในยุคนั้นเกมที่ต้องใช้อินเตอร์เน็ตเล่นกันเป็นทีมยังไม่แพร่หลายนัก) และเมื่อผมได้เรียนมวยปล้ำกับโค้ชที่โรงเรียนตอนอายุ 13 ผมก็รู้ทันทีว่านี่คือกีฬาของผม" จอห์นสัน บอกกับ Forbes

นั่นจึงทำให้ในช่วงมัธยม จอห์นสัน ได้ทุ่มเทให้กับกีฬามวยปล้ำอย่างเต็มที่ ถึงขั้นชนะเลิศระดับเยาวชนของเขต แต่เมื่อเขาสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยม และต้องเช้าสู่ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนไป

"ผมจำเป็นต้องหยุดการเล่นกีฬา เนื่องจากต้องทำงานพิเศษหาเงินจุนเจือครอบครัว รวมถึงจ่ายค่าเทอมของตัวเอง"

จนกระทั่งในปี 2005 หลังจากที่ทุกอย่างเริ่มลงตัวจอห์นสัน รวมถึงครอบครัวเริ่มมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้น...ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เขาไม่ต้องทุ่มเททำงานหนักมากมาย พอมีเวลาว่างเหลือที่จะแบ่งไปทำกิจกรรมอย่างอื่น โดยในวันว่างๆ วันหนึ่ง ขณะที่ จอห์นสัน นั่งดูโทรทัศน์อย่างเรื่อยเปื่อย เขาก็ได้พบกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกครั้ง

"ผมเห็น ราชาด อีแวนส์ (Rashad Evans นักกีฬา MMA อดีตแชมป์โลกรุ่นไลท์เฮฟวีเวตของ UFC ในยุค 2000's) กำลังฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้ MMA มันดูน่าสนุกมากเลย"

เมื่อไฟในใจถูกปลุกให้ลุกขึ้นอีกครั้ง ประกอบกับในละแวกที่เขาพักอาศัย มียิมที่ชื่อว่า AMC Pankration เปิดสอนศิลปะการต่อสู้ MMA อยู่ เขาก็ไม่รอช้าที่จะไปที่นั่นทันที โดยทีไม่รู้เลยว่ามันคือยิมของ แมตต์ ฮูม (Matt Hume) อดีตโค้ชประจำตัวของนักสู้ MMA ดีกรีแชมป์โลกรุ่นแบนตัมเวตของ ONE Championship อย่าง บิเบียโน่ เฟอร์นันเดส (Bibiano Fernandes) 

"ผมไปถึงที่นั่นแล้วรู้สึกชอบบรรยากาศมากๆ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าแมตต์คือใคร" 

เมื่อยอดโค้ชมาเจอกับเด็กหนุ่มไฟแรงผู้เปี่ยมพรสวรรค์ เรื่องราวการไต่เต้าสู่บัลลังก์ยอดนักสู้ MMA ของ จอห์นสันก็ได้เริ่มต้นขึ้นที่นี่ ซึ่งหลังจากใช้เวลาฝึกเพียง 3 เดือน จอห์นสัน ก็เริ่มลงสังเวียนต่อสู้จริงในระดับการแข่งขันสมัครเล่น

จอห์นสัน ค่อยๆ พัฒนาฝีมือของตัวเองขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ เปลี่ยนสังเวียนต่อสู้ให้ยิ่งใหญ่ขึ้น จนกระทั่งสามารถเข้าสู่สังกัด UFC ได้ในปี 2011


Photo : www.straitstimes.com

"นับตั้งแต่เริ่มฝึกฝน MMA จนถึงเข้าสู่ UFC ได้ ตลอดระยะเวลา 6 ปีนั้นผมต้องทำงานในโรงงานรีไซเคิลควบคู่ไปด้วยตลอด เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากน่าดูเลยล่ะ ครั้งหนึ่งผมเคยกระดูกหักจากการขึ้นสังเวียน แต่วันต่อมาก็ต้องไปทำงานตามปกติเพื่อเลี้ยงปากท้อง"

"ผมก็ไม่ต่างจากตัวละคร อาคูม่า จาก เกม Street Fighter หรอก ที่มีความโกรธและความยากลำบากเป็นแรงผลักดัน ทำให้ยากที่จะมีใครมาล้มผมได้"

"แต่ถ้าถามว่าเกมต่อสู้อย่าง Tekken, Street Fighter, หรือ Killer Instinct มีอิทธิพลต่อสไตล์การต่อสู้ของผมในสังเวียนหรือเปล่า ต้องบอกว่า ไม่เลย! ผมไม่สามารถเป็นนักสู้ที่เก่งขึ้นได้ด้วยการเล่นวิดีโอเกม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการฝึกซ้อมในโรงยิม ส่วนเกมคือโลกอีกใบที่ผมมีความสุข" จอห์นสัน กล่าวติดตลกกับ Middle Eazy


Photo : www.si.com

หลังจากเข้าสู่สังกัด UFC ชีวิตของ จอห์นสัน ก็เหมือนติดปีก โดยหลังจากที่สู้ในรุ่นแบนตัมเวต 135 ปอนด์ อยู่ 1 ปี ทาง UFC ก็ตัดสินใจเปิดรุ่นฟลายเวต 125 ปอนด์ ซึ่งนี่เองคือจุดเปลี่ยนสำคัญ ก่อนที่เขาจะสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์รุ่นฟลายเวตได้สำเร็จ หลังชนะ โจเซฟ เบนาวิเดซ (Joseph Benavidez) แบบไม่เป็นเอกฉันท์ คว้าชัยในรอบชิงของทัวร์นาเมนต์หาแชมป์คนแรกของรุ่น ในศึก UFC 152 

"นี่เป็นครั้งแรกที่ผมสามารถจุนเจือครอบครัวได้จากการต่อสู้ ในที่สุดผมก็มีเงินส่งลูกๆ เรียน เลี้ยงดูครอบครัวให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นได้" จอห์นสัน กล่าวอย่างภูมิใจ 


Photo : bleacherreport.com

ตลอดช่วงเวลา 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2012 จนถึงปี 2018 จอห์นสัน คือราชา UFC แห่งรุ่นฟลายเวตอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ด้วยการสามารถป้องกันแชมป์ได้ถึง 11 ครั้ง ส่งผลให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักสู้ MMA ที่ได้รับการยกย่องว่าเก่งที่สุดเมื่อวัดกันปอนด์ต่อปอนด์ จนกระทั่งเขาพลาดท่าแพ้ให้กับ เฮนรี เซฮูโด (Henry Cejudo) นักสู้เพื่อนร่วมชาติ อดีตเจ้าของเหรียญทองมวยปล้ำโอลิมปิกปี 2008 ไปอย่างน่าเสียดาย ด้วยผลคะแนนแบบไม่เป็นเอกฉันท์ในศึก UFC 227

การพ่ายแพ้ครั้งนี้นำมาซึ่งอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของ จอห์นสัน นั่นคือการตัดสินใจย้ายสังกัด โบกมือลา UFC บินลัดฟ้าสู่ทวีปเอเชีย เพื่อเข้าร่วมกับ ONE Championship

 

มหานครแห่งเกม

"การที่ผมย้ายจาก UFC มาสังกัด ONE Championship ไม่เกี่ยวกับที่ผมแพ้ เซฮูโด หรอก แต่เพราะที่นี่ (ONE Championship) ให้ความสำคัญกับน้ำหนักพิกัดฟลายเวตมากกว่า ต่างจากที่ UFC ที่พิกัดน้ำหนักนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไรนัก" จอห์นสัน เผยถึงเหตุผลของการตัดสินใจครั้งสำคัญผ่านบทสัมภาษณ์ของ ONE Championship


Photo : www.thesun.co.uk

นอกจากเหตุผลด้านบนแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้ จอห์นสัน ตัดสินใจเช่นนี้ก็เพราะการย้ายเข้ามาสู่ชายคา ONE Championship และลงหลักปักฐานในทวีปเอเชียจนกลายเป็นบ้านหลังที่สอง ก็เพราะโอกาสในการได้ทำงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเกมที่เขาหลงรักมาโดยตลอดนั่นเอง

เพราะหลังจากย้ายมาไม่นาน จอห์นสัน ก็ได้กลายเป็นฑูตทางการค้าของ ONE Esports ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ ONE Championship เปิดตัวขึ้นมาเพื่อลุยวงการเกมโดยเฉพาะ ตลอดจนได้ร่วมงานกับบริษัทในอุตสาหกรรมเกมเกมยักษ์ใหญ่มากมายทั้ง Twitch, Ubisoft, Capcom และ EA 


Photo : thebodylockmma.com

"การเล่นเกมเป็นสิ่งที่ผมหลงใหลมาตั้งแต่ยังเด็ก"

"มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากๆ การมาอยู่ที่นี่ทำให้วันหนึ่งผมได้ทำงานร่วมกับเกม Tekken และวันถัดไปได้ทำงานร่วมกับเกม Street Fighter V" จอห์นสันกล่าวในงาน ONE Street Fighter Tokyo Challenge ที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคมปี 2019 ในย่านชิบูย่า กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

ปัจจุบันในวัย 33 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงบั้นปลายของอาชีพนักสู้กรงเหล็กแล้ว แต่ ดิมิเทรียส จอห์นสัน กลับรู้สึกมีความสุขกับชีวิตสุดๆ เพราะถึงแม้จะต้องโบกมือลาศิลปะการต่อสู้ MMA ที่เขารักมากในเร็ววัน แต่เขามีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนแล้วว่าหลังจากนี้เขาจะทำอะไร

 

แขวนนวม แล้วจับจอย

"หลังจากนี้อีก 5-6 ปีผมคงกลายเป็นสตรีมเมอร์เกมแบบเต็มตัว" จอห์นสัน เผยกับ Middle Eazy ถึงเป้าหมายในอนาคต 


Photo : blizzcon.com

อย่างไรก็ตามถ้าอยากจะเห็นนักสู้จอมโหดแบบ จอห์นสัน ในบทบาทสตรีมเมอร์ก็ไม่จำเป็นต้องรอนานขนาดนั้น เพราะตอนนี้ จอห์นสัน มีช่อง Twitch สำหรับใช้ในการสตรีมเกมเป็นของตัวเองเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2014 ในชื่อช่องว่า Mightymouseufc125 ซึ่งหลังออกจาก UFC ก็ได้เปลี่ยนมาสตรีมที่ช่อง MightyGaming จนถึงปัจจุบัน

"จุดเริ่มต้นทั้งหมดมาจากภรรยาผมเอง ต้องขอบคุณเธอเลยล่ะ วันหนึ่งในขณะที่ผมกับลูกชายนั่งดูสตรีมเมอร์คนหนึ่งเล่นเกม Mega Man X อยู่ ภรรยาผมก็เดินมาบอกว่าทำไมคุณไม่เปิดช่องเป็นของตัวเองล่ะ จะได้เป็นอีกหนึ่งช่องทางไว้สื่อสารกับแฟนๆ"

ภายในช่อง MightyGaming นั้นมีเกมมากมายหลากสไตล์ที่ จอห์นสัน เลือกมาสตรีม ไม่ว่าจะเป็น Ghost Recon: Wildlands, H1Z1, Resident Evil 7, รวมถึง Street Fighter V แต่มีอยู่หนึ่งเกมที่ จอห์นสัน จะไม่มีวันหยิบมาเล่นโดยเด็ดขาด นั่นคือเกม UFC

"ในช่องสนทนา ผู้ชมมักจะเรียกร้องให้ผมสตรีมเกม UFC อยู่เสมอๆ แต่ไม่มีทางเสียล่ะ ผมบอกพวกเขาไปว่านั่นคือสิ่งที่ผมทำไว้เพื่อเลี้ยงชีพ เมื่อผมเล่นเกมผมก็อยากจะหลุดออกจากชีวิตจริง ผมอยากปล่อยลูกไฟใส่ศัตรูเหมือนกับริว (Street Fighter) ไม่ใช่ต้องมาทำสิ่งที่ทำอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน"


Photo : www.gameinformer.com

ชีวิตของ ดิมิเทรียส จอห์นสัน ในปัจจุบันเรียกได้ว่าสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง แต่ถ้ามองย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยที่เขายังนั่งเล่นเกม Super Contra ผ่านเครื่องแฟมิคอมในบ้านหลังเล็กๆ ต้องบอกว่ามันช่างน่าทึ่ง เป็นการเดินทางไกลที่แสนทรหด เพื่อมาพบจุดหมายปลายทางที่สวยงาม ซึ่ง จอห์นสัน อาจจะมีวันนี้ไม่ได้เลยถ้าชีวิตเขาไม่ได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าเกม

"ตอนนี้ผมชอบที่จะใช้เวลากับลูกๆ ไปส่งเขาที่โรงเรียน จากนั้นก็มาเล่นเกม"

"ผมรักการเล่นวิดิโอเกม และได้มีปฏิสัมพันธ์กับแฟนๆ ผ่านช่องสนทนามากกว่าการต่อสู้บนสังเวียนเสียอีก นี่ผมพูดจากใจจริงเลยนะ" จอห์นสัน กล่าวทิ้งท้าย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook