ขาลง?
หลังจากประคองตัวผ่านบททดสอบสำคัญในการรับเยือนจ่าฝูงอย่างเชลซีมาได้แบบจวนเจียน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ต้องเจอกับด่านหินอีกด่าน ในการยกพลไปทำศึกพรีเมียร์ลีกนัดดาร์บี้แมตช์กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในวันอาทิตย์นี้
แม้เรือใบสีฟ้า จะทำฟอร์มแชมป์เก่าหล่นหายไปในฤดูกาลนี้ แต่ปิศาจแดงที่กำลังพยายามตั้งหลักให้ได้ หลังล้มลุกคลุกคลานมากับหนึ่งปีเต็มภายใต้ เดวิด มอยส์ ยังเป็นรองอยู่เยอะเหมือนเดิม และคงต้องเหนื่อยยิ่งกว่าเกมที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด นัดที่แล้วแน่ หากหวังกลับจากเอติฮัด สเตเดี้ยม แบบไม่แพ้
หลังจากแมนฯ ซิตี้ ระดมทุนสร้างทีมจนก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับแนวหน้า และกลายมาเป็นคู่แข่งลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัวแล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ดูจะถูกข่มในเรื่องสถิติของการพบกันเป็นส่วนใหญ่ในช่วงหลังๆ
เอาแค่ในพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลหลัง ซึ่งทั้งสองทีมผลัดกันคว้าแชมป์กันทีมละปี แมนฯ ซิตี้เป็นฝ่ายกำชัยได้ถึง 5 จาก 6 นัด ที่พบกัน ซึ่งรวมถึงเกมที่เรือใบขยี้ผีแดง 6-1 ในบ้านเมื่อปี 2011 หรือเกมล่าสุดที่พบกันเรือก็บุกมาฝังกลบผีคาหลุม 3-0
แต่เกมเดียวที่ผีแดงชนะนั้นก็เกิดขึ้นที่เอติฮัด สเตเดี้ยมในเดือนธันวาคมปี 2012 เมื่อ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ยิงฟรีคิกเป็นประตูชัย 3-2 ในช่วงทดเวลา
ใครจะเชื่อว่านั่นคือประตูหลังสุดที่แมนฯ ยูไนเต็ดตีเสมอหรือยิงแซงคู่แข่งได้ในช่วงทดเจ็บ ก่อนที่ ฟาน เพอร์ซี่ คนเดิมจะมายิงประตูตีเสมอเชลซีได้ในช่วงทดเวลานาทีที่ 4 ของเกมล่าสุด
ประตูนี้คือลูกที่ 51 ที่หัวหอกชาวดัตช์ยิงได้ในการลงเล่นในสีเสื้อของปิศาจแดงเป็นนัดที่ 84 และเป็นประตูที่ 3 ในฤดูกาลที่ 3 ของเขากับแมนฯ ยูไนเต็ด หลังออกสตาร์ตได้อย่างสวยหรูนับตั้งแต่ย้ายจากอาร์เซนอลมาร่วมทีม
ฟาน เพอร์ซี่ ย้ายมาเล่นให้ผีแดงในช่วงที่ฟอร์มกำลังพุ่งกับปืนใหญ่ เพราะไร้ปัญหาการบาดเจ็บรบกวน ทำให้ฟอร์มการยิงประตูอย่างต่อเนื่องของเขาไม่ตกหล่นไปไหน และซัดไป 26 ประตู ในพรีเมียร์ลีก ครองตำแหน่งดาวซัลโวรองเท้าทองคำเป็นปีที่สองติดต่อกันกับสองสโมสร หลังฤดูกาลก่อนหน้าซัดไป 30 ลูก ให้อาร์เซนอล
ผลงานของ ฟาน เพอร์ซี่ มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้แมนฯ ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 20 มาครองได้ในฤดูกาลนั้น ก่อนที่การอำลาไปของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะนำมาซึ่งวัฏจักรในช่วงขาลงของทีมเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
อาการบาดเจ็บเริ่มกลับมารบกวน ฟาน เพอร์ซี่ อีกครั้งในฤดูกาลที่แล้ว และเมื่อบวกกับฟอร์มโดยรวมของทีมที่ออกมาย่ำแย่ด้วย เขาจึงทำไปเพียง 12 ประตู จากการลงเตะพรีเมียร์ลีก 21 นัด จากที่ทำ 26 ประตู ใน 38 นัด ในซีซั่นแรก และทำประตูรวมไป 18 ลูก จากการลงเตะ 28 นัด ในทุกรายการ เมื่อเทียบกับ 30 ลูก จาก 48 นัด ของฤดูกาลก่อนหน้า
ฤดูกาลนี้เขายิงไปแล้ว 3 ประตู จากการลงเตะพรีเมียร์ลีก 8 นัด ทำให้มีสถิติยิง 51 ประตู จากการลงเล่นให้แมนฯ ยูไนเต็ด 84 นัด ในทุกรายการ
ตอนนี้ ฟาน เพอร์ซี่ อยู่อันดับที่ 50 ในทำเนียบดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของปิศาจแดง แต่ยังห่างไกลลิบกับเจ้าของสถิติสูงสุด 3 อันดับแรกอย่าง บ็อบบี้ ชาร์ลตัน (249), เดนนิส ลอว์ (237) และ เวย์น รูนี่ย์ (219) และด้วยวัย 31 ปี แล้ว เขาคงไม่คาดหวังอะไรกับการทำลายสถิติเหล่านี้แน่
แต่ถ้าเอาประตูที่ ฟาน เพอร์ซี่ ยิงได้มาคิดออกมาเป็นสถิติแล้ว เขาถือว่าทำประตูเฉลี่ยต่อเกมให้ทีมได้สูงสุดเป็นอันดับ 4 ที่ 0.60 ประตูต่อเกม เป็นรองเพียงสถิติของ ทอมมี่ ออร์ (0.69), รุด ฟาน นิสเตลรอย (0.68) และ เดนนิส ไวโอลเล็ต (0.61) เท่านั้น
เห็นตัวเลขแบบนี้หลายคนอาจคิดว่า ฟาน เพอร์ซี่ อาศัยบุญเก่าจากการยิงได้เป็นกอบเป็นกำในซีซั่นแรกนั่นแหละ ทำให้สถิติเฉลี่ยออกมาดูดี เพราะฟอร์มในปีที่แล้วจนถึงปีนี้ก็ไม่ได้จี๊ดจ๊าดเหมือนเดิมแล้ว
แต่ถ้าไม่นับประตูล่าสุดในเกมกับเชลซีแล้ว จาก 50 ลูก ก่อนหน้านี้ที่เขายิงให้แมนฯ ยูไนเต็ดได้นั้น 25 ประตูแรก มาจากการลงเตะ 43 นัด ส่วน 25 ประตูหลัง มาจากการลงเตะแค่ 38 นัด
หรือพูดง่ายๆ ก็คือ แม้จะดูเหมือนยิงประตูได้น้อยลง แต่ประสิทธิภาพไม่ได้น้อยลงไปตามไปด้วย แม้จะว่าเป็นในช่วงที่ร่างกายเขาไม่ค่อยสมบูรณ์ และฟอร์มของทีมไม่ค่อยสมประกอบ
ประตูล่าสุดในเกมกับเชลซีน่าจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ ฟาน เพอร์ซี่ ได้ ก่อนลงเตะกับแมนฯ ซิตี้ในวันอาทิตย์ เพื่อสยบเสียงวิจารณ์ที่มีต่อตัวเขาว่าอยู่ในช่วงขาลงมาตั้งแต่ฤดูกาลที่สองกับทีมแล้ว
Babybear