บนภูเขาแห่งความตาย : คดีดยัตลอฟ การเสียชีวิตปริศนาของนักสกี 9 รายในรัสเซีย

บนภูเขาแห่งความตาย : คดีดยัตลอฟ การเสียชีวิตปริศนาของนักสกี 9 รายในรัสเซีย

บนภูเขาแห่งความตาย : คดีดยัตลอฟ การเสียชีวิตปริศนาของนักสกี 9 รายในรัสเซีย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ภูเขาแห่งความตาย, ลางร้ายบอกเหตุ, การเดินทางที่ผิดแผน, เส้นทางมรณะ, หลักฐานจากไดอารี่, วิ่งหนีเอาชีวิตรอด และ ความตายอันเป็นปริศนา

ทั้งหมด คือ คำศัพท์ที่เราสามารถพบเจอในนิยายสยองขวัญสักเรื่อง แต่จะระทึกขวัญมากแค่ไหน หากทุกสิ่งที่กล่าวมา เกิดขึ้นบนโลกแห่งความจริง ในเรื่องเล่าสุดลึกลับที่คุณกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้

พบกับเรื่องราวของ “คดีดยัตลอฟ” การเสียชีวิตปริศนาของนักสกีชาวรัสเซีย 9 ราย ที่ยังหาคำตอบไม่ได้ตราบจนทุกวันนี้….

สู่เทือกเขาอูรัล

เรื่องราวสยองขวัญชวนขนลุกครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อปี 1959 เริ่มต้นจาก อิกอร์ ดยัตลอฟ นักสกีชาวรัสเซียวัย 23 ปี พร้อมกับเพื่อนจากสถาบันโพลีเทคนิคอูรัล อีก 9 คน วางแผนเดินทางสู่เทือกเขาอูราลเหนือ โดยมีจุดหมายคือการเล่นสกีบนยอดเขาโอทอร์เทน อันมีความหมายตามภาษามันซีว่า “อย่าไปที่นั่น”


Photo : dyatlovpass.com

ยูริ โดโรเชนโก, ลุดมีลา ดูบีนีนา, จอร์จี คริวอนิเชนโก, อเล็กซานเดอร์ โคเลวาตอฟ, ซิเนียดา คอลโมโกโลวา, รุสเต็ม สโลโบดิน, นิโคไล ธิโบต์-บริกโนลเลส, เซมิออน โซโลทาร์ยอฟ และ ยูริ ยูดิน

พวกเขาคือผู้ร่วมเดินทางสู่เทือกเขาอูราล โดยทั้งหมดรวมถึงดยัตลอฟ คือ นักปีนเขามีประสบการณ์ ผ่านการรับรองขั้น 2 และจะก้าวขึ้นสู่ขั้น 3 อันเป็นระดับสูงสุดของนักปีนเขาในสหภาพโซเวียต หากสำเร็จภารกิจดังกล่าว

การเดินทางเริ่มต้นในวันที่ 23 มกราคม ปี 1959 นักสกีทั้ง 10 นั่งรถไฟจากใจกลางแคว้นสเวียร์ดลอฟสค์ สู่เมืองเซลอฟ ที่อยู่ตอนเหนือขึ้นไปราว 350 กิโลเมตร คณะเดินทางตั้งเวลาการผจญภัยครั้งนี้ไว้ 14 วัน ถือเป็นเวลาไม่มากไม่น้อยเกินไป เมื่อเทียบกับความหฤโหดของเส้นทาง ซึ่งจัดอยู่ใน “ประเภท 3” ระดับยากที่สุด

คณะของดยัตลอฟถึงเมืองเซรอฟในช่วงเช้าของวันที่ 24 พร้อมกับลางร้ายที่เริ่มส่งสัญญาณเตือน หนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม จอร์จี ถูกตำรวจจับกุมข้อหาส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่นบนรถไฟ แม้จะถูกปล่อยตัวภายหลัง แต่คณะเดินทางยังถูกกล่าวหาว่าขโมยเหล้าว็อดกาจากคนเมารายหนึ่ง

กลุ่มนักสกีเดินทางต่อไปด้วยรถไฟสู่เมืองไอฟ์เดล ก่อนเดินทางขึ้นเหนือด้วยรถบัสสู่เมืองวิซเฮย์ แหล่งพำนักสุดท้ายของมนุษย์ก่อนเข้าสู่เขตภูเขาไร้ที่อยู่อาศัย วันที่ 27 มกราคม คณะของดยัตลอฟ เดินทางขึ้นเหนือ 24 กิโลเมตรด้วยรถลากหิมะ ก่อนเข้าพักที่แคมป์คนงานร้าง ริมแม่น้ำรอซวา


Photo : wikimedia.org

เช้าวันถัดมา ยูริ ยูดิน หนึ่งในสมาชิกของคณะปีนเขา ป่วยหนักจนไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ คนที่เหลือตัดสินใจเดินทางต่อโดยไม่มีชายผู้โชคร้าย ยูดิน เดินทางกลับสู่เมืองวิซเฮย์เพียงลำพัง สวนทางกับนักสกีอีก 9 คน ที่เดินทางขึ้นเหนือเลียบแม่น้ำรอซวาต่อไป

ยูริ ยูดิน ไม่รู้เลยว่า อาการป่วยครั้งนี้จะช่วยให้เขามีอายุยืนยาวถึง 75 ปี ต่างจากเพื่อนของเขาทั้ง 9 ที่จะเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ด้วยสาเหตุปริศนาที่ยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงทุกวันนี้

 

ภูเขาแห่งความตาย

“วันนี้คือคืนแรกที่พวกเรานอกพักกันในเต็นท์ พวกผู้ชายกำลังวุ่นวายกับการเตรียมกองไฟ เราทำบางสิ่งสำเร็จ บางสิ่งไม่สำเร็จ แต่ไม่ว่าอย่างไร เรานั่งกินมื้อค่ำรอบกองไฟร่วมกัน”

“หลังกินข้าวเสร็จ ทุกคนเข้าไปนอนในเต็นท์ แต่ไม่มีใครอยากนอนข้างกองไฟ เราตกลงกันว่า จอร์จีจะเป็นคนเสียสละนอนตรงนั้น แต่ผ่านไป 2 นาที จอร์จีก็เปลี่ยนที่พร้อมกับบ่นเสียงดัง เรานอนไม่หลับกันสักพัก เพราะทุกคนเถียงกันเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง”


Photo : dyatlovpass.com

บันทึกจากไดอารี่ของหนึ่งใน 9 นักสกี ที่บรรยายการถกเถียงเรื่องนอนข้างกองไฟ บ่งบอกว่าการเดินทางของพวกเขาปกติเพียงใด คณะของดยัตลอฟ เดินทางต่อไปจนสุดแม่น้ำรอซวา ก่อนหันสู่ทิศตะวันตกเพื่อเข้าสู่แนวเทือกเขา วันที่ 29 มกราคม พวกเขาตั้งแคมป์ข้างภูเขา Hoy Ekva 733 แปลความหมายตามภาษามันซีว่า “ผู้หญิงห้ามผ่าน”

คณะเดินทางอันประกอบด้วยผู้หญิง 2 ราย (ลุดมีลา และ ซิเนียดา) เดินทางผ่านภูเขาดังกล่าวสู่เทือกเขาอูรัล วันที่ 31 มกราคม ผู้เดินทางทั้ง 9 เริ่มต้นปีนขึ้นสู่เทือกเขา การเดินทางเริ่มไม่เป็นไปตามคาด สภาพอากาศย่ำแย่กว่าที่คาดไว้มาก คณะเดินทางเริ่มกินอาหารที่กักตุนไว้สำหรับขากลับ เพื่อลดน้ำหนักที่บรรจุในกระเป๋า

“ลมพัดรุนแรงมาก ความเร็วเดียวกับเครื่องบินขณะขึ้นสู่ฟากฟ้า พื้นน้ำแข็งอยู่ทุกที่รอบตัว”

“ตอนนี้เป็นเวลา 4 โมงเย็น เราจำเป็นต้องหาสักแห่งเพื่อตั้งแคมป์ที่พัก เรากำลังลงไปยังหุบเขาออสปิยา ที่นั่นมีหิมะน้อยกว่า และลมพัดเบาค่อนข้างช้า ดีกว่าหิมะตรงนี้ที่ลึกลงไปกว่าหนึ่งเมตร”

“พวกเราหมดแรงและเหนื่อยล้า เริ่มจะขาดแคลนไม้สำหรับก่อกองไฟ ส่วนใหญ่เปียกหรืออ่อนเกินไป วันนี้เรากินข้าวกันในเต็นท์ มันอุ่นกว่าข้างนอก ยากเหลือเกินที่จะจินตนาการถึงความสะดวกสบายบนภูเขา ท่ามกลางเสียงลมที่โหยหวนแบบนี้”


Photo : dyatlovpass.com

บันทึกจากไดอารี่ของดยัตลอฟ หัวหน้ากลุ่ม บอกเล่าความโหดร้ายบนภูเขาที่พวกเขาไม่อาจรับมือไหว คณะเดินทางตัดสินใจหันหลังกลับสู่แม่น้ำรอซวา แต่แทนจะกลับทางเก่า นักสกีทั้ง 9 เลือกเดินผ่านเส้นทางลัด ถนนที่ภายหลังถูกเรียกว่า “The Dyatlov Pass” ทางผ่านมรณะของดยัตลอฟ

วันที่ 1 มกราคม คณะของดยัตลอฟ ออกเดินทางท่ามกลางพายุหิมะที่โหมกระหน่ำ พวกเขาเดินทางเพียง 4 กิโลเมตร จึงหยุดพักตั้งแคมป์ โดยไม่รู้เลยว่า นักสกีทั้ง 9 ไม่ได้เดินตามเส้นทางที่พวกเขาตั้งใจ แทนที่จะลงใต้ พวกเขากลับล่วงลึกสู่แดนตะวันตก ตั้งแคมป์อยู่บนภูเขา Kholat Syakhl มีความหมายตามภาษามันซีว่า “ภูเขาแห่งความตาย”


Photo : dyatlovpass.com

เรื่องราวการผจญภัยของคณะดยัตลอฟ จบลงเพียงเท่านั้น ภาพถ่ายสุดท้ายแสดงให้เห็นกลุ่มนักสกี กำลังตั้งเต็นท์อยู่บนพื้นหิมะ เวลา 5 โมงเย็น ที่พักทั้งหมดถูกจัดตั้ง ทุกคนรวมตัวกินมื้อค่ำจนถึง 1 ทุ่ม สองสมาชิก นิโคไล และ เซมิออน เดินทางออกจากเขตแคมป์เพื่อพักผ่อนส่วนตัว

นี่คือเรื่องราวสุดท้ายที่ถูกบันทึกไว้ หลังจากนั้นไม่นาน เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่ทำให้สมาชิกทั้ง 9 หนีตายอย่างไม่คิดชีวิต ก่อนพบจุดจบแสนสยองเกินจินตนาการ...

 

ค้นหาผู้เสียชีวิต

ก่อนออกเดินทาง หัวหน้าคณะอย่าง อิกอร์ ดยัตลอฟ แจ้งกับสโมสรกีฬาของสถาบันโพลีเทคนิคอูรัล จะโทรเลขเพื่อแจ้งข่าว ทันทีที่พวกเขากลับสู่เมืองวิซเฮย์ ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ แต่เมื่อวันในกำหนดการมาถึง ไม่มีวี่แววการติดต่อกลับจากกลุ่มนักสกี


Photo : dyatlovpass.com

ยูดิน ผู้เดินทางกลับก่อนจากอาการป่วย ยังมองโลกในแง่บวก เนื่องจาก ดยัตลอฟ บอกเขาไว้ว่า การเดินทางครั้งนี้อาจนานกว่า 14 วัน ที่เคยคาดไว้ตอนแรก เขาเฝ้ารอวันแล้ววันเล่า สัญญาณจากเพื่อนทั้ง 9 ไม่เคยถูกส่งกลับมาจากเทือกเขาทางตอนเหนือ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ เกือบหนึ่งเดือนหลังคณะปีนเขาออกเดินทาง ภารกิจดำเนินการค้นหาคณะของดยัลตอฟ เริ่มต้นขึ้น

กลุ่มผู้ค้นหา ซึ่งมีทั้ง ตำรวจ, ทหาร และ อาสาสมัครจากมหาวิทยาลัย เดินทางสู่เทือกเขาอูราลโดยตรง ผ่านทางตะวันตกจากเมืองวิซเฮย์ ซึ่งเป็นคนละเส้นทางกับคณะดยัตลอฟ ที่เดินทางขึ้นเหนือตั้งแต่ต้น กว่าจะค้นพบร่องรอยแรกของของกลุ่มนักสกี ก็เข้าวันที่ 26 กุมภาพันธ์ เมื่อกลุ่มอาสาสมัครค้นพบเต็นท์บริเวณเนินของภูเขาแห่งความตาย


Photo : www.tambov.kp.ru

เรื่องราวอันน่าพิศวงเริ่มต้นขึ้นตรงนี้ เต็นท์ที่พวกเขาค้นพบมีสภาพยับเยิน และฝังอยู่ใต้พื้นหิมะ ราวกับถูกบางสิ่งบางอย่างทำลาย ตำรวจพบรอยกรีดจากด้านใน ขณะที่ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า, อุปกรณ์สกี, กล้องถ่ายรูป แม้กระทั่งรองเท้า ยังอยู่บริเวณที่พักตรงนั้น

ไม่มีทางที่นักสกีมากประสบการณ์ จะเดินออกจากเต็นท์ตัวเปล่า โดยไม่พกอุปกรณ์ยังชีพ ท่ามกลางความโหดร้ายของภูเขาหิมะ เว้นเสียแต่ว่า สิ่งที่ไล่ตามหลังพวกเขามา จะโหดร้ายยิ่งกว่า... ตำรวจสันนิษฐานว่า บุคคลทั้ง 9 หนีออกจากเต็นท์อย่างอลหม่าน ก่อนวิ่งลงจากเนินเขาไป การค้นหาดำเนินต่อจากข้อสันนิษฐานนั้น พลางภาวนาอย่าให้สิ่งที่คิดเกิดขึ้นจริง

ตำรวจเดินตามรอยเท้าของนักสกี บางคนใส่แค่ถุงเท้า บางคนใส่รองเท้าข้างเดียว และบางคนเดินเท้าเปล่า กลุ่มผู้ค้นหาเดินตามจนถึงป่าแห่งหนึ่ง เมื่อพวกเขาเข้าป่าแห่งนั้นราว 500 เมตร รอยเท้าทั้งหมดก็หายไป

ไม่ต้องคิดอะไรให้ซับซ้อน ตำรวจสั่งขุดพื้นหิมะบริเวณชายป่า ไม่นานนัก ศพผู้เสียชีวิต 2 รายแรกถูกค้นพบ ได้แก่ ยูริ โดโรเชนโก และ จอร์จี คริวอนิเชนโก ทั้งสองวิ่งออกมาจากเต็นท์ด้วยเท้าเปล่า สวมใส่แค่กางเกงชั้นใน ซึ่งเป็นเรื่องที่หาเหตุผลอธิบายไม่ได้ว่าทำไมพวกเขาถึงทำเช่นนั้น ท่ามกลางอุณหภูมิที่เย็นยะเยือกถึง -30 องศาเซลเซียส


Photo : dyatlovpass.com

ความสยองขวัญไม่ได้อยู่แค่สภาพศพ แต่ยังรวมไปถึง พฤติกรรมของบุคคลทั้งสองก่อนเสียชีวิต ตำรวจพบกิ่งไม้สูงขึ้นไป 5 เมตร บนต้นซีดาร์ใกล้บริเวณพบศพ จึงสันนิษฐานว่า ยูริ และ จอร์จี พยายามปีนขึ้นต้นไม้ เพื่อหนีเอาชีวิตรอดจากบางสิ่ง ที่ตามเอาชีวิตทั้งคู่ตั้งแต่บริเวณเต็นท์ การชันสูตรภายหลัง พบผิวหนังทั้งคู่บริเวณลำต้น จึงคาดว่าพวกเขาปีนต้นไม้จนกระทั่งผิวหนังลอก เหลือเพียงเนื้อสดยึดเกาะผิวไม้ ก่อนร่วงลงสู่พื้นดิน

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ตำรวจค้นพบศพของผู้เสียชีวิตอีก 2 ราย ได้แก่ อิกอร์ ดยัตลอฟ และ ซิเนียดา คอลโมโกโลวา ต่อมา วันที่ 5 มีนาคม ค้นพบศพของ รุสเต็ม สโลโบดิน ตำรวจสันนิษฐานว่าทั้ง 3 ผู้โชคร้าย กำลังวิ่งกลับบริเวณเต็นท์ จากการชันสูตร กะโหลกของรุสเต็มได้รับความเสียหายเล็กน้อย แต่ตำรวจไม่เชื่อว่านั่นเป็นสาเหตุทำให้เขาเสียชีวิต

ด้วยเหตุนี้ ผู้เสียชีวิตทั้ง 5 จึงถูกระบุสาเหตุการตายว่า ภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ (Hypothermia) แปลให้เข้าใจง่ายคือ หนาวตาย นั่นเอง โดยเป็นการเสียชีวิตช่วงเวลา 6 ถึง 8 ชั่วโมง หลังจากมื้อค่ำวันที่ 1 กุมภาพันธ์ อย่างไรก็ตาม ตำรวจไม่สามารถบอกถึงเหตุการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นได้

การค้นหาดำเนินไปอีก 2 เดือน กระทั่งวันที่ 5 พฤษภาคม พวกเขาค้นพบร่างผู้เสียชีวิตอีก 4 ราย ในหุบเหวที่ลึกลงไปกว่าพื้นปกติ 75 เมตร ที่น่าแปลกใจคือ ศพของทั้ง 4 ราย แต่งกายดีกว่า 5 คน และพบการใช้งานเสื้อผ้าของบุคคลที่พบเป็นศพก่อนหน้า เช่น เท้าข้างหนึ่งของ ลุดมีลา ดูบีนีนา ถูกห่อด้วยกางเกงของจอร์จี


Photo : dyatlovpass.com

การชันสูตรศพของผู้เสียชีวิต 4 รายหลัง พลิกคดีนี้จากหน้าเป็นหลังมือ 3 จาก 4 ราย ได้รับอาการบาดเจ็บสาหัส อันเป็นสาเหตุให้เสียชีวิต กะโหลกของ นิโคไล ธิโบต์-บริกโนลเลส ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง, ลุดมีลา และ เซมิออน โซโลทาร์ยอฟ เกิดความเสียหายมหาศาลที่บริเวณหน้าอก ในระดับเดียวกับการถูกรถชน แต่ที่น่าแปลกคือ ทั้งคู่ไม่มีบาดแผลภายนอก ราวกับกระดูกช่วงอกของทั้งคู่ ถูกบดละเอียดจากภายใน ด้วยพลังบางอย่าง

ความสยองของ ลุดมีลา และ เซมิออน ไม่จบลงแค่นี้ ร่างของผู้เสียชีวิตรายแรก ถูกพบว่าลิ้นของเธอหายไปจากปาก ขณะที่ร่างของผู้เสียชีวิตรายหลัง ตาทั้งสองข้างของเขาหายไป กระทั่งปัจจุบัน ยังไม่มีการค้นพบอวัยวะที่สูญหายของผู้เสียชีวิตเหล่านี้

ตำรวจพยายามทำการสืบสวนเพื่อค้นหาผู้กระทำผิดหลังจากนั้น แต่ไม่พบร่องรอยของบุคคลอื่นรอบภูเขาแห่งความตาย วันที่ 27 พฤษภาคม มีการยืนยันว่าค้นพบกัมมันตภาพรังสี บนเครื่องแต่งกายของร่างผู้เสียชีวิต 4 รายหลัง

แทนที่จะสืบสาวต่อไป.. ตำรวจสั่งปิดคดีของผู้เสียชีวิตทั้ง 9 ทันทีในวันถัดมา โดยสรุปว่าทั้งหมดเสียชีวิตด้วยฝีมือของ “พลังลึกลับเหนือธรรมชาติ” และทิ้งเรื่องราวทุกอย่างให้เป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้

 

ปริศนาที่รอวันคลี่คลาย

โศกนาฏกรรมของนักสกีทั้ง 9 ราย หรือที่รู้จักกันในนาม คดีดยัตลอฟ กลายเป็นหนึ่งตำนานลึกลับสยองขวัญ ที่ถูกกล่าวขานไปทั่วโลกถึงทุกวันนี้ รวมถึง สมมติฐานมากมายเกี่ยวกับเบื้องหลังการเสียชีวิตอันเป็นปริศนา ยังคงผุดขึ้นมาไม่จบสิ้น


Photo : dyatlovpass.com

สมมติฐานที่ถูกพูดถึง มีตั้งแต่น่าเชื่อถือได้ จนถึงเพี้ยนหลุดโลก ไล่ตั้งแต่ หิมะถล่ม, กินเห็ดพิษ, เสียงความถี่สูง, ลูกบอลสายฟ้า, ถูกฆ่าโดยชาวมันซี, กัมมันตรังสีจากกองทัพ, เครื่องควบคุมสภาพอากาศของเคจีบี, มนุษย์เยติ, การทดลองเทเลพอร์ตของรัฐบาล หรือ มนุษย์ต่างดาวจากยูเอฟโอ 

ไม่ว่าผู้คนจะสันนิษฐานอย่างไร รัฐบาลสหภาพโซเวียต หรือ รัสเซีย ไม่เคยพูดเรื่องนี้ จนกระทั่ง ปี 2018 มีการรื้อฟื้นคดีดยัตลอฟ ขึ้นมาอีกครั้ง ผ่านการชันสูตรร่างของ เซมิออน โซโลทาร์ยอฟ หนึ่งในผู้เสียชีวิต 4 รายหลัง ที่เกี่ยวข้องกับกัมมันตรังสี

กาลเวลาที่ผ่านมา 60 ปี ทำให้หลักฐานเหลือเพียงน้อยนิด วันที่ 15 มีนาคม ปี 2019 คดีนี้ถูกปิดลง โดยตำรวจจำกัดเบื้องหลังการเสียชีวิตของนักสกีทั้ง 9 เหลือเพียง 3 สมมติฐาน คือ หิมะถล่ม, ถูกทับด้วยแผ่นหิมะโดยเจตนา และ พายุเฮอร์ริเคน


Photo : allthatsinteresting.com

แน่นอนว่า สมมติฐานจากฝั่งตำรวจ ไม่ได้ทำให้คนทั่วไปที่สงสัยคดีนี้พอใจ หลายส่วนยังพุ่งเป้าไปยังการทดลองที่รัฐบาลรัสเซียเก็บเป็นความลับ เนื่องจากข้อสงสัยเกี่ยวกับกัมมันตรังสีที่ค้นพบบนเครื่องแต่งกาย ยังคงไม่ได้รับคำตอบ

การเสียชีวิตของนักสกีในคดีดยัตลอฟ จึงยังคงเป็นปริศนาที่รอวันแถลงไข ตราบใดที่ เส้นทางมรณะของดยัตลอฟ ยังคงอยู่บนแผนที่โลก ไม่มีทางที่คดีลึกลับชิ้นนี้ จะถูกลืมเลือนอย่างแน่นอน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook