รู้หรือไม่? "นันยาง" รองเท้าตะกร้อเบอร์ 1 ของโลก แท้จริงตั้งใจออกแบบเพื่อใส่เล่นแบดมินตัน
Nike, Adidas, Puma อาจเป็นคู่แข่งในโลกกีฬาทั่วไป ชนิดไม่มีใครยอมใคร แต่คงต้องเว้นไว้สำหรับ กีฬาเซปักตะกร้อ เพราะ "นันยาง" ครองเจ้าตลาดนี้ตัวจริง
นันยาง คือ แบรนด์รองเท้าสัญชาติไทย ที่เด็กไทยทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี แม้จะมีราคาไม่ถึง 400 บาท และไม่ค่อยได้ออกแบบรุ่นใหม่ๆ มาสู่ท้องตลาดเหมือนอย่างแบรนด์รองเท้ากีฬาทั่วไป
แต่เจ้ารองเท้าที่มีเอกลักษณ์อย่าง พื้นรองเท้าสีเขียว กลับครองทั้ง เด็กวัยเรียน, ผู้ใหญ่ที่ทำงานสมบุกสมบัน ไปจนถึงนักตะกร้อ ตั้งแต่ระดับสมัครเล่น ยันผู้เล่นระดับทีมชาติ ที่เลือก "นันยาง" เป็นสนีกเกอร์คู่ใจ
นี่ไม่ใช่บทความขายของ หรือโฆษณาสินค้า แต่เป็นการวิเคราะห์ว่าเหตุใด รองเท้าที่แรกเริ่มเดิมที่ตั้งใจออกมาแบบเพื่อใช้สำหรับเล่น แบดมินตัน ถึงกลายร่างมาเป็นสุดยอดรองเท้าที่นักตะกร้อทั่วโลกต้องมี
แท้จริงคือรองเท้าแบดมินตัน
"นันยาง...เก๋ามาตั้งแต่รุ่นพ่อ" คำโปรโมตที่ไม่เกินความจริงสักนิด เพราะแบรนด์รองเท้ายี่ห้อ นันยาง อยู่คู่กับสังคมไทยมานานเกือบ 70 ปี โดยถือกำเนิดเมื่อ พ.ศ. 2496
ในยุคบุกเบิก นันยาง เป็นรองเท้านำเข้ามาจาก สิงคโปร์ ยี่ห้อหนำเอี๊ย ลักษณะเป็น รองเท้าสีน้ำตาล พื้นยางสีน้ำตาล ก่อนที่ นายห้าง วิชัย ซอโสตถิกุล ผู้ก่อตั้งนันยางจะซื้อกิจการ มาเปิดโรงงานผลิตที่เมืองไทย
Photo : www.nanyang.co.th
สิ่งที่เป็นจุดเด่นของรองเท้านันยาง คือเรื่องความใส่สบาย ทนทานของสินค้า ไม่ว่าจะเป็น รองเท้าผ้าใบ หรือ รองเท้าแตะหูคีบยี่ห้อ "ตราช้างดาว" ที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี ทำให้ นันยาง ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้ที่ต้องการ รองเท้าราคาแพง แต่มีอายุการใช้ที่ยาวนาน
แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้ นันยาง กลายเป็นรองเท้าหมายเลข 1 ในกีฬาตะกร้อ อย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2500 โดย ทายาทรุ่นลูกอย่าง เพียรศักดิ์ ซอโสตถิกุล บุตรชายคนโตของ วิชัย ที่กลับมาจากอังกฤษ
เพียรศักดิ์ มีความหลงใหลในกีฬาแบดมินตันเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่ในเวลาต่อมา เขาขึ้นไปดำรงตำแหน่ง นายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ
ดังนั้นเมื่อกลับมาช่วยกิจการครอบครัว เขาจึงเริ่มพัฒนา รองเท้าที่เหมาะสำหรับใส่เล่นแบดมินตันในไทย จึงได้ทำการปรับเปลี่ยนรูปทรง และพื้นรองเท้าให้เป็นสีเขียว ซึ่งเป็นสีสำหรับรองเท้าแบดมินตันในยุคนั้น และเป็นสีที่ค่อนแปลกใหม่ในตลาดรองเท้าบ้านเรา เพราะยังไม่มีแบรนด์ไทยเจ้าไหน ทำพื้นรองเท้าสีเขียว
รองเท้ารุ่นนี้มีรหัสในการผลิตว่า 205-S เมื่อสินค้าถูกวางจำหน่ายไปในท้องตลาด ปรากฏว่า รองเท้าที่ตั้งใจจะออกแบบสำหรับเล่นแบดมินตัน ได้ขยายความนิยมไปสู่คนหลากหลายกลุ่ม ทั้ง นักเรียน, นักศึกษา, นักท่องเที่ยว, คนทำงานโรงงานอุตสาหกรรม, เกษตรกร รวมถึงคนที่เล่นกีฬาเซปักตะกร้อ
Photo : www.prachachat.net
กลายเป็นรองเท้าขายดี ถึงขั้นที่มีสินค้าลอกเลียนแบบจำนวนมาก จนทำให้ นันยาง ต้องเพิ่มโลโก้ Nanyang ลงไปบนรองเท้าเพื่อลูกค้าทราบว่าเป็นของแท้ โดยปัจจุบัน รองเท้านันยางรุ่น 205-S จำหน่ายไปแล้วมากกว่า 50 ล้านคู่ จากยอดจำหน่ายสินค้าทั้งหมดของรองเท้านันยาง ที่มีมากกว่า 300 ล้านคู่
ที่สำคัญพื้นยางสีเขียว เปรียบเสมือนภาพจำ ของคนไทยที่ต่อนันยาง เมื่อไหร่ก็ตามที่คิดถึงรองเท้านันยาง ก็ต้องนึกถึงพื้นสีเขียว
เหนียวแน่นหนึบ ในราคาแสนถูก
"ผมคิดว่าที่ คนเล่นตะกร้อ เลือกใช้นันยาง เหตุผลแรกคงเป็นเรื่องราคาที่ไม่แพง เด็กๆ ที่ฝึกเล่น สามารถหาซื้อมาใส่ได้" พรชัย เค้าแก้ว นักเซปักตะกร้อทีมชาติไทย เล่าถึงปัจจัยอย่างแรกที่ทำให้ นันยาง ครองตลาดผู้ที่เล่นกีฬาชนิดนี้
ทุกคนที่เคยซื้อ รองเท้านันยาง รุ่น 205-S จะจดจำได้เป็นอย่างดีว่า รองเท้านี้ราคาถูก ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน นันยางก็เป็นรองเท้าที่ไม่แพง อย่างในยุคปัจจุบัน รุ่นยอดนิยมของนักตะกร้อ ขายเพียงคู่ละ 305-355 บาท (ราคาต่างกันตามไซส์) ซึ่งถือว่าถูกมาก หากเทียบกับรองเท้าสำหรับเล่นกีฬา ยี่ห้ออื่นๆ
แต่สิ่งที่ทำให้ นันยาง แตกต่างออกมาจากรองเท้าราคาถูกทั่วไปในท้องตลาด จนตีตลาดคนเล่นตะกร้อแตกกระจุย คือเรื่องคุณภาพของยางรองเท้า ที่ทำมาจากยางพาราธรรมชาติแท้ 100 เปอร์เซนต์ และกรรมวิธีการผลิต ที่เป็น สูตรเฉพาะของนันยาง
ทำให้ รองเท้ารุ่นนี้ ยึดเกาะพื้นได้เป็นอย่างดี มีความเหนียว ทนทาน รองรับการเดินมากกว่า 1 ล้านก้าว เหมาะอย่างยิ่งสำหรับกีฬา เซปักตะกร้อ ที่ต้องใช้เท้าในการเล่น ทั้งการเสิร์ฟ การชง การเตะ
รวมถึงการเคลื่อนที่ที่หลากหลาย บางครั้งต้องมีการกระโดดสปริงตัวเพื่อบล็อกลูกตะกร้อ หรือกระโดดลอยตัวกลางอากาศที่ฟาดลูกตะกร้อ มันจึงสำคัญมากที่พื้นรองเท้า ต้องสามารถยึดเกาะพื้นได้ดี ไม่ลื่น
อีกทั้งรูปทรงดีไซน์ของ นันยาง รุ่น 205-S ยังออกแบบมาให้ใส่กระชับ คล่องตัว เหมาะสำหรับกิจกรรมอเนกประสงค์
อย่างเช่น เด็กในวัยเรียนก็สามารถซื้อ นันยาง ใส่ไปโรงเรียนและเล่นตะกร้อได้ หรือคนวัยทำงาน เช่น หนุ่มโรงงาน ก็สามารถซื้อนันยางคู่เดียวใส่ไปทำงาน และเตะตะกร้อช่วงพักเที่ยง, เลิกงานได้อีกด้วย
"ความจริงผมเคยลองหารองเท้ายี่ห้อมาทดลองใส่ตอนซ้อมเหมือนกัน แต่ว่าการยึดเกาะพื้น ความกระชับมันไม่เหมือนกับ นันยาง ก็เลยใช้นันยางมาตลอด เหมือนกับนักตะกร้อทุกคน"
"ขึ้นอยู่กับว่า คนที่ใส่นันยาง จะชอบใส่พื้นยางที่อ่อนหรือแข็ง ตอนแข่ง บางคนชอบใช้รองเท้าแกะกล่อง เพราะพื้นยางแข็ง แต่บางคนต้องใส่คู่ ที่มีการนวดพื้นยางมาแล้ว สักอาทิตย์หนึ่ง เพื่อให้ยางอ่อนลง" พรชัย เค้าแก้ว นักตะกร้อทีมชาติไทย ที่ไม่ได้เป็นพรีเซนเตอร์สินค้า และยังต้องซื้อ นันยาง มาใส่เอง บอกกับ Main Stand ถึงจุดเด่นของนันยาง
คุณสมบัติที่หาไม่ได้ในรองเท้ายี่ห้ออื่น จึงทำให้ นันยาง เป็นรองเท้าที่คนเล่นกีฬาตะกร้อ เลือกซื้อหามาใช้งาน ไม่เฉพาะแค่ในเมืองไทยเท่านั้น แต่นักกีฬาตะกร้อต่างชาติก็เลือกไว้วางใจ รองเท้านันยาง จนกลายเป็นสินค้าส่งออกที่ขึ้นชื่อของบริษัท
ยืนหนึ่งในกีฬาตะกร้อ
การเติบโตของกีฬาเซปักตะกร้อ ในระดับนานาชาติ ส่งผลมาถึงยอดจำหน่ายสินค้าของ นันยาง เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่ นักกีฬาทีมชาติไทย, มาเลเซีย สองชาติชั้นนำของกีฬานี้ นิยมใส่ จึงมีอิทธิพลต่อ คนที่เล่นเซปักตะกร้อ ในชาติอื่นๆ ใส่ตาม
Photo : สมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย
นันยาง ส่งออกรองเท้ารุ่น 205-S ไปยังตลาดใหญ่ในกลุ่มประเทศอาเซียน ที่ภูมิภาคต้นกำเนิดกีฬาชนิดนี้ และชาติอื่นๆ เช่น จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ปากีสถาน บังกลาเทศ ฯลฯ
ดังเห็นได้จาก การแข่งขันตะกร้อชิงแชมป์โลก คิงส์ คัพ ที่เมืองไทย บรรดานักเตะลูกหวายจากชาติต่างๆ ก็เลือกใส่รองเท้าพื้นเขียวนันยางทั้งนั้น
แม้ว่าจะมีคู่แข่งในตลาดตรงนี้ เพิ่มขึ้นตามยุคสมัย แต่เอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในเรื่องความทนทาน ราคา ประสิทธิภาพของรองเท้า ก็ยังเป็นสิ่งที่แบรนด์อื่น ไม่สามารถโค่นจุดแข็งตรงนี้ของ นันยาง ไปได้ หากพูดถึงรองเท้าสำหรับนักตะกร้อ
จนสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่า นันยาง คือรองเท้าเบอร์ 1 ของกีฬาชนิดนี้ เหมือนอย่างที่ Nike กินส่วนแบ่งรองเท้าบาสเกตบอลในอเมริกาเป็นอันดับ 1 นั่นเอง