เมื่อ "ทีมต่างดาว" กลายเป็นเพียง "คนธรรมดา"
ถึงตอนนี้หลายคนคงจะทราบข่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า “ซุเปอร์สตาร์อันดับหนึ่ง” อย่าง ลิโอเนล เมสซี เตรียมจะแยกทางกับ บาร์เซโลนา สโมสรที่เจ้าตัวใช้เวลาเกือบ 2 ทศวรรษในการแจ้งเกิดและเติบโตจนยิ่งใหญ่เหมือนทุกวันนี้ ซึ่งประเด็นดังกล่าวถือเป็นข่าวการย้ายทีมที่ช็อกวงการฟุตบอลมากที่สุดข่าวหนึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้
ย้อนกลับไปในตุลาคมปี 2004 ในเกมที่พบกับ เอสปันญอล กุนซือของ บาร์เซโลนา ในขณะนั้นอย่าง แฟรงค์ ไรจ์การ์ด ได้ส่งดาวรุ่งหมายเลข 30 ลงสนามไปแทนที่ เดโก้ ในนาทีที่ 82 และนั่นเป็นเกมแรกที่ เมสซี ลงสนามในแมทช์เป็นทางการให้กับ เจ้าบุญทุ่ม ในอาชีพการค้าแข้งของเขา
แน่นอนว่าหลังจากนั้นเจ้าตัวก็พัฒนาฝีเท้าเรื่อยมา กระทั่งการจากไปของนายใหญ่ชาวฮอลแลนด์ และสตาร์อันดับหนึ่งของทีมชาวบราซิลอย่าง โรนัลดินโญ ในปี 2008 กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ทำให้ เมสซี ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของทีมแบบเต็มตัว พร้อมทั้งเปลี่ยนไปสวมเสื้อหมายเลข 10 ให้กับทีมนับตั้งแต่นั้น
ฤดูกาล 2008/09 ภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา กุนซือหนุ่มรายนี้พาทีมคว้า 3 แชมป์มาครองได้สำเร็จ อีกทั้งยังเป็นปีแรกที่ เมสซี สามารถประกาศตัวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของโลก ด้วยการคว้ารางวัล บัลลงดอร์ มาครองได้เป็นสมัยแรก และยังคงทำได้ต่อเนื่องอีก 3 ปีต่อจากนั้น จนทำสถิติเป็นผู้ถือครองรางวัล บัลลงดอร์ ต่อเนื่องถึง 4 สมัยติดต่อกันเป็นคนแรกบนโลกใบนี้
ไม่เพียงแค่ เมสซี เท่านั้นที่ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดได้สำเร็จ นายใหญ่จอมปรัชญารายนี้ ยังสามารถพาทีม บาร์เซโลนา ก้าวขึ้นไปเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกยุคนั้น จนถึงขั้นถูกเรียกขานว่าเป็น “ทีมที่มาจากต่างดาว” เลยทีเดียว
แต่แล้วการอำลาทีมไปของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ในปี 2012 จัดว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นการเข้าสู่ขาลงของ บาร์เซโลนา ก็ว่าได้ เพราะทั้ง ติโต้ และ เอล ตาต้า ต่างไม่สามารถทำได้ดีเทียบเท่ากับมาตรฐานที่ เป๊ป เคยทำไว้ จะมีก็แต่เพียง หลุยส์ เอ็นริเก้ ที่ดูจะใกล้เคียงมากที่สุดด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปได้เป็นคนสุดท้ายในยุคของ “MSN”
หลังจากแยกทางกันไปในปี 2017 ยาวมาถึงยุคของ บัลบาร์เด้ ทีมเริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงสไตล์การทำทีม จนถึงจุดแตกหักในยุคของ กิเก้ เซเตียน ที่ผ่านมา
อะไร? ที่ทำให้ บาร์เซโลนา ที่เคยรุ่งเรื่องสุดขีด กลับกลายเป็นแค่อดีตอันหอมหวานไปได้กันแน่ ผู้จัดการทีม ? นักเตะ ? หรือ บอร์ดบริหาร ?
คำตอบของคำถามนี้ก็คือ ทุกอย่างที่กล่าวมา ! ช่วงหลายปีที่ผ่านมา บาร์ซ่า มีการปรับเปลี่ยนทีมไปมากจากยุค 2000 จนมาถึงยุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่เน้นสร้างทีมขึ้นมาโดยใช้แกนหลักจากดาวรุ่งภายในทีม และให้ความสำคัญกับการพัฒนาเยาวชนตั้งแต่ศูนย์ฝึก ขัดเกลาให้กลายมาเป็นเพชรเม็ดงามไม่ว่าจะเป็น ปูโยล ปิเก้ ชาบี อิเนียสต้า รวมไปถึง เมสซี และอีกมากมายที่ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักให้กับสโมสร จนทำให้ “ลามาเซีย” โด่งดังมีชื่อเสียงขึ้นมา
แต่หลังหลังจากการเข้ามาของ โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว ประธานสโมสรคนล่าสุดที่รับตำแหน่งในปี 2014 และพึ่งประกาศลาออกไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั้น นโยบายของทีมได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จากการเน้นดันเด็กในสโมรขึ้นมาใช้งาน เป็นการทุ่มเม็ดเงินมหาศาลดึงตัวนักเตะดังๆ เข้าสู่ทีมแทน
แน่นอนมันไม่ใช่เรื่องแย่ แต่ที่แย่คือด้านการตลาดและทีมสรรหานักเตะ เพราะบรรดาแข้งดังเกือบทั้งหมดที่ดึงเข้ามาต้องบอกว่าแทบไม่สามารถใช้งานได้จริงตั้งแต่ อาร์ด้า ตูราน อเล็กซ์ วิดัล อังเดร โกเมส ปาโก้ อัลกาเซร์ ซามูเอล อุมติตี้ ฟิลิปเป้ คูตินโญ อุสมาน เดมเบเล เปาลินโญ มัลคอม และอีกมากมายที่ดูจะเป็นการลงทุนที่ “ผิดพลาด” รวมถึงการที่ไม่สามารถสรรหาผู้จัดการทีมที่มีทั้งฝีมือและบารมีมากพอที่จะทั้งบริหารทีมให้ทำผลงานได้ดีและควบคุมเหล่าสตาร์ในทีมให้อยู่กับร่องกับรอยได้
ซึ่งเมื่อประเด็นเหล่านี้หมักหมมจนได้ที่ ปัญหาทุกอย่างจึงระเบิดออกมาพร้อมกันและส่งผลให้ บาร์เซโลนา เดินทางมาถึงจุดกลียุคอย่างเต็มตัวในที่สุด
ส่วนประเด็นที่คาดว่าจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายสู่จุดแตกหักของ เมสซี กับทีม ว่ากันว่ามาจากการที่ทั้งบอร์ดและผู้จัดการทีมปฏิบัติกับนักเตะอย่างไม่ให้เกียรติเท่าทีควร ทั้งกรณีของ อาร์ตู ที่ถูกบีบบังคับให้ย้ายไปร่วมทีม ยูเวนตุส อย่างไม่เต็มใจเพื่อแลกกับ มิราเลม เปียนิช รวมถึงกรณีของนักเตะตัวเก๋าหลายคนที่ถูกตัดหางลอยแพหลังจบซีซั่นนี้อย่าง หลุยส์ ซัวเรซ อิวาน ราคิติช เคราร์ด ปิเก้ ที่เตรียมถูกขึ้นบัญชีขายลับหลังชนิดที่นักเตะไม่เคยรู้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุทั้งหมดทั้งปวงที่กล่าวไปนี้เองบวกกับฟอร์มการเล่นที่มีแต่ถอยหลังลง นั่นจึงเป็นปัจจัยที่ทำให้สตาร์ดังอย่าง ลิโอเนล เมสซี ที่ตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาเขาคือ “ไอคอน” ของ บาร์เซโลนา ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่านี่เป็นจุดอิ่มตัวของเขากับทีม และถึงเวลาออกผจญภัยอย่างเป็นทางการครั้งแรกแม้จะอยู่ในวัย 33 ปี หยุดเส้นทางอันยาวนานกับ “ทีมต่างดาว” ที่ปัจจุบันต้องบอกว่ากลับกลายเป็นแค่ “คนธรรมดา” ไปอย่างไม่น่าจดจำเท่าใดนัก