ซลาตัน อิบราฮิโมวิช : ชายผู้มั่นหน้าซะจนหน้ามั่น ที่สุดท้ายใครๆ ก็เกลียดไม่ลง
โลกฟุตบอลปัจจุบันมีคำถามโลกแตกอยู่ 1 คำถาม นั่นคือคำถามที่ว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ ลิโอเนล เมสซี่ ใครเก่งกว่ากัน?
ซึ่งหากถามทั้ง โรนัลโด้ และ เมสซี่ พวกเขาต่างก็จะพูดในเชิงยอมรับฝีเท้าซึ่งกันและกัน ที่สำคัญคือไม่มีใครกล้าบอกว่า พวกเขาคือคนที่เก่งกว่าอีกคนแบบชัดๆ สักที จะด้วยเหตุผลของการรักษาภาพลักษณ์หรือความเคารพใดๆ ก็ตาม
แต่ที่แน่ๆ มีนักเตะ 1 คนที่ไม่เคยสนหน้าอินทร์หน้าพรมใดๆ ทั้งสิ้น เขาไม่เคยกลัวที่จะบอกว่าตัวเองเก่งกาจและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ทุกครั้งที่พูด เขาพร้อมจะชื่นชมตัวเองเสมอ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครนิยมทำก็ตาม
และนี่คือเรื่องราวของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช นักเตะที่ฝีปากกล้าและเฉียบขาด ผู้ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองคือคนผิดในทุกๆ เรื่อง และยืนหนึ่งเรื่องความเชื่อมั่นในตัวเองที่สูงปรี๊ดที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา
ทั้งๆ ที่เป็นเช่นนั้น แต่ทำไมแฟนๆ ยังคงรอให้เขาพูดและอยากจะเสพคำโอ้อวดของเขากันล่ะ? ติดตามเคล็ดลับการเป็นลูกผู้ชายปากดีได้ที่นี่
ซลาตัน เป็นคนแบบไหน?
สังคมรอบตัวของเรานั้นไม่สามารถปฎิเสธที่จะอยู่รวมกับบุคคลประเภทต่างๆ ได้ มีคนหลากหลายนิสัยที่ควรคบหา และหลากหลายนิสัยที่ควรถอยห่าง หนึ่งในนั้นคือคนที่มั่นใจในตัวเองสูงลิบทุกอิริยาบถ จองหองเป็นที่ 1 และไม่เคยเกรงใจใคร ... หรือเรียกง่ายๆ ว่า "มั่นหน้า" มากเกินไปนั่นเอง
Photo : www.calciomercato.com
สำหรับ ซลาตัน แน่นอนว่าจากเรื่องราวการค้าแข้งตลอด 20 ปี ที่ผ่านมา เราพอจะบอกได้ว่าเขาเป็นนักเตะที่มั่นหน้ามั่นใจเป็นอันดับ 1 และเป็นเช่นนั้นเสมอมา อย่างไรก็ตามการมั่นหน้าและมั่นใจของเขามีกรอบของความเป็นจริงซ่อนอยู่ เพราะทุกครั้งที่เขาพูด สิ่งเหล่านั้นมักจะมีความจริงซ่อนอยู่เสมอ แม้ว่าที่สุดแล้วมันจะมีความจริงผสมอยู่ไม่เต็ม 100% ก็ตาม อาทิประโยคที่เขาบอกว่า เขาไม่กลัวว่าเมื่ออายุมากขึ้นแล้วฝีเท้าจะอ่อนลงตามสังขาร เพราะมีความเป็นคนพิเศษยิ่งกว่าคนอื่นๆ ทั่วไป
"ทำไมต้องกลัวจะแก่ด้วย ยิ่งแก่ผมก็ยิ่งรสเผ็ดสะเด็ดยาดเหมือนกับไวน์แดงนั่นแหละ อ้อแล้วบอกไว้ก่อนนะ ผมไม่เคยต้องใช้ถ้วยรางวัลมาบอกหรอกว่าผมเก่งแค่ไหน เพราะผมรู้ดีว่าคนอย่างผมมันเหมาะกับคำว่า 'The Best' อยู่แล้ว" ซลาตัน ว่าไว้
ความจริงที่ซ่อนอยู่ในคำโวคือ ซลาตัน เป็นนักเตะที่ยิงประตูหลังช่วงอายุ 30 ปี ไปถึง 190 ประตูในทุกรายการที่ลงเล่น ขณะช่วงที่เขาอายุ 18-29 ปี เขายิงประตูได้ 189 ลูก ... สถิติเช่นนี้มีนักเตะไม่กี่คนที่ทำได้
Photo : www.vg.no
เอาล่ะ แน่นอนว่าการพูดอวดอ้างสรรพคุณตัวเองของ ซลาตัน อาจจะชวนให้ใครหมั่นไส้เขาไปบ้าง แต่ก็อย่างที่บอกไป เมื่อมันมีความจริงปนอยู่ในคำโว รวมถึงหลายครั้งคนอื่นๆ ที่เคยทำงานร่วมกันกับเขาก็ยังให้ความเห็นไปในทิศทางว่า "ไอ้นี่มันของจริง" อาทิ คาร์โล อันเชล็อตติ ยอดกุนซือชาวอิตาเลียนที่บอกว่าไม่มีนักเตะอายุ 35 ปีคนไหนที่จะเก่งได้เท่ากับ ซลาตัน อีกแล้ว (พูดไว้ตอน ซลาตัน อายุ 35 ปี) ขณะที่คนอื่นๆ ก็ไม่ต่างๆ กันนัก หากไม่นับประสบการณ์ผิดใจกับสตาฟฟ์โค้ชเมื่อครั้งอยู่กับ บาร์เซโลน่า เสียงลือเสียงเล่าของ ซลาตัน กับทุกสโมสรที่เขาเคยอยู่ ล้วนออกมาในแง่บวกทั้งสิ้น
มันต้องมีเหตุผลสิว่า ทำไมคนที่คุยโวโอ้อวดยกหางตัวเอง กลับไม่เคยโดนเพื่อนร่วมทีมของเขาเหม็นขี้หน้า กลับกันหลายคนยังยกให้เป็นพี่ใหญ่ของทีมอีกต่างหาก?
ก่อนจะโม้ต้องโชว์ให้ดู
"บางสิ่งเกิดขึ้นเพราะโชคชะตาได้ลิขิตไว้ แต่อย่าลืมว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นจากการทำงานหนัก ... ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ เรื่องของคุณภาพบางทีก็ไม่อาจจะสอนกันได้ คำว่าคุณภาพกับผมเกิดมาพร้อมๆ กันนั่นแหละ" นี่คือสิ่งที่ ซลาตัน ไม่เคยอายที่จะพูดว่าตัวเองวิเศษกว่าคนอื่นๆ เพราะสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของเขาคือ "เครดิต" อันมหาศาล
Photo : www.zimbio.com
"เครดิต" หมายถึงสิ่งต่างๆ ที่เคยสะสมมาเกี่ยวกับวิชาชีพนั้นๆ การสร้างเครดิตที่ดี การันตีเชื่อใจได้นั้นต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ที่สำคัญคือ การจะได้เครดิตนั้น แค่คำพูดอย่างเดียวไม่สามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้ แต่ต้องทำให้ได้จริงๆ เสียก่อน
แม้ปากจะพา ซลาตัน ไปสู่ปลายทางของคนขี้โว แต่ความจริงแล้วเขาไม่พูดอะไรพล่อยๆ หรือพูดไปเรื่อยเฉื่อยแฉะหากว่าเขาไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้ เพราะการพูดแล้วทำไม่ได้นั้นมันจะส่งผลให้เครดิตที่เขาสั่งสมมาหายไปภายในเวลาอันรวดเร็ว และคนจะจำเขาในภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไป จากคนจอมโว กลายเป็นจอมโม้ไปโดยปริยายนั่นเอง
ซลาตัน อาจจะมีปัญหาเรื่องการวางตัวอยู่เหนือกฎระเบียบของทีมอยู่บ้าง (แน่นอนว่าเรื่องเกิดขึ้นที่ บาร์เซโลน่า) เช่นการขับรถสปอร์ตสุดหรูมาซ้อม ซึ่งกฎของสโมสรห้ามไว้แต่เขาก็ทำ แน่นอนว่านั่นคือความผิดของเขาที่ไม่สามารถอยู่ในกฎได้ แต่เมื่้อลงสนามแล้ว ซลาตัน ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีสม่ำเสมอตลอดมา การันตีด้วยสถิติการยิงประตู และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมคนอย่างเขากลายเป็นที่ต้องการตัวเสมอ แม้ทุกวันนี้อายุจะปาเข้าไปเกือบ 40 ปีแล้วก็ตาม
Photo : www.rt.com
เคล็ดลับของการเป็นยอดนักเตะไม่มีทางลัด ฝีปากเก่งแค่ไหนก็ไม่มีใครฟังถ้าฝีเท้าไม่ดี และฝีเท้าจะดีแค่ไหนก็ไม่มีใครต้องการหากไม่มีวินัยในการดูแลตัวเอง ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมา ซลาตัน มีทุกข้อ เขาคือคนโวที่รู้หน้าที่ของตัวเอง เขาตั้งใจซ้อมอย่างเต็มที่ และเมื่อเขารู้ว่าตัวเองทำเต็มที่แล้วเขาก็ไม่เคยกลัวที่จะพูดจาโอหัง เพราะการทำงานหนักในสนามซ้อมจะส่งผลลัพธ์ที่ดีเมื่อได้ลงสนามในท้ายที่สุด
"ผมซ้อมอย่างหนัก ผมเชื่อในพลังของตัวเอง เล่นตามเกมของตัวเอง และพยายามสนุกกับมันก็เท่านั้น เมื่อแก่ตัวลง ผมกลับได้ความชาญฉลาดและประสบการณ์ที่มากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น ผมไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เหมือนตัวเองเมื่อ 5-10 ปีที่ผ่านมาได้แล้ว เกมของผมนั้นพัฒนาขึ้น ผมรู้สึกได้ว่ามันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกราวกับตัวเองเป็น 'เบนจามิน บัตตัน' เลยล่ะ ผมแก่ในตอนเกิดมา และผมก็ตายในขณะที่ตัวเองดูเด็กลงเรื่อยๆ"
Photo : www.zimbio.com
ไม่ใช่แค่ตอนแก่เท่านั้น การจะเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองได้เนียนเป็นธรรมชาติระดับนี้ เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ตั้งแต่ยังเด็ก การเป็นคนที่ใช้ฝีเท้าในการพัฒนาตัวเอง บวกกับการใช้ฝีปากเป็นอาวุธที่ทำให้คนจำ คือสิ่งที่ติดตัวเขามายาวนาน เรื่องเล่ามหัศจรรย์ของเขาสมัยที่อายุ 18 ตอนที่เล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของ มัลโม่ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผูกเข้ากับความมั่นใจของตัว ซลาตัน ซึ่งเป็นนิสัยของเขาได้เป็นอย่างดี
รูน สมิธ นักข่าวที่เคยเห็นฝีเท้าของซลาตันตั้งแต่วัยรุ่น กล่าวกับ Bleacher Report ว่า ซลาตัน ถูกเรียกมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่ครั้งแรก แต่เขาไม่เหมือนดาวรุ่งคนอื่นๆ ที่จะมีความเกรงใจรุ่นพี่ ไม่กล้าเข้าปะทะ ไม่กล้าใช้ทักษะเลี้ยงหลบให้เสียหน้า แต่ ซลาตัน นั้นใช้ทุกอย่างที่มีเล่นงานซีเนียร์ในทีมจนหัวร้อน และสุดท้ายเขาได้ฉายาว่า "ฮัลค์" ที่หมายความว่าคนตัวใหญ่ที่ว่องไวจนไม่มีใครหยุดได้ เมื่อเขาแสดงความมั่นใจทั้งหมดออกมา ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเด็กอายุ 18 ปี คนนั้นกลายเป็นทุกอย่างของทีมไปอย่างรวดเร็ว ... และแน่นอนที่สุด เมื่อทุกคนสัมผัสแล้วว่า "เขาทำได้จริงๆ" ก็ไม่มีใครสนอีกต่อไปว่าเขาจะพูดจากวนบาทาใครแค่ไหนก็ตาม
การทำในสิ่งที่ควรทำปีแล้วปีเล่า สั่งสมมาเป็นเครดิตที่ทำให้ใครๆ ก็เข้าใจว่า "ถ้าไม่โวไม่ใช่ซลาตัน" และต่อให้เขาจะมั่นหน้ามั่นใจแค่ไหน สิ่งที่เขาพูดและสิ่งที่เขาทำมันจึงกลายเป็นแง่บวกมากกว่า ซึ่งมีไม่กี่คนหรอก ที่ยิ่งพูดโวเท่าไหร่กลับยิ่งทำให้คนข้างๆ ชื่นชอบมากขึ้นเท่านั้น ...
Photo : www.buzz.ie
"ผมต้องพูดว่า ทันทีที่ซลาตันมาถึง แมนฯ ยูไนเต็ด คุณรู้สึกได้ถึงออร่าที่อยู่รอบตัวเขา เขามาที่สโมสรและพูดว่าเขาอยากจะคว้าแชมป์ ตอนนั้นผมยังเด็ก มาร์คัส (แรชฟอร์ด) ก็ด้วย ทันทีที่เราคว้าแชมป์แรก มันทำให้เรากระหายมากขึ้น ผมพูดเลยว่าเขานำปัจจัยและจิตใจของผู้ชนะมาที่ทีม" เจสซี่ ลินการ์ด ยอมรับว่าในช่วงเวลาที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไร้แชมป์และขาดความมั่นใจ การมาของจอมโวอย่าง ซลาตัน กลับเปลี่ยนเด็กๆ ในทีมให้พร้อมเชื่อฟังในสิ่งที่เขาพูด แม้เขาเพิ่งจะเป็นสมาชิกใหม่ของทีมก็ตาม
ปากเปลี่ยนโลก
ฝีปากและความมั่นใจอันเกินเหตุของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแค่โลกฟุตบอลเท่านั้น การที่เขาเป็นตัวของตัวเอง พูดสิ่งที่อยากพูด ทำสิ่งที่อยากทำ และมีเป้าหมายของการกระทำที่ชัดเจน ได้ส่งผลถึงคนกลุ่มหนึ่งในประเทศสวีเดนที่เห็นเขาเป็นดั่งไอดอล และไอดอลในที่นี้ หมายถึง "ผู้นำทางชีวิต" ไม่ใช่แค่ "นักฟุตบอลที่ชื่นชอบ" เท่านั้น
Photo : www.dw.com
ย้อนกลับไปในวัยเด็ก ซลาตัน นั้นเติบโตมาในครอบครัวชาวบอสเนีย-โครเอเชียอพยพที่ยากจนและอพยพเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในสวีเดน ครอบครัวของเขาไม่มีใครพูดภาษาสวีเดนได้ในตอนแรก แต่การที่เขาก้าวขึ้นมาจากจุดที่ตกต่ำถึงขีดสุด กลายเป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในประเทศได้ จึงทำให้ ซลาตัน เป็นเหมือนผู้นำทางชีวิตให้กับกลุ่มคนอพยพในสวีเดน พวกเขาได้เข้าใจเสียใหม่ว่า การอยู่แบบแบ่งรับแบ่งสู้ ครึ่งๆ กลางๆ ไม่มีทางที่จะทำให้พวกเขาหลีกหนีวงจรชีวิตที่ย่ำแย่ได้ การเป็นคนอพยพในดินแดนใหม่นั้นเป็นเรื่องยาก แต่การลืมตาอ้าปากได้มันยากกว่าแน่ ถ้าคุณไม่เอาจริงเอาจังกับชีวิต
การแจ้งเกิดในฐานะบุคคลทรงอิทธิพลของ ซลาตัน ทำให้เกิดคำศัพท์ในประเทศสวีเดนขึ้นใหม่ นั่นคือคำว่า "นิว สวีเดน" ซึ่งหมายถึงผู้คนรุ่นใหม่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ที่เติบโตขึ้นมาเป็นบุคลากรคุณภาพให้ประเทศ
Photo : www.express.co.uk
"ผมตัดสินอนาคตของผมเอง ผมตัดสินใจเลือกสิ่งที่ตัวเองจะทำ ไม่มีใครมีอิทธิพลเหนือตัวผมไปได้" ซลาตัน พูดถึงสิ่งที่เขาเป็นมาเสมอ
"ซลาตัน คือตัวแทนของคำว่า 'นิว สวีเดน' จริงๆ แล้วมีผู้เล่นทีมชาติหลายคนนะที่เติบโตมาจากครอบครัวผู้อพยพ แต่ ซลาตัน คือสัญลักษณ์และเป้าหมายที่ชัดเจนของกลุ่มผู้อพยพ เขาเป็นเหมือนตัวแทนของคนกลุ่มนี้ที่ยากจนและเติบโตมาในครอบครัวที่พูดภาษาอื่นที่ไม่ใช่สวีเดน เขาประสบความสำเร็จในแง่การสร้างภาพลักษณ์ บุคลิกภาพ และทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์ชิ้นใหม่ของสังคมสวีเดน นั่นคือสิ่งที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังชีวิตค้าแข้ง" โจฮันนา ฟรานเดน นักข่าวชาวสวีเดน เล่าให้ Eurosport ฟัง
ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ว่า ทำไมเขาจึงสร้างภาพลักษณ์จอมโวผู้ยิ่งใหญ่เหมือนเช่นทุกวันนี้ เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของการสร้างสีสันให้กับกลุ่มนักข่าว แต่การที่เขาเป็นคนพูดจริง ทำจริง และบางครั้งก็พูดด้วยวาทะที่น่าฟังสอดแทรกอุปมาอุปมัยอย่างมีชั้นเชิง สิ่งเหล่านี้ทำให้คนที่ฟังเขาเกิดอาการ "อิน" และได้รับพลังบวกจากคำโวครั้งแล้วครั้งเล่าของ ซลาตัน
Photo : Johan Nilsson/TT
เราไม่อาจจะปฎิเสธได้ว่า ซลาตัน ก็เหมือนนักเตะคนอื่นๆ ที่เมื่อมีคนชอบ ก็ต้องมีคนไม่ชอบ แต่สิ่งที่น่าชื่นชม คือเขาเป็นคนที่ไม่เคยเปลี่ยนแนวทางของตัวเอง ไม่ว่าสิ่งที่เขาทำจะได้รับผลตอบรับที่ดี หรือแย่ขนาดไหน ซึ่งนั่นอาจจะเป็นข้อดีของคนที่มั่นหน้า และมั่นใจอย่างเขา
แต่ก็อีกนั่นแหละ การที่ ซลาตัน เป็น ซลาตัน อย่างนี้มาเนิ่นนาน มันแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่ฉลาดในการสร้างคาแร็คเตอร์นอกสนาม และสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนอื่นๆ เมื่ออยู่ในสนาม เพื่อรีดศักยภาพสูงสุดที่มีออกมา ไม่ว่าเขาจะเที่ยวบอกคนอื่นว่า "ผมคือราชา" หรือ "ผมคือพระเจ้า" มากขนาดไหนและอย่างไร สุดท้ายแล้วเขาไม่ได้พูดมันออกมาพล่อยๆ แต่พร้อมรับทุกแรงกระแทกและเสียงตอบรับเสมอ ... เพราะนี่คือสิ่งที่เขาเลือกมาตั้งแต่แรก
ถ้าทั้งหมดที่คุณอ่านมานั้นยังไม่สามารถทำให้คุณเข้าใจได้ว่า ทำไมการมั่นหน้าสุดฤทธิ์ มั่นใจสุดขีดของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช จึงกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนรอจะฟัง และสนุกกับสิ่งที่เขาพูด ... มันมีคำอธิบายถึงตัวตนที่ ซลาตัน เขียนลงในหนังสือของตัวเขาเองที่ชื่อว่า I am Zlatan ... ว่าสิ่งที่เขาพูดทั้งหมดไม่ใช่สิ่งไร้สาระพูดไปเรื่อย เขาจะต้องทำมันได้จริงๆ ก่อนจึงค่อยพูดมันออกมา ด้วยสำนวนเฉพาะตัวที่ยียวนขึ้นเล็กน้อย
Photo : Asgarov Football
"สิ่งที่ผมเป็น คือผมสามารถพูดและทำได้ ไม่ได้แค่คิด ผมจึงเป็นคนที่ดีที่สุด เก่งที่สุด แล้วมึงคือใครวะ? แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความคิดแบบไร้เดียงสา แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ไม่พูดหรือแสดงอะไรที่ไร้สาระออกมาเหมือนกับพวกดาวดังของสวีเดน" ซลาตันเขียนไว้ในหนังสือ I Am Zlatan
ทั้งหมดนี้ทำให้เขากลายเป็นราชาจอมโว ที่ต่อให้ใครจะไม่ชอบหน้าเขาแค่ไหนก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า ฝีปากของเขาช่างเอ็นเตอร์เทนเสียจนอดสนุกเมื่อได้ฟังหรือได้อ่านไปด้วยไม่ได้เลยทีเดียว
อยากโม้ให้คนชอบ ก็แค่มีศิลปะในการพูด และที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้เขาเห็นก่อนโม้ให้เขาฟัง ... นั่นคือข้อสรุปที่เราได้รู้จาก ซลาตัน อิบราฮิโมวิช คนนี้