วัฏจักรลิเวอร์พูล สัจธรรมชีวิต และความสุขของการรอคอย 30 ปี "แจ็กกี้" อดิสรณ์ พึ่งยา

วัฏจักรลิเวอร์พูล สัจธรรมชีวิต และความสุขของการรอคอย 30 ปี "แจ็กกี้" อดิสรณ์ พึ่งยา

วัฏจักรลิเวอร์พูล สัจธรรมชีวิต และความสุขของการรอคอย 30 ปี "แจ็กกี้" อดิสรณ์ พึ่งยา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"มีคนถามเราตลอดว่า 'อดทนมาได้ไงตั้ง 30 ปี ทีมที่เชียร์ ไม่เคยได้แชมป์ลีก' ส่วนตัวเราไม่ได้รู้สึกว่า ตัวเองอดทนขนาดนั้น หรือกระเหี้ยนกระหือรือต้องให้ ลิเวอร์พูล ได้แชมป์เท่านั้น เราดูบอล เพื่อเก็บเกี่ยวความสุขมากกว่า"

"เราไม่เคยพลาดสักนัดเลย เราดูตลอด เพราะเรามีความสุขที่ได้เชียร์ ลิเวอร์พูล ในทุกสัปดาห์ ผลชนะ-แพ้ มันเป็นเรื่องของเกมกีฬา อาจทำให้เราดีใจ และเซ็งกับมันบ้าง แต่เรามีความสุขทุกนัดที่เห็นทีมลงเล่น ตั้งตารอว่านัดหน้าจะเป็นอย่างไร" 

"เราไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็น 30 ปีแห่งการรอคอย 30 ปีแห่งความทรมาน มันเป็น 30 ปีที่เรามีความสุข จนมารู้ตัวอีกที เวลามันก็ผ่านไปเร็วเหมือนกัน เพราะเราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ถ้าเราใช้ชีวิตแบบคนที่ทุกข์ วันเดียวก็เหมือน 10 ปี เราคิดว่าตัวเองได้เข้าใจสัจธรรมนี้มาจากการดูลิเวอร์พูล" 

สำหรับคนที่ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับวงการฟุตบอลต่างประเทศ คงไม่มีใครไม่รู้จัก อดิสรณ์ พึ่งยา เจ้าของนามปากกา "แจ็คกี้" ผู้โลดแล่นอยู่ในแวดวงสื่อสารมวลชนด้านกีฬามาอย่างยาวนาน

อีกหนึ่งภาพจำเกี่ยวกับตัวเขา คงเป็นในฐานะ "แฟนคลับสโมสรลิเวอร์พูล" ทีมลูกหนังที่เพิ่งยุติการรอคอยแชมป์ลีกสูงสุด ไว้ที่ 30 ปี 

ระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษนั้น ยาวนานมากพอที่จะทำให้ เด็กแรกเกิด เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ ที่สามารถเป็นพ่อ-แม่ คนได้อีกรุ่นหนึ่ง ดังนั้นหากนำมาเปรียบกับการรอคอยความสำเร็จของ สโมสรที่เชียร์ มันคงยาวนาน และต้องใช้ความอดทนไม่น้อย เพื่อให้สิ่งที่คาดหวังเป็นจริง

แต่สำหรับ แจ็คกี้ เขาบอกกับเราว่า นั่นไม่ใช่การรอคอยที่ทรมาน แต่มันคือการรอคอยที่ไม่เคยสิ้นความสุข ตลอด 30 ปี ราวกับว่า ตัวเขาได้เรียนรู้เข้าใจ วัฏจักรของโลกฟุตบอล และสัจธรรมของชีวิต ผ่านการติดตามเชียร์สโมสรที่อยู่ห่างไกลออกไปอีกซีกโลกหนึ่ง 

 

สำหรับสาวกลิเวอร์พูลคนหนึ่ง ที่ทันดูแชมป์ลีกครั้งสุดท้ายของสโมสร เมื่อ 30 ปีก่อน ในคืนวันที่ 25 มิถุนายน 2020 เป็นโมเมนต์ที่สำคัญมากขนาดไหนของคุณ? 

ปีนี้เรารู้อยู่แล้วว่า ทีมจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เพราะแต้มมันห่างมาก คงเป็นเรื่องยากที่จะพลิกล็อก รอลุ้นแค่ว่าจะได้เป็นแชมป์อย่างเป็นทางการเมื่อไหร่? ส่วนตัวเราอยากได้ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ยิ่งดี เมื่อคืนก็ลุ้นให้ เชลซี ชนะ แมนฯ ซิตี้ นะ 

ไม่อยากยืดเยื้อไปถึงนัดที่เจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แบบที่แฟนบอลบางกลุ่มอยากเห็น เพื่อวัดกันว่าใครเจ๋งกว่ากัน เราว่าจบเร็วแบบนี้ดีแล้ว จะได้ไปทำอย่างอื่น ถ้าสมมติมีการระบาด COVID-19 รอบสอง ต้องตัดจบการแข่งขัน เราก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว 

 

อารมณ์ความรู้สึกตอนที่เห็น ทีมรักได้แชมป์ แตกต่างกันไหม ระหว่างแชมป์เมื่อปี 1990 กับปี 2020 

ต่างกันเยอะ แชมป์ตอนปี 1990 เรายังเรียนอยู่ระดับมหาวิทยาลัย ทีวียังไม่มีถ่ายทอดสดทุกคู่ เหมือนยุคนี้ การเชียร์ลิเวอร์พูลมันเป็นเรื่องที่เราคุยกัน เฉพาะแค่ในกลุ่มเพื่อน 3-4 คนเท่านั้น สังคมของการเชียร์บอลมันแคบมาก

เราต้องรออ่าน สตาร์ ซอคเกอร์ รายสัปดาห์ ช่วงตอบจดหมายของ พี่ ย.โย่ง ที่จะมีประมาณ 4-5 หน้าต่อเล่ม ในนั้นก็จะมีแฟนบอลลิเวอร์พูล เขียนจดหมายเข้ามาหาพี่ ย.โย่ง ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้อ่านความคิดเห็นของคนที่มีความชอบคล้ายๆ กัน 

ต่างกับยุคนี้เราคุยกับใครก็ได้ เราคุยเรื่องการฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีก กับคนแปลกหน้า มากกว่าเพื่อนสนิทเสียอีก อย่างตัวผมใช้ ทวิตเตอร์ ก็จะมีแฟนๆ ที่เราไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว เข้ามาพูดคุยด้วย กลายเป็นว่า เราดีใจกับคนที่เราไม่ได้สนิทในชีวิตจริง แต่เป็นพวกเดียวกัน เพราะเชียร์ลิเวอร์พูลเหมือนกับเรา 

ความรู้สึกมันเลยต่างกัน ระยะเวลา 30 ปี โลกก็เปลี่ยนไปมาก ในแง่ปริมาณความดีใจใกล้เคียงกัน แต่สิ่งที่รู้สึกว่าครั้งนี้พิเศษกว่านิดหน่อย ตรงที่เมื่อก่อน ลิเวอร์พูล อาจได้แชมป์ลีกมาบ่อย ในตอนนี้อารมณ์ของเราเป็นแบบ ภูมิใจที่เห็นทีมชุดนี้ทำได้สำเร็จ 

 

ในแง่ของความหลงใหลล่ะ? เท่าเดิม เพิ่มขึ้น หรือ ลดลง 

ความหลงใหลยังเท่าเดิม เหมือนตอน 30-40 ปีก่อนที่ติดตามมา เรายังรักทีมไม่เปลี่ยนแปลง ถามว่า สโมสรลิเวอร์พูล มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้าง ในแง่ของคุณค่า มันไม่มีอยู่แล้ว ก็ยังคงเป็นลิเวอร์พูลทีมเดิม อาจจะเปลี่ยนผู้เล่น โค้ช เจ้าของทีม 

วันข้างหน้า FSG (ผู้ถือหุ้นใหญ่สโมสร) อาจประกาศขายหุ้นลิเวอร์พูลให้กับกลุ่มใหม่ก็ได้ เพราะมูลค่าทีมสูงขึ้น ตรงนี้เป็นเรื่องของธุรกิจ มันคือสัจธรรมที่ว่า ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา วันหนึ่งอาจจากเราไป แต่คุณค่าของสโมสรยังคงอยู่ ตรงนั้นต่างหากที่สำคัญ 

 

ลิเวอร์พูล ในความทรงจำของคุณเป็นอย่างไร? เสน่ห์อะไรที่ทำให้ยังเชียร์ทีมนี้ไม่เปลี่ยนแปลง 

เราเริ่มจากการอ่าน ไม่ใช่การดูแมตช์การแข่งขัน เรารับรู้เรื่องราวของลิเวอร์พูล ผ่านการเขียนบรรรยายของ คอลัมนิสต์, นักข่าว ทำให้เราเกิดจินตนาการ อยากดูของจริง สมัยตอนเราเป็นเด็ก มันไม่ค่อยมีการถ่ายทอดสด มีแค่เฉพาะบอลถ้วย เอฟเอ คัพ, ยูโรเปี้ยน คัพ 

เราอยากรู้ว่า "เครื่องจักรสีแดง" เป็นอย่างไร? พอเริ่มมีการนำไฮไลท์มาออกอากาศ เราก็เริ่มได้เห็นมากขึ้น ช่วงที่เข้ามาอยู่กรุงเทพฯ เราก็ไปหาเช่าวิดีโอ มาเปิดดู ลิเวอร์พูล ประกอบกับเราเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ

เราสนใจ สโมสรลิเวอร์พูล เราก็เริ่มศึกษาเกี่ยวกับ ผู้คน, สังคม, เมือง, วัฒนธรรม ตอนที่เกิดโศกนาฏกรรมที่ เฮย์เซล (ปี 1985) เราเรียนอยู่ชั้น ม.4 จากนั้นอีก 4 ปีต่อมา ก็เกิดโศกนาฏกรรม ฮิลล์โบโร (ปี 1989) ตอนนั้น เราเรียนอยู่ระดับมหา'ลัยแล้ว ก็หาอ่านหนังสือเต็มพิกัดเลย 

ถึงได้เข้าใจว่า นี่ไม่ใช่เรื่องฟุตบอลแล้ว มันมีสตอรี่มากมายเต็มไปหมดเกี่ยวกับ ลิเวอร์พูล อีกทั้ง เมืองลิเวอร์พูล มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นหลายอย่าง ในเชิงประวัติศาสตร์ เช่น เคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญ, เป็นเมืองเกิดของวง เดอะ บีเทิลส์  กลายเป็นว่าเราได้เรียนรู้เรื่องราวมากมาย ผ่านการติดตามเชียร์ทีมนี้ 

ส่วนเสน่ห์ของ ลิเวอร์พูล คงเป็นเรื่องของสไตล์การเล่น และเบื้องหลังความสำเร็จ มันเป็นเรื่องราวที่ไม่สามารถสร้างได้แค่ 1-2 วัน อย่างเรื่อง The Boot Room หลังจากหมด บิลล์ แชงค์ลีย์ ก็ยังมี บ็อบ เพรสลีย์, โจ เฟแกน เข้ามาสานงานต่อได้อย่างไม่มีที่ติด ด้วยวิธีการเดียวแบบที่ แชงคลีย์ สร้างไว้

ปรัชญายังอยู่คงอยู่ จนมาถึงคนสุดท้ายอย่าง รอย อีแวนส์ ที่เกือบจะพาทีมไปได้แชมป์ มันน่าทึ่งในการส่งต่อ สืบทอดสิ่งเหล่านี้ ด้วยการเอาคนในมาทำทีม จากยุค 70's ถึง 90's นานถึง 20 ปี

มันเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เราหลงรักทีม ซึ่งก็มีปัจจัยอื่นๆ ด้วยนะ นักเตะก็อาจเป็นส่วนหนึ่ง แต่เราไม่ได้ยึดอะไร คนไหนเล่นดี แฟนก็รัก คนเล่นไม่ดี คนก็ไม่ได้จดจำอะไรมาก เพราะนักเตะเข้ามาก็ผ่านไป แต่ผลงาน วิธีการ มันยังคงอยู่ 

 

ปัจจัยที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องรอคอยแชมป์ลีกสูงสุดนานถึง 30 ปี 

มีสองส่วนหลักๆ คือ ทีมผู้บริหาร และโค้ช เพราะโค้ชที่เก่ง จะสร้างนักเตะชั้นดีได้อย่างน้อย 20 คน และทีมที่มีผู้เล่นดี ก็มีโอกาสจะประสบความสำเร็จ 

ในช่วงหลังจากแชมป์ลีกครั้งสุดท้าย ฟุตบอลอังกฤษกำลังเปลี่ยนผ่านจาก ดิวิชั่น 1 สู่ พรีเมียร์ลีก ที่ใช้อำนาจเงินมาแข่งขันกัน แต่ทางตระกูลมัวร์ ที่เป็นเจ้าของทีมยุคนั้น ไม่ค่อยลงทุน ยังคงใช้วิธีการบริหารแบบเก่า ไม่มีวิสัยทัศน์ที่ปรับตัวเข้ายุคสมัยได้ 

สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับว่า ตัวเองไม่สามารถทำทีมได้ต่อไป ต้องมองหาผู้ร่วมทุนใหม่ หรือขายทีมออกไป ขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูล มาประสบปัญหาเรื่องโค้ชอีก ภายหลังการลาออกของ เคนนี่ ดัลกลิช ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1991 

ลิเวอร์พูล ก็ดันคนในอย่าง รอนนี่ มอร์แรน มาทำหน้าที่แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ จึงแต่งตั้ง แกรม ซูเนสส์ อดีตฮาร์ดแมนคนสำคัญของทีม มาเป็นโค้ช สิ่งที่ ซูเนสส์ ทำคือเปลี่ยนวิธีการเล่นใหม่หมด โละพวกตัวเก่งๆ ออก ทั้งที่หลายคนยังมีความสามารถอยู่ 

จากทีมของ ดัลกลิช ที่จบตำแหน่งรองแชมป์ ซูเนสส์ พาลิเวอร์พูล จบอันดับ 6 สุดท้ายก็ต้องแยกทางกัน ก็เปลี่ยนโค้ชมาหลายคน แต่ยังไม่มีใครทำทีม ได้อย่างมีมาตรฐานสม่ำเสมอ หมือนอย่างที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคนั้น 

จนมาถึงยุคของ ราฟาเอล เบนิเตซ ก็เริ่มมีความหวังว่าคนนี้แหละที่พาทีมไปถึงจุดนั้น ด้วยผลงานที่เขาพา บาเลนเซีย คว้าแชมป์ลีก ล้ม บาร์เซโลนา กับ เรอัล มาดริด ได้ มาคุมทีมเราปีแรก ก็พาลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 

แต่ยุคที่ ราฟา คุมทีมเป็นช่วงที่ เจ้าของทีม บริหารได้แย่มาก ทำธุรกิจไม่ขึ้น ไม่สามารถพัฒนาแบรนด์ ลิเวอร์พูล ให้มีมูลค่าไปได้มากกว่านี้ รวมถึง ราฟา ไม่ได้รับการสนับสนุนที่ดีจากผู้บริหารด้วย สุดท้ายก็ตัดสินใจลาออกไป มีการเปลี่ยนแปลงโค้ชอีกหลายครั้ง

ยุคสมัยก็เปลี่ยนไป สโมสรฟุตบอลสมัยใหม่ มีโครงสร้างการทำงานที่ชัดเจน โค้ชโดนลดบทบาทลงจากเดิม โค้ชไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจมากเท่าอดีต เพราะต้องเสนอผ่านบอร์ด คณะกรรมการ กระบวนการ ขั้นตอน มันซับซ้อนขึ้นมาก

ความสำเร็จของสโมสรฟุตบอล จึงต้องอาศัยทั้งสองส่วน คือ ผู้บริหารและโค้ช อย่างแชมป์ลีกครั้งนี้ของ ลิเวอร์พูล ก็มาจากบริหารงานที่ดีของ จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ จากกลุ่ม FSG ที่เขามีประสบการณ์ในการทำธุรกิจอเมริกัน เกมส์ และเคยประสบความสำเร็จมาแล้ว บวกกับการได้ เยอร์เกน คล็อปป์ ที่ลาออกมาจาก ดอร์ทมุนด์ 

ส่วนเรื่องแฟนบอลลิเวอร์พูล ตรงนี้เป็นแรงหนุนที่โคตรดี เพราะไม่ว่าทีมจะผลงานเป็นอย่างไร แฟนบอลไม่เคยหายไป มีแต่เพิ่มขึ้นจากเด็กยุคใหม่ อีกทั้งข้อดีของแฟนคลับลิเวอร์พูล คือ เขาจะเรียนรู้และส่งต่อ ขนบดั้งเดิม วัฒนธรรมการเชียร์ ให้กับคนรุ่นต่อไป มันเลยทำให้พวกเขาต้องการรักษาสิ่งนี้เอาไว้ หรือพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม 

 

เวลาคาดหวัง แล้วไม่สมหวัง รับมือกับความผิดหวังอย่างไร หรือ คุณรู้สึกว่าตัวเองได้เรียนรู้เข้าใจ ความเป็นจริงมากขึ้น 

เราไม่ได้ผิดหวังนะ เรารู้และเข้าใจความเป็นจริงมากขึ้น เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่ ทุกวันนี้ก็เลยต้องมาอธิบายให้แฟนบอลรุ่นใหม่ฟัง อย่างปีที่แล้ว ที่ลุ้นแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เด็กรุ่นใหม่ไม่เข้าใจว่า ทำไมลิเวอร์พูลที่เล่นดีมาตลอดทั้งฤดูกาล เก็บได้ 97 คะแนน ถึงไม่ได้แชมป์

หากมองให้ลึกลงไป สิ่งที่ นักเตะลิเวอร์พูล แตกต่างกับ แมนฯ ซิตี้ คือ ประสบการณ์ในการลุ้นแชมป์ลีก ผู้เล่นแมนฯ ซิตี้ ได้สัมผัสแชมป์มาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ในบางเกมที่ต้องการผลชนะเท่านั้น กลายเป็นว่า พอไม่มีประสบการณ์ลุ้นแชมป์ ผู้เล่นมีความกดดัน เกร็ง ตื่นเต้น ทำให้เล่นไม่ดีอย่างที่เคยเป็นมา ผลงานจึงแกว่งไป 

พอมาฤดูกาลนี้ ผมเคยดูบทสัมภาษณ์ของ อลัน เชียเรอร์ ช่วงก่อนเปิดฤดูกาล เขาบอกว่า ด้วยประสบการณ์ของการเป็น แชมป์ยุโรป จะทำให้ปีนี้ ลิเวอร์พูล มาแบบน่ากลัวขึ้นกว่าเดิม ดุดัน กัดไม่ปล่อย อย่างที่เราเห็นในบางเกม ลิเวอร์พูล เล่นไม่ดี แต่เอาชนะได้ จนสุดท้ายก็ทำได้สำเร็จจริงๆ ตามที่ เชียเรอร์ บอก 

 

การเข้ามาของ เยอร์เกน คล็อปป์ เป็นการจุดประกายความหวังแค่ไหน? เคยคิดไหมว่า มันอาจจะไม่สมหวังตอน ราฟาเอล เบนิเตซ หรือ เบรนแดน รอดเจอร์ส 

เราเชื่อว่าแฟนบอลลิเวอร์พูลส่วนใหญ่ มีความรู้สึกว่าเรามีโอกาสจะเป็นแชมป์ ตั้งแต่วันแรกที่สโมสรแต่งตั้ง เยอร์เกน คล็อปป์ แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงในปีไหน

เพราะคล็อปป์ มีองค์ความรู้ ประสบการณ์ ในการทำทีมฟุตบอลให้ประสบความสำเร็จ บวกกับความที่เขาเป็นคนเยอรมัน มีความเป็นนักสู้ ไม่ว่าจะล้มกี่ครั้ง ก็จะไม่ยอมแพ้ ตอนที่สโมสรแต่งตั้ง คล็อปป์ ก็มีแฟนบอลทีมอื่นเข้ามาแซว โดยเฉพาะแฟนแมนฯ ยูไนเต็ด ประมาณว่า "ดีใจอะไรกัน ได้แชมป์แล้วเหรอ" 

วิธีการของ คล็อปป์ ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้แฟนบอล เขาไม่ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงทีมแบบยกชุดเหมือน แกรม ซูเนสส์ คล็อปป์ ใช้เวลาในการสร้าง เริ่มต้นจากใช้ทรัพยากรที่มีก่อน จากนั้นก็เริ่มคัดคน จนมาถึงชุดผู้เล่นปัจจุบัน ที่เขาเลือกแล้วว่า เหมาะสมกับระบบที่เขาต้องการทำ 

 

ช่วงเวลา 30 ปี ลิเวอร์พูล ก็มีความสำเร็จได้แชมป์บอลถ้วย มาหลายครั้ง แต่พอเป็น พรีเมียร์ลีก ที่ยังไปไม่ถึงแชมป์สักที มันเป็นอารมณ์ที่รู้สึกติดค้างในใจไหม 

ส่วนตัวจะไม่ค่อยคิดอะไร แต่จะมีอีกความรู้สึกหนึ่งเข้ามาอยู่เรื่อย เวลามีแฟนแมนฯ ยูไนเต็ด บางคน ชอบมาล้อเลียน เข้ามาแซว ความรู้สึกเหมือนโดนสะกิด คันๆ แสบๆ จากที่เรานิ่งๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร เริ่มมาทำให้ไขว้เขว จนเกิดอารมณ์ว่า "เมื่อไหร่จะได้แชมป์สักที จะได้จบๆ ไป"

ถึงแม้ตอนนี้ ลิเวอร์พูล จะได้แชมป์แล้ว แต่ยังมีแฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด บางคนเข้ามาพิมพ์ประมาณ แชมป์ 13 สมัย ยินดีต้อนรับ ลิเวอร์พูล ความจริงผมชอบคำสัมภาษณ์ของ ดิว็อก โอริกิ มีคนไปถามเขาประมาณว่า รู้สึกอย่างไรที่ ลิเวอร์พูล ยังไม่เคยได้แชมป์พรีเมียร์ลีก 

โอริกิ ก็ตอบว่า "หากเปรียบฟุตบอลลีกสูงสุดเป็นเหมือนพ่อ ถ้าพ่อคุณเปลี่ยนชื่อ เขาจะยังเป็นพ่อคุณอยู่หรือเปล่า" เป็นการตอบที่คมคาย อธิบายให้เห็นภาพเป็นอย่างดี ลีกสูงสุดก็คือ ลีกสูงสุด คุณค่าของมันไม่ได้หายไป เพียงเพราะชื่อ 

 

คุณค่าของการอดทนรอแชมป์ลีกมา 30 ปี เมื่อความสำเร็จนั้นเป็นจริง มันหอมหวานมากขนาดไหน 

คนที่เป็นแฟนบอล ย่อมอยากเห็นสโมสรประสบความสำเร็จ เป็นแชมป์ลีกอยู่แล้ว แต่ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา เราไม่ได้คาดหวังว่า ลิเวอร์พูล ต้องเป็นแชมป์ทุกปี สำหรับเราการได้ดู ลิเวอร์พูล ลงเล่นทุกสัปดาห์ ต่างหากที่เป็นความสุขของเรา การเป็นแชมป์มันเป็นเพียงแค่ส่วนเติมความรู้สึก 

มีคนถามเราตลอดว่า "อดทนมาได้ไงตั้ง 30 ปี ทีมที่เชียร์ ไม่เคยได้แชมป์ลีก" ส่วนตัวเราไม่ได้รู้สึกว่า ตัวเองอดทนขนาดนั้น หรือกระเหี้ยนกระหือรือต้องให้ ลิเวอร์พูล ได้แชมป์เท่านั้น เราดูบอล เพื่อเก็บเกี่ยวความสุขมากกว่า 

เราไม่เคยพลาดสักนัดเลย เราดูตลอด เพราะเรามีความสุขที่ทุกสัปดาห์ จะได้เชียร์ ลิเวอร์พูล ผลชนะ-แพ้ มันก็เป็นเรื่องของเกมกีฬา อาจทำให้เราดีใจ และเซ็งกับมันบ้าง แต่เรามีความสุขทุกนัดที่เห็น ทีมลงเล่น ตั้งตาตั้งหน้ารอว่านัดหน้าจะเป็นอย่างไร 

ถ้าให้คะแนน ปีที่ไม่ได้แชมป์ลีก เรามีความสุข 8 เต็ม 10 แต่ถ้าได้แชมป์ มันก็อาจจะ 10 เต็ม 10 เราไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็น 30 ปีแห่งการรอคอย 30 ปี แห่งความทรมาน มันเป็น 30 ปีที่เรามีความสุข 

จนมารู้ตัวอีกที เวลามันก็ผ่านไปเร็วเหมือนกัน เพราะเราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ถ้าเราใช้ชีวิตแบบคนที่ทุกข์ วันเดียวก็ยาวนานเหมือน 10 ปี เราคิดว่าตัวเองได้เข้าใจสัจธรรมนี้มาจากการดูลิเวอร์พูล 


 

ถ้าอย่างนั้น ในฐานะแฟนบอลของสโมสรที่ต้องรอคอยแชมป์ลีกถึง 30 ปี เห็นวัฏจักรความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในโลกฟุตบอล 

ฟุตบอลเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่ใช่แค่วิธีการเล่นอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการบริหาร และแรงสนับสนุน เงินทุนก็สำคัญ 

อย่าง เยอร์เกน คล็อปป์ เคยวิจารณ์ค่าตัว ปอล ป็อกบา แต่สุดท้ายเมื่อถึงจุดหนึ่ง เขาก็ต้องซื้อ ทุ่มเงินซื้อ เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค, อลีสซง เบคเกอร์ มาร่วมทีม ตรงนี้ คล็อปป์ อาจมองว่า ของดีก็ต้องใช้เงินมากหน่อย 

ฉะนั้นทีมที่ปรับตัวไม่ทันต่อโลกฟุตบอลยุคใหม่ ก็จะค่อยๆ ล้มหายตายจากไปจากความรู้สึกของ แฟนบอลทั่วไป อย่างเช่น น็อตติงแฮม ฟอเรสต์, ลีดส์, โคเวนทรี

วัฏจักรของทีมฟุตบอล ก็เหมือนชีวิตมนุษย์ มีขึ้นมีลง ไม่มีใครชนะไปตลอดกาล ตอนขาขึ้นคุณดีใจ แฮปปี้ โน่นนี่นั่น สำคัญคือขาลง คุณต้องรับให้ได้ เคยอยู่ที่สูง วันหนึ่งหล่นลงมา มันเป็นธรรมชาติของชีวิต 

ผมเคยอ่านเรื่องราวของคนๆ หนึ่ง ไม่ขอเอ่ยชื่อแล้วกัน เขาเคยเชียร์ ลิเวอร์พูล แต่พอผลงานไม่ดี ก็เปลี่ยนไปเชียร์ แมนฯ ยูไนเต็ด ผมเกิดคำถามในใจว่า ความเป็นแฟนบอลมันเปลี่ยนกันด้วยเหรอ? ยิ่งในยุค โชเซียล มีเดีย ทุกคนรู้หมด เราเคยแสดงความเห็นอะไรไป จะกลับมาลำมาเชียร์ ลิเวอร์พูล ตอนนี้ได้ไหม ? 

ดังนั้นถ้าเลือกเป็นแฟนบอล เราต้องยอมรับให้ได้ว่า ทีมฟุตบอลมันมีทั้งขาขึ้น และขาลง แต่สำคัญสุดคือ เราต้องอยู่กับทีมไปตลอด คอยสนับสนุนสโมสร ไม่อย่างนั้น ทีมล้มอย่างแน่นอน ต่อให้มีเจ้าของรวยแค่ไหน มีผู้เล่นดีๆ ถ้าไม่มีใครเข้ามาเชียร์ ก็เหมือนสินค้าดี ไม่มีคนซื้อ สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้ 

แฟนบอลจึงสำคัญมาก ไม่อย่างนั้นสโมสรในระดับดิวิชั่น 4 พวกทีมนอกลีก เขาจะยังอยู่ได้อย่างไร? เพราะที่อังกฤษ แฟนบอลที่เข้ามาเชียร์ มันไม่ได้เกี่ยวกับความสำเร็จ แต่เขามาเชียร์ เพราะต้องการสนับสนุนให้ทีมไปต่อได้ 

 

การเชียร์ลิเวอร์พูลสอนอะไรกับชีวิตคุณ 

สอนให้ผมใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ และใช้ชีวิตให้มีความสุข ทุกคนต้องมีด้านที่ทุกข์ เศร้า รู้สึกแย่ แต่ผมเลือกจะมองในแง่บวก ไม่ได้แชมป์ ไม่เป็นไร แค่ได้ดูทีมแข่ง เราก็มีความสุขแล้ว 

มันทำให้เรามองหาความสุข จากความผิดหวัง ความทุกข์นั้นให้ได้ ถ้าชีวิตเจอเรื่องแย่ๆ เรายังแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ไปก่อน 

ไม่ได้แชมป์ ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ยังมีบอลให้ดูทุกสัปดาห์ เราใช้ชีวิต 30 ปี ช่วงที่ทีมไม่ได้แชมป์ ด้วยการเรียนรู้ที่จะดูบอลอย่างมีความสุข 

มันจะมีคำพูดที่คนอื่นบอกว่า รสชาติของการรอคอยมันหอมหวานยิ่งนัก แต่สำหรับเราไม่ใช่แบบนั้น เราใช้ชีวิต 30 ปี ด้วยการรอคอยอย่างไม่มีวันสิ้นสุข 

เพราะเราสามารถหาความสุขกับมันได้ตลอด ต่อให้ปีนี้จะพลาดแชมป์ เราก็ยังหาแง่มุมให้ตัวเองมีความสุขได้ อย่างไม่เคยสิ้นความสุข 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook