โคลิน แคเปอร์นิค : นักฟุตบอลที่ต้องจ่ายอนาคตตัวเอง เพื่อสร้างความเท่าเทียมในสังคม
โคลิน แคเปอร์นิค คือชื่อนักอเมริกันฟุตบอลที่โด่งดัง หลายคนที่ไม่ได้เป็นแฟนเกมคนชนคนยังรู้จัก แต่ไม่ใช่เพราะเขาเป็นสุดยอดนักกีฬา เพราะชายคนนี้ คือหนึ่งในนักเคลื่อนไหวทางสังคมในสหรัฐอเมริกา ที่เรียกร้องความเท่าเทียมของสีผิว และเริ่มต้นแนวทางนั่งคุกเข่า ขณะเคารพธงชาติ
อย่างไรก็ตาม การออกมาเรียกร้องความยุติธรรมในสังคม มีราคาที่แคเปอร์นิคต้องจ่าย เพราะเขาขับไล่ออกจากลีก NFL โดยกลุ่มผู้มีอำนาจของลีก ที่เสียผลประโยชน์ จากการเคลื่อนไหวของเขา
Main Stand จะพาไปพบเรื่องราวของแคเปอร์นิค กับโอกาสในฐานะนักกีฬาที่ต้องสูญเสียไป จากการเลือกขอเป็นนักกิจกรรมทางสังคม
ชายผู้กล้าจะเรียกร้องเพื่อความเท่าเทียม
ก่อนจะเป็นนักกีฬา ที่ถูกจดจำในฐานะ นักเคลื่อนไหวที่ปลุกกระแสการต่อต้านพฤติกรรมเหยียดสีผิว ... โคลิน แคเปอร์นิค เป็นเพียงผู้เล่นตำแหน่งควอเตอร์แบ็คธรรมดาคนหนึ่ง ในลีก NFL ของทีม ซานฟรานซิสโก โฟร์ตีไนน์เนอร์ส (San Francisco 49ers)
แม้จะเคยเป็นผู้เล่นตัวหลัก พาทีมคนตื่นทอง เข้าไปถึงเกมชิงแชมป์ซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 47 (Super Bowl XLVII) ในปี 2013 ก่อนจะแพ้ บัลติมอร์ เรฟเวนส์ อดคว้าลอมบราดี โทรฟี มาไว้ในครอบครอง ... แต่หลังจากนั้นผลงานของแคเปอร์นิค ร่วงหล่นลงมาอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นควอเตอร์แบคที่แฟน NFL ไม่ให้ความสนใจเท่าไหร่
ช่วงพรีซีซั่นของฤดูกาล 2016 สื่อทั่วสหรัฐอเมริกา หันมาจับจ้องที่แคเปอร์นิค ไม่ใช่เพราะว่าเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ควอเตอร์แบ็ครายนี้ เลือกนั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ยืนเคารพธงชาติสหรัฐอเมริกา ที่บรรเลงก่อนเกมการแข่งขันจะเริ่มขึ้น
แคเปอร์นิคไม่ได้แสดงพฤติกรรมนี้ โดยไร้เหตุผล แต่เขาทำเพื่อประท้วงพฤติกรรมเหยียดผิว ที่กำลังรุนแรงในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขามองว่า ในฐานะคนมีหน้ามีตาทางสังคม อีกทั้งเขายังเป็นลูกครึ่งทางสีผิว (คุณพ่อเป็นคนอเมริกันผิวดำเชื้อสายแอฟริกัน ขณะที่คุณแม่เป็นคนผิวขาว แต่เติบโตกับครอบครัวอุปถัมภ์ผิวขาว) เขาควรจะทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้คนอเมริกัน ตื่นตัวกับปัญหาที่เกิดขึ้น
"ผมไม่ยืนเคารพธงชาติ เพราะผมไม่ภูมิใจกับประเทศที่กดขี่คนผิวดำ หรือสีผิวอื่น สำหรับผม เรื่องนี้สำคัญกว่ากีฬา ผมคงเห็นแก่ตัวมาก ถ้าผมไม่ทำในสิ่งที่ผมกระทำ" แคเปอร์นิค กล่าวหลังจบเกมปรีซีซั่น นัดแรกของฤดูกาล 2016
แคเปอร์นิค ยืนยันว่า เขาจะไม่ทำการยืนเคารพธงชาติสหรัฐฯ อีกต่อไปในฐานะผู้เล่น NFL จนกว่าประเทศนี้ จะปฏิบัติตัวให้สมกับชาติที่เขาภูมิใจ ด้วยการให้ความเคารพกับคนทุกสีผิวอย่างเท่าเทียม
Photo : www.eastbaytimes.com
เกมพรีซีซั่น นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2016 แคเปอร์นิคยกระดับการเรียกร้อง แทนที่จะนั่งเฉย ๆ เขาเปลี่ยนมานั่งคุกเข่าขณะเคารพธงชาติ เพื่อสร้างสัญลักษณ์ในการต่อสู้ เรียกร้องความเท่าเทียมด้านสีผิว เพราะไม่กี่วันก่อนหน้านั้น มีชายผิวดำ 2 คน ถูกตำรวจยิง ระหว่างที่ตำรวจกำลังจะจับกุมหนุ่มทั้ง 2 ที่ภายหลังได้รับการสอบสวนว่า ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย
"นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม ... การเรียกร้องของผม ไม่ได้เป็นการทำร้ายใคร ผมไม่สนใจว่าใครจะเห็นด้วยไหม แต่นี่คือสิ่งที่ต้องทำ เพื่อต่อสู้ให้คนที่ถูกกดขี่ ผมรู้ว่ากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง ต่อให้พวกเขาจะพรากอาชีพนักอเมริกันฟุตบอลไปจากผม" แคเปอร์นิคกล่าว
สิ่งที่ต้องสูญเสีย
การกระทำของแคเปอร์นิค แม้จะมาจากเจตนาดี ที่ต้องการเห็นความเท่าเทียมในสังคม แต่พฤติกรรมนั่งคุกเข่า ไม่เคารพธงชาติ ของควอเตอร์แบ็ครายนี้ สร้างความไม่พอใจให้กับคนจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มตำรวจ ที่มองว่าการกระทำของแคเปอร์นิค ทำให้ภาพลักษณ์ของพวกเขาเสียหาย, ประชาชนจำนวนไม่น้อย ซึ่งเห็นว่าควอเตอร์แบ็คหนุ่ม ไม่ให้ความเคารพต่อชาติของตัวเอง และที่สำคัญที่สุดคือลีก NFL
Photo : bleacherreport.com
ในตอนแรก NFL ออกแถลงการณ์ ถึงพฤติกรรมของแคเปอร์นิคว่า เป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ ตามเสรีภาพของผู้เล่น แต่หลังจากฤดูกาล 2016 เริ่มต้นขึ้น และควอเตอร์แบ็คผู้นี้ ยังคงนั่งคุกเข่าไม่เคารพธงชาติต่อไป เรตติ้งถ่ายทอดสดของ NFL ลดลงถึง 8 เปอร์เซนต์ เนื่องจากชาวอเมริกันบางส่วน ทำการแบนลีก ที่ไม่มีการลงโทษ นักกีฬาชังชาติรายนี้
ลีกกีฬาที่เห็นผลประโยชน์ทางธุรกิจ เป็นสิ่งสำคัญอันดับ 1 อย่าง NFL พร้อมที่จะพลิกลิ้นของตัวเองในทันที
แม้ว่าตลอดฤดูกาล 2016 แคเปอร์นิคจะลงเล่นใน NFL ได้แบบไม่มีปัญหาอะไร รวมถึงได้รางวัลจากทีมโฟร์ตีไนน์เนอร์ส ต้นสังกัดของเขา ในฐานะผู้เล่นที่สร้างคุณประโยชน์ ให้กับสังคม
"เขาทำให้คนบางกลุ่มไม่พอใจอย่างมาก" สตีฟ บิสช็อตติ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของทีม บัลติมอร์ เรฟเวนส์ กล่าวถึงการกระทำของแคเปอร์นิค ซึ่งสื่อได้รายงานว่า กลุ่มคนที่ไม่สบอารมณ์การนั่งคุกเข่า เคารพธงชาติของควอเตอร์แบ็ครายนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากกลุ่มผู้บริหารในลีก NFL โทษฐานทำให้ลีกเสียมูลค่า และภาพลักษณ์
Photo : www.sfexaminer.com
โคลิน แคเปอร์นิค หมดสัญญากับซานฟรานซิสโก โฟร์ตีไนน์เนอร์ส หลังจบฤดูกาล 2016 และไม่ได้รับการต่อสัญญกับทีม ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นไร้สังกัด ทำให้เหล่าผู้มีอำนาจใน NFL เห็นถึงโอกาสสำคัญ ที่จะตัดเนื้อร้ายในสายตาของพวกเขา ออกไปจากลีก
เหล่าผู้บริหารของ NFL รวมหัวกันแบนไม่เซ็นสัญญา ควอเตอร์แบ็ครายนี้เข้าสู่ทีม ในฤดูกาล 2017 เพราะนอกจากแคเปอร์นิค จะทำให้เหล่าเจ้าของทีมต้องเสียรายได้ จากการกระทำของเขา ... การนั่งคุกเข่าของแคเปอร์นิค ได้ไปยั่วโทสะ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ผู้เป็นเพื่อนสนิทกับผู้บริหารทีมหลายต่อหลายคนใน NFL
"ทุกคนชื่นชอบคนที่ยืนหยัด แสดงถึงความสำคัญของธงชาติสหรัฐฯ ... มีข่าวมากมายบอกว่า เจ้าของทีม NFL ไม่อยากเซ็นแคเปอร์นิค เพราะกลัวโดนผมด่าในทวิตเตอร์ แต่คุณเชื่อข่าวแบบนี้เหรอ ผมเพิ่งจะรู้ว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น" โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาปฏิเสธข่าวที่โจมตีว่า เขาคือตัวการที่ทำให้แคเปอร์นิค ต้องกลายเป็นนักอเมริกันฟุตบอลตกงานในปี 2017
Photo : unafraidshow.com
เคส คีนัม, ไรอัน ฟริตซ์แพทริค, จอช แม็คคาวน์, เบลน แกบเบิร์ต คือตัวอย่างของควอเตอร์แบ็ค ที่ทำผลงานในฤดูกาล 2016 ได้แย่กว่าแคเปอร์นิค
ทั้งในแง่ของ จำนวนทัชดาวน์ที่น้อยกว่า, จำนวนอินเตอร์เซ็ปต์ที่มากกว่า, เปอร์เซนต์ความแม่นยำในการขว้างลูกน้อยกว่า รวมถึงเรตติ้งควอเตอร์แบ็ค แต่พวกเขาเหล่านี้ ยังคงได้รับการใช้บริการจากทีม NFL แม้หลายคนจะหมดสัญญากับต้นสังกัด ในปี 2016 เหมือนกับแคเปอร์นิค
ขณะที่แคเปอร์นิค กลับต้องนั่งอยู่บ้านเป็นคนตกงาน เพราะไม่มีทีมไหนเสนอสัญญามาให้ แม้ว่าสุดท้ายจะไม่มีการแถลงออกมาอย่างเป็นทางการ ถึงเหตุผลที่ไม่มีทีมเซ็นสัญญาแคเปอร์นิค แต่สื่อทั่วสหรัฐฯ ลงความเห็นเดียวกันว่า ควอเตอร์แบ็ครายนี้ ถูกแบนจาก NFL ไปตลอดกาล
สิ่งที่ไม่หวนกลับมา
จากฤดูกาล 2017 จนถึงปัจจุบัน ... 3 ฤดูกาลผ่านไป ที่แคเปอร์นิค ยังคงกลายผู้เล่นตกงาน ด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่า เขาแสดงพฤติกรรมเรียกร้องความเท่าเทียมในสังคม และไปกระทบกับ เงินในกระเป๋าของคนบางกลุ่มเท่านั้น
Photo : www.tampabay.com
"มันน่าเหลือเชื่อมาก ที่ผู้เล่นระดับแคเปอร์นิค หาทีมใหม่ไม่ได้ ถึงตอนนี้ก็ชัดเจนมากว่า ความเห็นทางการเมืองของเขา ทำให้ลีกกีดกันแคเปอร์นิคออกไป" FiveThirtyEight เว็บไซต์ด้านการเมือง แสดงความเห็นกับสิ่งที่เกิดขึ้น กับอดีตควอเตอร์แบ็ค ของทีมโฟร์ตีไนน์เนอร์ส
จริงอยู่ว่า แคเปอร์นิคได้รับโอกาสอื่นเข้ามาในชีวิต ทั้งการเป็นพรีเซนเตอร์ของ Nike กับประโยคเด็ด "จงเชื่อมั่นในบางสิ่ง แม้อาจต้องเสียสละทุกอย่าง" (Believe in something. Even if it means sacrificing everything.), การผลักดันกระแสต่อต้านการเหยียดผิว จนวิธีการคุกเข่าเคารพธงชาติของเขา เป็นที่ยอมรับ แต่เขาต้องสูญเสียโอกาสหนึ่ง ที่ไม่เคยกลับมา นั่นคือ การเป็นนักอเมริกันฟุตบอล
ระยะเวลากว่า 2 ปีที่นับตั้งแต่ฤดูกาล 2017 เริ่มต้น ไม่มีทีมไหนใน NFL เชิญเขาไปทดสอบฝีมือ เขาได้แต่รอคอยโอกาสที่จะกลับไปเล่นกีฬาที่เขารักอีกครั้ง
"เขาต้องการเล่นฟุตบอลมาตลอด ร่างกายเขาอยู่ในสภาพเยี่ยม เขามีฝีมือที่ดี เขากระหายที่จะเล่นมากกว่าที่เคยเป็นมา" ไมค์ ฟลอริโอ นักข่าวของ Pro Football Talk กล่าวถึงแคเปอร์นิค
พฤศจิกายน ปี 2019 โคลิน แคเปอร์นิค ได้จัดงานเวิร์คเอาท์ของตัวเองขึ้นมา เพื่อให้ทีมใน NFL ได้เห็นผลงานของเขา มีหลายทีมเข้าร่วมดูการทดสอบฝีมือ ทว่าสุดท้าย ไม่มีทีมไหนเลือกเซ็นสัญญาเขาไปร่วมทีม
โฮวาร์ด ไบรอันต์ นักเขียนของ ESPN แสดงความเห็นถึงเรื่องนี้ว่า ตราบใดที่ แคเปอร์นิค ยังคงเดินหน้าในฐานะนักกิจกรรมทางสังคม เป็นเรื่องยากที่เขาจะได้รับการเซ็นสัญญา จากทีมใน NFL เพราะผู้บริหารยังคงไม่พอใจ ที่เขามีบทบาทกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับอเมริกันฟุตบอล
กระแสต่อต้านการเหยียดผิว กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากสังคมสหรัฐฯ หลังจากการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติงานของตำรวจ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 ทำให้ทีม NFL หลายทีม เริ่มหันมาสนใจที่จะเซ็นสัญญา โคลิน แคเปอร์นิค ไม่ใช่เพราะเหล่าเจ้าของทีม ยอมรับในสิ่งที่ผู้เล่นรายนี้กระทำ แต่มองว่าชื่อของเขา เริ่มจะขายได้
อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ ที่ฤดูกาล 2020 กำลังจะเริ่มขึ้น โคลิน แคเปอร์นิค ยังคงเป็นผู้เล่นไร้สังกัด และไม่มีแนวโน้มว่าทีมไหน จะเซ็นสัญญาเขาไปร่วมทีม
ในฐานะนักอเมริกันฟุตบอลคนหนึ่ง ฝันร้ายที่ต้องถูกพรากโอกาสกับการเล่นกีฬาที่รัก ยังคงดำเนินต่อไป เราไม่มีทางรู้ว่า แคเปอร์นิค จะได้กลับมาขว้างลูกบอล ในลีก NFL อีกเมื่อไหร่ หรืออาจไม่มีวันนั้นเกิดขึ้นแล้ว
แต่แม้จะต้องสูญเสียโอกาสในชีวิต แต่นี่คือราคาที่แคเปอร์นิคยอมจ่าย เพราะสุดท้าย เขาไม่เคยมีความคิดแม้แต่นิด ที่จะหยุดเคลื่อนไหวทางสังคม เรียกร้องความเท่าเทียมในสีผิว ...
เพราะสำหรับควอเตอร์แบ็ครายนี้ เขาเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้อง และควรกระทำในฐานะมนุษย์ เท่านั้นเอง