ขาลงคือเมื่อไหร่ : นักฟุตบอลยุคใหม่ยังมีจุดพีคในวัย 27 ปี เหมือนเดิมรึเปล่า?
ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เป็นผู้แบกเกมรุกของ เอซี มิลาน, เซร์คิโอ รามอส เป็นหัวใจสำคัญของ เรอัล มาดริด และ ฆัวกิน ซานเชซ เป็นผู้นำของ เรอัล เบติส หรือแม้กระทั่ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของโลก ล้วนเป็นนักเตะที่อายุเกิน 35 ปีทั้งนั้น ... สิ่งนี้เป็นความจริงที่ขัดกับความเชื่อในอดีตของวงการฟุตบอล
ความเชื่ออันแสนยาวนานบอกพวกเราว่า นักฟุตบอลคนหนึ่งจะเก่งที่สุดในชีวิตค้าแข้งตอนอายุ 27 ปี (บวก ลบ 1) ปัจจุบันความเชื่อนี้ยังมีอยู่จริงหรือเปล่า และถ้ามันไม่จริง นักฟุตบอลที่เก่งที่สุด ณ เวลานี้ควรมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่เท่าไหร่ ?
ไขคำตอบค้นความจริงเกี่ยวกับจุดพีคของนักเตะระดับโลกได้ที่นี่
ย้อนความพีคเมื่อครั้งอดีต
ย้อนกลับไปนานโขในช่วงยุค 90s ว่ากันว่านักฟุตบอลคนหนึ่งจะเก่งและพีคกันสุด ๆ ตั้งแต่อายุราว ๆ 25 ปี เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่ามันมีตัวอย่างของ "โกลเด้น เจเนอเรชั่น" ที่ชัดเจน ในช่วงยุค 90s กลาง ๆ จนกระทั่งถึงตอนปลาย นักเตะอย่าง เดวิด เบ็คแฮม, ซีเนดีน ซีดาน, โรแบร์โต้ คาร์ลอส, โรนัลโด้ (R9), อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่, ฟรานเชสโก้ ต็อตติ และ กาเบรียล บาติสตูต้า ก็เก่งและเป็นดาราเด่นแห่งยุคสมัย ณ เวลานั้น
นักเตะเหล่านี้ดังขึ้นมาและเป็นสตาร์ตั้งแต่อายุน้อย ๆ อาจจะเพราะเหตุผลของฟุตบอลยุคนั้นต้องขับเคี่ยวกันเรื่องกำลังมากกว่าด้านแท็คติก หรือแม้กระทั่งเป็นยุคที่แต่ละทีมให้ความสำคัญในการสร้างนักเตะของตัวเองมากกว่าการทุ่มซื้อเหมือนปัจจุบัน จึงทำให้นักเตะเหล่านี้ได้โอกาสลงสนาม เก็บประสบการณ์ เก็บกระดูกบอลมาตั้งแต่อายุยังน้อย อาจจะตั้งแต่ยังไม่เข้าเลข 2 เลยด้วยซ้ำ
เมื่อเป็นเช่นนั้น การที่พวกเขาได้ลงสนามตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้เมื่อเวลาผ่านไปราว 3-5 ปี นักเตะเหล่านี้ก็จะมีความพร้อมทั้งสภาพร่างกาย สภาพจิตใจ และกระดูกบอลที่แก่กล้า จนที่สุดแล้วด้วยอายุแค่ 24-26 ปี พวกเขาก็สามารถเก่งกาจที่สุดในชีวิตค้าแข้งของตนเองได้
นี่ไม่ใช่เรื่องที่คาดเดาไปเองเพียงอย่างเดียว เพราะเคยมีงานวิจัยของ Fronties in Psychology ว่าด้วยเรื่องจุดพีคของฟุตบอล โดยมีการสำรวจกันในช่วงนับตั้งแต่ปี 1993 เป็นต้นมา ซึ่งพบว่า นักเตะแต่ละตำแหน่งจะมีจุดพีคของชีวิตค้าแข้งแตกต่างกันไป
เซ็นเตอร์แบ็ค จะเก่งสุด ๆ ตอนอายุ 26 ปี, กองกลาง จะเก่งสุด ๆ ตอนอายุ 25 ปี, กองหน้า จะเก่งสุดตอนอายุย่าง 25 ปี, ตำแหน่งปีก อายุราว 24 ปี และ ผู้รักษาประตู อายุราว 27 ปี โดยการสำรวจดังกล่าวเกิดจากการเก็บข้อมูลในฟุตบอลรายการ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ซึ่งถือว่าเป็นรายการฟุตบอลที่มีมาตฐานสูงที่สุดในทวีปยุโรปและระดับโลกด้วย
โดยเมื่อเอาทุกตำแหน่งที่กล่าวมามาหาค่าเฉลี่ยก็จะพบว่า นักเตะจะพีคกันจริง ๆ ตอนอายุประมาณ 25 ปี โดยเฉลี่ย โดยสถิติดังกล่าวสามารถใช้อ้างอิงได้ถึงราว ๆ ปี 2013 เนื่องจากพวกเขาใช้เวลาเก็บสถิติทั้งหมด 20 ปี นั่นเอง
นี่คือค่าเฉลี่ยจุดพีคของนักเตะในช่วงยุค 90s ทว่าเมื่อโลกฟุตบอลขยับเดินหน้าไปอีกราว ๆ 10 ปี มีการสำรวจ "จุดพีค" ของช่วงอายุนักเตะอีกครั้ง หนนี้เป็นของสื่อใหญ่อย่าง BBC ที่ขอแย้งว่า จริง ๆ แล้วอายุที่พีคของนักเตะควรจะมากกว่านั้น และพวกเขาเชื่อว่านับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2000 เป็นต้นมาว่าการเปลี่ยนแปลงด้านอายุการใช้งานของนักเตะได้เปลี่ยนไปแล้ว
BBC หาข้อมูลชัด ๆ จากฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล โดยเอาอายุเฉลี่ยของนักเตะแต่ละชาติที่ลงแข่งขันครั้งนี้ สาเหตุที่พวกเขาเลือกเอาข้อมูลจากฟุตบอลโลกมาใช้ เนื่องจากนี่คือรายการที่คัดเอานักเตะที่เก่งที่สุดในประเทศต่าง ๆ มาดวลกัน ซึ่งจะทำให้เห็นภาพได้ชัดกว่า และตัวเลขในการแข่งขันปี 2014 พบว่า "จุดพีค" ของนักเตะยุคนี้คือช่วงอายุ 27.5 ปี เป็นอย่างน้อย
BBC เอาตัวเลขดังกล่าวเล่าย้อนกลับไปถึงฟุตบอลโลกครั้งเก่า ๆ ตั้งแต่ปี 1930 จนถึง 2010 ซึ่งก็พบว่าค่าเฉลี่ยของอายุนักเตะที่ลงเล่นในรายการนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจุดนี้อาจจะบอกได้ถึงวิทยาศาสตร์การกีฬา การดูแลตัวเอง หรือการเติบโตของธุรกิจฟุตบอลที่กลายเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์ระดับโลก ที่ใครก็ไม่อยากหลุดจากสารบบนี้
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในช่วงอดีตเมื่อครั้งฟุตบอลเริ่มเป็นที่นิยมไปทั่วโลก จนกระทั่งมาถึงยุคที่มีการแข่งขันสูงขึ้น นักเตะเริ่มมีอายุใช้งานยาวนานขึ้นคือคำตอบที่เราเห็นได้ชัดที่สุด ทว่าโลกของเรานั้นหมุนไปตลอดเวลา และโลกฟุตบอลก็เช่นกัน
ปัจจุบันนักเตะอายุมากระดับ 35-40 ปี ยังสามารถลงเล่นเกมระดับสูงได้มากหน้าหลายตา ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เป็นผู้แบกเกมรุกของ เอซี มิลาน, เซร์คิโอ รามอส เป็นหัวใจสำคัญของ เรอัล มาดริด และ ฆัวกิน ซานเชซ เป็นผู้นำของ เรอัล เบติส หรือแม้กระทั่ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของโลก ล้วนเป็นนักเตะที่อายุเกิน 35 ปีทั้งนั้น ไหนจะ เจมี่ วาร์ดี้ ที่อายุ 33 ปี แล้ว แต่ยังวิ่งแซงเด็ก ๆ ได้สบายและยังยิงกระจายไม่หยุด
คำถามคือทั้งที่อายุมากขึ้น และห่างจุดพีคมากเท่าไหร่ พวกเขาควรจะต้องเล่นได้มาตรฐานต่ำลงกว่าเดิมมากขึ้นเท่านั้น ทว่ากลับกัน ในยุคนี้นักเตะระดับหัวแถวของโลกมีอายุระดับ 30 ปีขึ้นไปทั้งสิ้น ... สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และค่าเฉลี่ยอายุนักเตะพีคที่ 27 ปีนั้น ตกรุ่นไปหรือยัง ?
2020 ยุคขาเก๋าผงาด
คืบคลานมาถึงฟุตบอลยุคปัจจุบัน หลายสิ่งเปล่ยนไปมากมายดังที่เรากล่าวไว้ข้างต้น นักเตะอย่าง ซลาตัน, โรนัลโด้, ลิโอเนล เมสซี่, โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้, รามอส, ฆัวกิน และ วาร์ดี้ กำลังบ่งบอกให้เรารู้ว่าฟุตบอลยุคใหม่ได้เดินทางมาถึงแล้ว มันคือยุคที่นักเตะต้องมีทัศนคตินอกสนามอย่างผู้ชนะ ดูแลตัวเองให้ดี และรักษาสภาพร่างกายด้วยอย่างจริงจัง ต่างกับเมื่อครั้งอดีตโดยสิ้นเชิง
อย่างแรกเลยเพื่อยืนยันว่านี่ไม่ได้กล่าวอ้างขึ้นมาลอย ๆ เราย้อนกลับไปดูตัวเลขและสถิติที่เกิดขึ้นในฟุตบอลลีกสูงสุด (5 ลีกดัง) ดูและพบว่า พื้นที่ของนักเตะวัย 30 บวกนั้นมากขึ้นทุกวัน ในพรีเมียร์ลีกนั้น ดาวซัลโว และรองดาวซัลโวคือ วาร์ดี้ และ ปิแอร์ เอเมอริก โอบาเมยอง ที่อายุ 33 และ 32 ปีตามลำดับ ขณะที่นักเตะยอดเยี่ยมของลีกในแต่ละเดือนนับตั้งแต่เดือน สิงหาคม ปี 2019 ถึงเดือนกรกฎาคมปี 2020 มีนักเตะที่อายุ 30 ปีขึ้นไปคว้ารางวัลนี้ถึง 5 จาก 8 คน ได้แค่ ติมู ปุ๊กกี้ (31 ปี), โอบาเมยอง, วาร์ดี้, เซร์คิโอ อเกวโร่ (32 ปี) และ มิชาอิล อันโตนิโอ (30 ปี)
ขณะที่ กัลโช่ เซเรีย อา ก็ไม่ต่างกันนัก ดาวซัลโว 3 จาก 4 อันดับแรกของลีกในซีซั่น 2019-20 มีอายุเข้าวัยเลข 3 ขึ้นไปทั้งนั้นได้แก่ ชิโร่ อิมโมบิเล่ (30 ปี), คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (35 ปี) และ เฟเดอริโก้ คาปูโต้ จาก ซาสซูโอโล่ (33 ปี)
ด้าน ลา ลีกา ก็ไม่แพ้กัน 6 อันดับดาวซัลโวในซีซั่น 2019-20 ประกอบด้วยนักเตะอายุเกิน 30 ปี ถึง 5 คนได้แก่ เมสซี่ (33 ปี), คาริม เบนเซม่า (32 ปี) หลุยส์ ซัวเรซ (33 ปี), ราอูล การ์เซีย (34 ปี) และ ยาโก้ อาสปาส (33 ปี)
แค่นี้ก็ถือว่าชัดเจนพอสมควรแล้ว ยิ่งถ้ารวมตำแหน่งบัลลงดอร์ (นักเตะที่เก่งที่สุดในโลก) 3 ครั้งหลังสุดก็จะพบว่าคนที่คว้ารางวัลอย่าง โรนัลโด้, ลูก้า โมดริช และ เมสซี่ คือแข้งวัย 32 ปี ขึ้นไปทั้งสิ้น หนำซ้ำหากในปี 2020 ไม่มีการยกเลิกการประกาศรางวัลนี้ก็คงจะมีชื่อของ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ในวัย 32 ปี เจ้าของ 5 แชมป์กับ บาเยิร์น มิวนิค และยิงไป 55 ลูกจากการลงสนาม 47 เกมติดทำเนียบนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกไปอีกคนแน่นอน
นี่คือตัวอย่างซึ่งดูขัดแย้งกับความเชื่อเมื่อครั้งอดีต ที่บอกว่านักเตะที่เขาสู่ช่วงอายุเลข 3 จะถึงช่วงเวลาขาลงแบบเต็มรูปแบบ จนถึงขั้นที่หลายสโมสรต้องมีวัฒนธรรมต่อสัญญานักเตะอายุเกิน 30 ปี แบบ ปีต่อปี เลยทีเดียว ซึ่งตัวอย่างในกรณีนี้คือ การเจรจาระหว่าง เชลซี กับ วิลเลี่ยน ปีกวัย 32 ปี ที่ไม่ลงตัวเพราะตัวนักเตะเชื่อว่าตนเองควรได้รับสัญญาระยะยาวกว่านี้ จนกระทั่งเขาได้ย้ายมาอยู่กับ อาร์เซน่อล ด้วยสัญญา 3 ปี นั่นเท่ากับว่า วิลเลี่ยน จะมีอายุ 35 ปี เมื่อสัญญาปีสุดท้ายกับทัพปืนใหญ่มาถึง
นี่คือสิ่งที่หลายทีมไม่กล้าทำเมื่อครั้งอดีต (การให้สัญญาระยะยาวกับนักเตะอายุเยอะ) นอกจากเคสของ วิลเลี่ยน แล้ว ยังมี เอดิสัน คาวานี่ ในวัย 32 ปี ที่ได้สัญญา 2 ปีจาก แมนฯ ยูไนเต็ด รวมถึง เคราร์ด ปีเก้ ในวัย 33 ปี ที่ได้สัญญา 4 ปี จาก บาร์เซโลน่า
แน่นอนที่สุดว่า แม้จะมีนักเตะอายุราว 26-28 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุเฉลี่ยที่ว่ากันว่าพีคที่สุดหลาย ๆ คนในยุคนี้ที่เป็นคนชี้เป็นชี้ตายให้กับต้นสังกัดของพวกเขา แต่อย่างน้อย ๆ ตัวอย่างที่ยกมาและตัวเลขที่เป็นความจริง (Fact) ที่เกิดขึ้นจริงในฤดูกาล 2019-20 ก็ทำให้พบว่า ยุคนี้คำว่าฟอร์มตกหลังอายุ 30 ปีคงใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อพวกขาเก๋าส่วนใหญ่ยังคงเล่นอยู่ในมาตรฐานระดับสูง และแทบจะมีนักเตะหนุ่ม ๆ ไม่กี่คนที่จัดว่าอยู่ในระดับที่ดีกว่าหรือสูงกว่าพวกเขาเหล่านี้เลย
เหตุผลที่พวกเขายังพีคอยู่ในวัยระดับนี้ ?
หากจะหาเหตุผลที่สำคัญที่สุด เราคงต้องพูดถึงเรื่องของพละกำลังและร่างกายก่อนเป็นอันดับแรก เพราะบนโลกนี้ไม่มีใครเอาชนะสังขารได้ เพียงแต่ว่าวิทยาศาสตร์การกีฬาที่้ก้าวหน้าสุด ๆ ในยุคนี้ สามารถช่วยชะลอวันที่สังขารไม่ไหวมาถึงตัวนักเตะอาชีพได้ช้าลง
นักเตะอย่าง โรนัลโด้ เรารู้อยู่แล้วว่าเขาดูแลตัวเองดีมากขนาดไหน มีระเบียบวินัยกับทุกอย่างไม่ว่าการกิน การซ้อม การออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่งการนอนของเขาก็ตั้งโปรแกรมที่ชัดเจนและโปรแกรมเหล่านี้ก็ออกแบบโดยมืออาชีพทั้งสิ้น ดังนั้นคุณคงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเขายังไม่มีทีท่าว่าจะฟอร์มตกลงไปเลย แม้อายุอานามจะมากมายถึง 35 ปีแล้วก็ตาม
ในช่วงอายุของ โรนัลโด้ หากเทียบกันกับนักเตะระดับโลกเมื่อ 10 ปีที่แล้วอย่าง ซีเนดีน ซีดาน, เธียร์รี่ อองรี, ไมเคิ่ล โอเว่น หรือแม้แต่ โรนัลโด้ (R9) คุณจะพบว่า โรนัลโด้ (CR7) อยู่ในจุดพีคได้อย่างเหลือเชื่อ เพราะคนอื่น ๆ ที่ไล่ชื่อมา ไม่เลิกเล่นไปก่อน ก็เริ่มจะถอยลงไปเล่นให้กับทีมเล็ก ๆ แล้ว
โรนัลโด้ ถือเป็นตัวอย่างที่ดี แต่ก็อาจจะเกินไปหน่อยเพราะคงมีนักเตะที่มีวินัยและเอาจริงเอาจังในการดูแลร่างกายอย่างเขาแค่ไม่กี่คน ดังนั้นเราจะลองไปดูตัวอย่างจากนักเตะคนอื่นๆดูบ้าง ว่าทำไมในวัยระดับ 32 ปีบวก ๆ พวกเขาจึงยังเล่นในระดับสูงได้อยู่
ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่ยิ่งแก่ยิ่งเก่งทุกวันนี้อายุใกล้ 40 ปีแล้ว แต่ยังเล่นให้กับ เอซี มิลาน โดยที่ทีมยังขาดเขาไม่ได้ แน่นอนว่าแม้ปากของเขาจะโม้โฆษณาชวนเชื่อเรื่องพรสววรค์ แต่ความจริงคือ ซลาตัน ดูแลร่างกายตัวเองดีมาก ในช่วงปรีซีซั่นที่ผ่านมา แม้จะเป็นช่วงหยุดสั้น ๆ แต่ ซลาตัน ก็ยังอัพเดทสถานการณ์ของตัวเองด้วยการโพสต์คลิปและภาพถ่ายการออกกำลังกายลงในโซเชี่ยลมีเดียอยู่เสมอ
นอกจากนี้สิ่งที่ยืนยันถึงการดูแลร่างกายของเขาคือ ในวัย 35 ปี เขาเคยเจ็บหนักที่หัวเข่า (ACL) ซึ่งเป็นอาการเดียวกับ เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ประสบอยู่ ณ ปัจจุบัน แต่ ซลาตัน ก็ยังกลับมาได้และค้าแข้งในระดับสูงจนถึงทุกวันนี้
เจมส์ มิลเนอร์ รองกัปตันทีมของ ลิเวอร์พูล ในวัย 34 ปี ยืนยันว่าวิทยาศาสตร์การกีฬามีผลจริง ๆ เขากินอาหารตามคำแนะนำของนักโภชนาการ การใช้เวลาในยิมอย่างจริงจังเพื่อรักษากล้ามเนื้อส่วนสำคัญ ๆ ออกกำลังกายอย่างฉลาดมากขึ้น ลดบางอย่างที่ไม่เหมาะกับช่วงอายุออกไป เป็นต้น โดยสิ่งสำคัญที่ มิลเนอร์ กล่าวถึงการดูแลตัวเองนอกจากการซ้อมแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่าง "ทัศนคติ" ที่พยายามผลักดันตัวเองไปข้างหน้าให้สวนทางกับอายุการค้าแข้งที่กำลังถอยหลัง
"ผมอาจจะลดทอนการออกกำลังกายบางอย่างลงไปบ้าง แต่ผมไม่เคยลดการผลักดันตัวเอง เผลอ ๆ มันจะมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ ผมไม่เคยคิดจะผ่อนเรื่องนี้ลงไป เพราะถ้าผมเผลอเรอ มันจะทำให้ผมมาตรฐานตกลงไปกว่าที่เคยเป็น" เขาว่าเอาไว้เช่นนี้
ด้าน เจมี่ วาร์ดี้ ในวัย 33 ปี ที่เคยโดนสบประมาทหลังจากพา เลสเตอร์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในปี 2016 (4 ปีก่อน) ว่าเขาจะมีแต่ถอยลงแล้ว เพราะการชูถ้วยแชมป์ครั้งนั้นเขาอายุ 28 ย่าง 29 ปี แต่สิ่งที่เขาพิสูจน์ให้เห็นในทุกวันนี้คือ มาตรฐานตลอด 5 ปีไม่เคยมีตก เขาเกาะอันดับดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกมาทุกปี และไม่มีผู้เล่นเลสเตอร์คนไหนที่ยิงประตูและแบกทีมชุดนี้ไปได้มากกว่าเขาอีก ซึ่ง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือของ เลสเตอร์ คนปัจจุบัน ก็ยอมรับว่า ไม่ว่าจะวินัยในเรื่องของการฝึกซ้อม หรือทัศนคติในการทำงานหนักของ วาร์ดี้ ถือเป็นจุดเด่นที่ทำให้เขารักษามาตรฐานเอาไว้ได้อย่างยาวนาน
การดูแลตัวเอง, วิทยาศาสตร์การกีฬา และ ทัศนคติ ต่างก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้นักเตะยุคปัจจุบันหลาย ๆ คนยังเก่งอยู่ในช่วงอายุที่ถูกมองว่าควรจะฟอร์มตกลงไปบ้าง และเหนือสิ่งอื่นใด เราคงต้องมองกันที่องค์ประกอบทั้งหมดที่ทำให้พวกเขายอมเหนื่อยและกดดันตัวเองเพื่อการเอาชนะสังขาร ... สิ่งตอบแทนจากความมีวินัยคือรางวัล 2 แบบ อย่างแรกคือ "เงิน" ส่วนอย่างที่ 2 คือสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ "ความสำเร็จ" นั่นเอง
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น หากพวกเขาร่างกายดี ประโยชน์ก็ไม่ได้ตกอยู่ที่ใครนอกจากตัวของพวกเขาเอง โลกฟุตบอลยุคใหม่เป็นทุนนิยมเต็มตัว ไม่ใช่แค่การเตะเพื่อเอาชนะเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการลงแข่งขันที่มีเป้าหมายเรื่องการทำเงินและการหารายรับเข้ามายังสโมสรอีกด้วย ยิ่งทีมเก่งเท่าไหร่ ผู้สนับสนุนก็เยอะเท่านั้น และในทางเดียวกันคือยิ่งนักเตะเก่งเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งมีความหมายกับสโมสร ส่งผลถึงค่าตอบแทนในแบบที่คุ้มค่ากับการเหนื่อยดูแลตัวเองขนาดนั้น
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ ตอบเรื่องนี้ได้ชัดที่สุด ทั้งคู่ล้วนเป็นนักฟุตบอลที่มีรายรับมากมายหลายทางทั้งในและนอกสนาม ถูกยกย่องให้เป็นระดับยอดมนุษย์ที่เก่งแบบไม่รู้จะถึงขาลงวันไหน เพราะพวกเขารักษามาตรฐานมาได้เป็นสิบ ๆ ปี สิ่งที่ตอบแทนพวกเขาไม่ใช่แค่การเป็นนักเตะที่ได้ค่าเหนื่อยแพงที่สุดในโลกเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขายังได้งานโฆษณาและเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์หลายชิ้น จนกลายเป็นนักเตะที่แม้แต่คนที่ไม่ดูฟุตบอลก็ต้องเคยเห็นหน้า รู้จัก หรือย่างน้อย ๆ ก็ต้องเคยได้ยินชื่อผ่านหูผ่านตามาบ้าง
แม้ไม่มีงานวิจัย ณ ปีปัจจุบันรองรับว่าช่วงอายุที่ดีที่สุดของนักฟุตบอลจะมากกว่า 27 ปีหรือไม่ แต่ด้วยทุกอย่างที่กล่าวมา ทำให้จากนี้ไปแนวโน้มนักเตะอายุเยอะที่ยังมีผลงานดีจะต้องเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน เพราะค่าตอบแทนที่สูงนั้นย่อมคุ้มค่ากับการลงทุนดูแลร่างกายและรักษาสภาพจิตใจ และปลายทางของเส้นทางนี้คือความมั่งคั่งทั้งเงินทองและเกียรติยศในแบบที่หลายสาขาอาชีพยังต้องอิจฉา ... ยิ่งทำก็ยิ่งได้กับตัวเอง ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะต้องทิ้งความสำเร็จนี้ในวันที่ร่างกายยังไหว อย่างแน่นอน