อาลี บิน นาสเซอร์ : เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ผมได้ร่วมสร้างประวัติศาสตร์กับ มาราโดน่า
ทำไมไม่เป่าแฮนด์บอล ? ... นี่คือคำถามของแฟนฟุตบอลอังกฤษหรือใครก็ตามที่สงสัยว่าทำไมลูกยิง "แฮนด์ ออฟ ก็อด" ของ ดิเอโก้ มาราโดน่า จึงได้กลายเป็นลูกยิงประวัติศาสตร์
มาราโดน่า เคยบอกแล้วว่าทำไม ? ฝั่งอังกฤษเคยบอกแล้วว่าพวกเขาคิดเช่นไร ? ... และนี่คือมุมมองใหม่ที่ใครหลายคนไม่เคยได้รู้มาก่อน
เรื่องเล่าโดย อาลี บิน นาสเซอร์ กรรมการในเกมนั้นผู้เป็น 1 ในหน้าประวัติศาตร์ฟุตบอลโลก ... อะไรดลจิตดลใจให้เขาปล่อยผ่านให้เป็นประตูกับ มาราโดน่า และอะไรที่ทำให้เขาไม่ได้รู้สึกผิดแต่กลับ "ภูมิใจ" กับสิ่งที่ได้ทำ ?
ติดตามได้ที่นี่
เขามาเป่าเกมนี้ได้ไง ?
ความผิดพลาดของ อาลี บิน นาสเซอร์ ที่ปล่อยให้ มาราโดน่า เอามือปัดบอลเข้าประตูในเกมฟุตบอลโลกปี 1986 ที่ อาร์เจนตินา ชนะ อังกฤษ 2-1 ก่อให้เกิดประเด็นในสังคมฟุตบอลขึ้นมากมาย ส่วนหนึ่งบอกว่า มาราโดน่า นั้นเป็นพวกขี้โกง บางส่วนบอกว่าเป็นการชิงเหลี่ยมที่ฉลาดหลักแหลม และแน่นอนว่าอีกส่วนหนึ่งคือการบอกว่ากรรมการในวันนั้นรับเงินใต้โต๊ะ
จะมีจริงหรือไม่อย่างไรไม่ทราบได้ แต่การจะได้เป็นผู้ตัดสินในระดับฟุตบอลโลกนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำกันง่าย ๆ เพราะผู้ตัดสินคนนั้นจะต้องอยู่ในระดับ ฟีฟ่า อีลิท (FIFA Elite) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเท่านั้น โดยจะต้องได้รับเลือกจากทางสมาคมฟุตบอลของประเทศที่สังกัด ส่งชื่อเป็นผู้ตัดสินฟีฟ่าเสียก่อน จากนั้น จะต้องสอบกับทางฟีฟ่า โดยแต่ละประเทศจะมีสิทธิ์ส่งสอบปีละ 2 คน ซึ่งต้องสอบให้ผ่านเท่านั้นถึงจะได้เลื่อนชั้นเป็นผู้ตัดสิน ฟีฟ่า อีลิท
เท่านั้นยังไม่พอ ต่อให้สอบผ่านแล้วก็ยังต้องได้รับการพิจารณาจาก ฟีฟ่า อีก 1 ขั้น เพราะต้องมีการเกลี่ยโควต้าของแต่ละทวีปของทีมผู้ตัดสิน (ผู้ตัดสิน 1 คน ผู้ช่วยผู้ตัดสิน 2 คน รวมเป็น 3 คน) ได้ทั้งหมดกี่ทีม จุดของการพิจาณาตรงนี้ ฟีฟ่า จะเน้นไปที่ผลงารการตัดสินของกรรมการแต่ละคนในการแข่งขันที่ผ่าน ๆ มา (ที่ ฟีฟ่า รับรอง) นั่นเอง
ขั้นตอนมากมายในการคัดเลือกกรรมการแต่ละคน แสดงให้เห็นว่ากว่าจะได้มาเป่าฟุตบอลโลกนั้นไม่ใช่งานง่าย ซึ่งการที่ อาลี บิน นาสเซอร์ มาถึงจุดนี้ได้ ก็ต้องยอมรับว่าผลงานที่ผ่านมาของเขาเข้าตากรรมการอย่างฟีฟ่าแบบจัง ๆ
และเหนือสิ่งอื่นใด คือการลงเป่าในเกมที่ อาร์เจนตินา พบกับ อังกฤษ นั้น ฟีฟ่า จะต้องคัดคนที่มั่นใจว่าเอาเกมอยู่ เพราะก่อนที่จะลงสนามดวลกัน ทั้ง อังกฤษ และ อาร์เจนตินา มีปัญหาข้อพิพาทอย่างรุนแรงจากการแย่งชิงพื้นที่ในหมู่เกาะฟอล์คแลนด์ จนทำให้เกิดสงครามระหว่างประเทศ ซึ่งแน่นอน ฟุตบอลก็เป็นอีกสนามสงครามที่จะเดือดไม่แพ้กัน
"ชาวอาร์เจนตินาไม่รู้ว่าพวกทหารทำอะไรกันอยู่ มีแต่การโฆษณาว่าเราคือผู้ชนะในสงคราม แต่ความเป็นจริงเหมือนกับว่าอังกฤษชนะเรา 20-0 ด้วยซ้ำ ... หลายคนบอกว่าอย่าเอากีฬามาปนกับสงคราม แต่นั่นมันแค่คำพูดโลกสวยเท่านั้นแหละ" นี่คือส่วนหนึ่งที่ มาราโดน่า เปิดเผยถึงความคิดของเขาก่อนที่เกมดังกล่าวจะเริ่มขึ้น ที่พอจะบอกได้ว่าเกมนี้เดือดแน่นอน
Photo : refereeingworld.blogspot.com
สำหรับ บิน นาสเซอร์ นั้น เก็บชั่วโมงบินและเป็นผู้ตัดสินที่ได้รับการรับรองจากฟีฟ่า ในปี 1982 เขาเก็บประสบการณ์ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนแอฟริกาปี 1982 และ 1986, แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ รอบสุดท้ายในปี 1984 และฟุตบอลโลกระดับยู 20 ในปี 1985 ... ดังนั้นฟุตบอลโลก 1986 คือฟุตบอลโลกครั้งแรกของเขา
และเมื่อพิจารณาของการเจอกันระหว่าง อาร์เจนตินา ที่มาจากโซนอเมริกาใต้ และ อังกฤษ ที่มาจากยุโรปนั้น จะดีที่สุดหากได้ผู้ตัดสินที่มาจากต่างทวีปของทั้ง 2 ชาติ ดังนั้นนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมตำแหน่งกรรมการในเกมสำคัญนี้ตกมาถึง บิน นาสเซอร์ นั่นเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในวันนั้น
การเจอกันระหว่าง อังกฤษ และ อาร์เจนตินา เกิดขึ้นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย แน่นอนว่านี่คือการแข่งแบบแพ้คัดออก ไม่มีโอกาสให้ทั้งสองทีมแก้ตัวอีกแล้ว และนั่นคือต้นเหตุของความโกลาหลที่ผู้ตัดสินผู้ไร้ประสบการณ์ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายอย่าง บิน นาสเซอร์ ต้องพยายามตื่นตัวและมีสมาธิกับเกมตลอดเวลา
Photo : refereeingworld.blogspot.com
กรรมการชาวตูนิเซียเล่าว่า ก่อนที่จะลงตัดสินเกม มีการบรีฟมาโดยละเอียดว่าเขาจะต้องจับตาดูผู้เล่นอย่าง มาราโดน่า ให้ดี เพราะนักเตะคนนี้เก่งที่สุดในโลก และเป็นส่วนผสมของความเก่งกาจในสนาม กับความร้ายกาจของลักษณะนิสัย
เขาบอกเล่าแบบนั้นจริง ๆ แต่คำถามคือทำไมเขาจึงปล่อยให้ลูกยิงหัตถ์พระเจ้าเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่ทั้งโลกต่างก็เห็นว่ามันเป็นการแฮนด์บอล นักเตะอังกฤษทั้งสนามบอกว่ามีแค่กรรมการอย่าง บิน นาสเซอร์ เท่านั้นที่ไม่เห็น
"เราทุกคนเห็นมันเต็มสองตานั่นแหละ แม้กระทั่งพวกที่นั่งอยู่บนม้านั่งสำรองและก็โค้ชของเราด้วย มันชัดเจนที่สุด ดังนั้นไม่มีใครอยากจะเชื่อว่า ผู้ตัดสินไม่เห็นว่ามันโดนแขนของ มาราโดน่า" จอห์น บาร์นส์ นักเตะตำแหน่งปีกของอังกฤษชุดนั้นกล่าว
Photo : thesefootballtimes.co
ขณะที่ บ็อบบี้ ร็อบสัน กุนซือของอังกฤษเป็นคนที่หัวเสียที่สุด เขาบอกว่านี่ไม่ใช่หัตถ์พระเจ้า แต่เป็นแขนของไอ้พวกขี้โกงต่างหาก มันคือการโกงอย่างตั้งใจ และทำให้ มาราโดน่า เสื่อมเกียรติในมุมมองของ ร็อบสัน
"พระเจ้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว มาราโดน่า ด้อยค่าลงในสายตาของผมจากวันนั้นและตลอดไป" ปู่บ็อบผู้ล่วงลับกล่าวไว้
กลับมาที่ บิน นาสเซอร์ อีกครั้ง คำถามคือเขาไม่เห็นลูกหัตถ์พระเจ้าจริงหรือ นั่นคือสิ่งที่คนอยากฟังคำตอบ ซึ่งเจ้าตัวเอามาพูดภายหลังว่าเกิดอะไรขึ้นในเกมวันนั้น ทำไมเขาจึงปล่อยให้ลูกนั้นเป็นประตูไป ...
หากสรุปให้เข้าใจในประโยคเดียวคือ "ผมไม่เห็นจริง ๆ" ทว่ามีสิ่งที่สามารถขยายความประโยคนี้ได้มากมาย และนั่นทำให้มันเป็นประตูที่คลาสสิกที่สุดในฐานะกรรมการฟุตบอลของเขา
"ผมยังจำสิ่งที่เกิดวันนั้นได้ดีมาก ๆ ผมเห็น สตีฟ ฮอดจ์ สกัดบอลย้อยกลับหลัง และจากนั้น มาราโดน่า ก็ลอยตัวกลางอากาศ แต่ที่เห็นหลังจากนั้นคือเขาและ (ปีเตอร์) ชิลตันหันหน้าไปในทิศทางที่ไม่ได้อยู่ในทัศนวิสัยของผม" บิน นาสเซอร์ ยอมรับว่า "เขาไม่เห็น"
Photo : wwos.nine.com.au
ช่วงเวลาหลังจากที่บอลกลิ้งเข้าประตูไปอาจจะสั้นเพียงเสี้ยววินาที แต่เบื้องหลังที่ซ่อนอยู่นั้นเอามาเล่าได้เป็นชั่วโมง ๆ มันเหมือนกับเหตุการณ์ บัตเตอร์ฟลาย เอฟเฟ็คต์ (ทฤษฎีปีกผีเสื้อขยับ) ที่เมื่อมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น สิ่งต่าง ๆ จะเริ่มล้มเป็นโดมิโน่และส่งผลใหญ่โตเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด
จริง ๆ ถ้าเป่าแฮนด์บอลก็จบแล้ว แต่มันมีอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้นเยอะ ระหว่างที่บอลเข้าประตูไป บิน นาสเซอร์ ที่ยอมรับว่าไม่เห็น รีบมองหาตัวช่วยที่ดีที่สุดของเขานั้นคือ บ็อกดาน โดเชฟ ไลน์แมนชาวบัลแกเรีย สิ่งที่เขาต้องการจาก โดเชฟ คือ "บอกมาว่าแฮนด์หรือไม่ เพราะมุมของผมมันไม่ชัด" ... ซึ่งท่าทีของ โดเชฟ คือ "เฉยเมย" นั่นยิ่งทำให้ บิน นาสเซอร์ เลิ่กลั่กไปกันใหญ่เพราะเขาต้องตัดสินใจผ่านการวิเคราะห์ของตัวเองแล้ว
"สิทธิ์ขาดในการตัดสินใจขึ้นอยู่กับคนเห็นเหตุการณ์ และมีการยืนยันก่อนเกมว่าจงเชื่อมั่นในการตัดสินของคนที่เห็นชัดกว่า ซึ่งในกรณีนั้นคือ โดเชฟ" บิน นาสเซอร์ ว่าไว้
"ผมลังเลอยู่พักใหญ่ ผมเลยเหลือบไปมอง โดเชฟ เขากำลังถือธงวิ่งกลับมาประจำจุดกลางสนาม ผมอยากได้คำยืนยันจากเขาว่า 'เฮ้ย มันโดนแขนนะ แขนของ มาราโดน่า สัมผัสบอล' แต่ว่าเขาไม่ได้ส่งสัญญาณการแฮนด์บอลให้กับผมเลย" บิน นาสเซอร์ พยายามจะบอกว่าคนที่ผิด คือคนที่เห็นเหตุการณ์ชัดแต่ไม่บอกเขาอย่าง โดเชฟ มากกว่า
ซึ่งแน่นอนว่าไมโครโฟนถูกนำไปจ่อปากของ โดเชฟ เพื่อให้เล่าในมุมมองของเขาบ้างหลังจากโดนโยนขี้ใส่ดื้อ ๆ และ โดเชฟ ก็ให้คำตอบไปกันใหญ่ ลุกลามไปยันเรื่องมาตรฐานกรรมการจากทวีปแอฟริกาเลยด้วยซ้ำไป
Photo : www.hitc.com | Reuters
"ก็ ฟีฟ่า เป็นคนบรีฟงานผมเองว่า ไม่ต้องการให้ผู้ช่วยผู้ตัดสินเข้ามาทำให้ผู้ตัดสินที่ 1 ไขว้เขวและไม่อนุญาตให้เกิดการทักท้วงหารืออะไร" มหกรรมโยนขี้ระลอกที่ 2 เกิดขึ้นโดย โดเชฟ ทันที
"พูดตรง ๆ ถ้า ฟีฟ่า ให้กรรมการที่มาจากทวีปยุโรปลงตัดสินเกมนี้นะ ทุกอย่างจะเคลียร์มาก ประตูนี้ของมาราโดน่าไม่มีวันถูกตัดสินให้เป็นประตูแน่นอน 100% ผมมั่นใจแบบนั้นเลย" โดเชฟ ยืนยันอีกครั้ง
ถึงแม้ โดเชฟ จะไม่ได้บอกว่าเขาเห็นว่าเป็นแฮนด์บอลหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ คือ แนวทางการให้สัมภาษณ์ของเขามันชัดเจนในระดับหนึ่งว่า "คนผิดคือ บิน นาสเซอร์ นั่นแหละ"
ย้อนกลับไปที่เหตุการณ์มองหน้ากันเลิกลั่ก 5 วินาทีของ บิน นาสเซอร์ และ โดเชฟ มันทำให้ผู้ตัดสินชาวตูนิเซียต้องใช้ดุลยพินิจของตัวเองตัดสิน ... ความเป็นไปได้ว่ามันแฮนด์บอลควรจะเกิดขึ้นเมื่อ แกรี่ ลินิเกอร์ กองหน้าของอังกฤษชุดนั้นเดินมาบอกเขาว่า "ได้โปรดเถอะอาจารย์ นั่นมันแฮนด์บอลนะ"
บิน นาสเซอร์ เกือบจะคาบนกหวีดไปแล้วจากการทักท้วงของอังกฤษ ทว่าฝั่ง อาร์เจนตินา ก็ไซโคเขาเช่นกัน มาราโดน่า วิ่งไปดีใจโดนไม่สนอะไรทั้งสิ้น แม้รู้ทั้งรู้ว่าแขนของตัวเองเป็นอวัยวะที่โดนบอลในจังหวะสุดท้าย
"ผมวิ่งไปดีใจก่อนเลย และรอให้เพื่อนร่วมทีมเข้ามากอดแสดงความดีใจด้วย แต่ไม่มีใครเข้ามาสักคน ผมเลยรีบตะโกนบอกว่า 'เร็ว ๆ สิโว้ย รีบเข้ามากอดกันไม่งั้นกรรมการจะริบประตูนี้คืน'" มาราโดน่า กล่าวในภายหลัง ... การกดดันเป็นผล เขาทำให้กรรมการและผู้ช่วยเสียสมาธิได้จริง ๆ
Photo : home.bt.com
นอกจากที่ มาราโดน่า จะพยายามตบตาและกดดันผู้ตัดสินแล้ว เขายังโกหกแม้กระทั่งเพื่อนร่วมทีมของตัวเองอีกด้วย เพราะเมื่อนักเตะ อาร์เจนตินา คนอื่น ๆ เข้ามาดีใจร่วมกันตามที่เขาสั่ง หลายคนถาม มาราโดน่า ว่าเขาเอามือปัดบอลเข้าหรือไม่ ? คำตอบของมาราโดน่าคือ "ฉันโหม่งมันเข้าไปสิวะ"
"พวกเราบางคนวิ่งเข้าไปดีใจกับ มาราโดน่า และเขาบอกเราว่ามันเป็นลูกโหม่ง หัวของเขาโดนบอลเต็ม ๆ เลย แล้วก็บอกทุกคนว่า 'เลิกถามได้แล้ว เข้ามากอดร่วมดีใจกับข้าสิวะ' เขาหลอกทุกคนได้อย่างอัจฉริยะ" ออสการ์ รุจเจรี่ กองหลังของทีมเล่าถึงการฉลองประตูในวันนั้น
แม้แต่พวกเดียวกันยังโดนหลอก บิน นาสเซอร์ จะเหลืออะไร เขาหัวเดียวกระเทียมลีบ ไลน์แมน์ก็ไม่หือไม่อือ ผู้ตัดสินที่ 4 ก็ไม่มีความเห็น หนำซ้ำนักเตะอาร์เจนตินายังดีใจกันได้อย่างแนบเนียน ... "เข้าก็เข้าวะ" นั่นคือสิ่งที่เขาคงจะคิดอยู่ในเวลานั้น และเขาก็ชี้มือไปที่วงกลมกลางสนามเพื่อเป็นสัญญาณให้อังกฤษเอาบอลไปเขี่ยเริ่มเล่นได้แล้ว ลูกนี้เป็นประตู
มาราโดน่า ปิดจ็อบประตูประวัติศาสตร์ของชาวอาร์เจนตินา และประตูขี้โกงของชาวอังกฤษ ได้อย่างฉลาด (แกมโกง) นักเตะอาร์เจนตินา วิ่งกลับมาเตรียมตั้งขบวนเกมรับหลังการเขี่ยบอลของอังกฤษ ทว่ามีคนที่สงสัยและไม่จบกับเรื่องนี้อยู่ คน ๆ นั้นคือ เซร์จิโอ บาติสต้า
"ถามจริง นี่มึงเอามือปัดบอลเข้าประตูหรือเปล่าวะ ?" บาติสต้า คงเห็นเหตุการณ์บางส่วนและอดสงสัยไม่ได้จึงถามในขณะที่วิ่งจ็อกกิ้งกลับไปยืนประจำการในตำแหน่งของตัวเอง ขณะที่ มาราโดน่า ก็ตอบด้วยประโยคสุดคลาสสิกใส่เพื่อนร่วมทีมของเขาทันทีว่า "ใช่มือกูซะที่ไหน เขาเรียกสัมผัสจากพระเจ้า"
Photo : www.planetfootball.com
บาติสต้า ได้ฟังเช่นนั่นเขาถึงกับยอมใจ มาราโดน่า และสบถออกมาว่า "แม่งเอ๊ย ไอ้เวรนี่มันเหลือเกิน ... ฉลองต่อกันดีกว่าโว้ย" ... เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถูกบอกเล่าผ่านสารคดีชีวิตของ มาราโดน่า ที่ชื่อว่า ดิเอโก้ มาราโดน่า กบฏ, วีรบุรษ, นักค้าขาย หรือ พระเจ้า ?
แฮนด์ ออฟ ก็อด เกิดขึ้นจากการเล่นนอกกติกาแบบไม่ต้องสงสัย แต่เหนือสิ่งอื่นใด มันคือการโกงที่มีหลายปัจจัยส่งเสริมจนทำให้การโกงโดนมองว่าไม่โกง (ได้ประตู) อาลี บิน นาสเซอร์ ตกเป็นเหยื่อแห่งความโกลาหลจากความเฉียบแหลมของ มาราโดน่า และการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันในทีมผู้ตัดสินของเขาเอง ... คำถามต่อจากนั้นคือ เขารู้สึกอย่างไรที่ถูกบันทึกว่าเป็นคนลงเป่าในเกมที่คลาสสิกที่สุดเกมหนึ่งในฟุตบอลโลก
ความภาคภูมิใจ
ทุกคนผิดพลาดได้ แต่ที่สำคัญหลังจากนั้นคือพวกเขาได้เรียนรู้หรือเปล่า ?
สำหรับ บิน นาสเซอร์ นั่นคือเหตุการณ์เดียวที่ทำให้เขาถูกตัดสินว่าเป็นกรรมการขี้โกงจากมุมมองของแฟนบอล ทว่าสำหรับในทัวร์นาเมนต์นั้น เขาได้รับการประเมินจากฟีฟ่าโดยได้คะแนนถึง 9 เต็ม 10 คะแนนเลยทีเดียว และลงตัดสินเกมระดับฟีฟ่าจนกระทั่งปี 1990 และไม่ได้มีปัญหาเป็นประเด็นอะไรอีกเลย
Photo : www.leparisien.fr
ความผิดพลาดในปี 1986 นั้นเกิดขึ้นจากทุกอย่างมันเร็วมากจนมองไม่ทัน ผู้ช่วยไม่ได้ช่วย มาราโดน่า ใช้มือได้แนบเนียน และนักเตะอาร์เจนตินาก็รวมหัวกันหลอกซ้ำหลอกซ้อน นั่นคือความจริงที่เขาต้องเจอ ส่วนที่เขาบอกว่าตัวเองมองไม่เห็นแขนของมาราโดน่านั้น มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ความจริงว่าเขาพูดโกหกหรือไม่ ?
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป สิ่งหนึ่งที่ตกผลึกในความคิดของเขาคือ "ความภาคภูมิใจ" ที่ได้ลงเป่าเกมสำคัญระดับโลก ต่อให้มันเป็นความผิดพลาด แต่เขาก็ไม่ขอแลกประสบการณ์นี้กับสิ่งใด ๆ ก็ตาม ในฐานะคนที่อยู่ในเหตุการณ์สำคัญนี้ บิน นาสเซอร์ ยังคงรู้สึกตื่นเต้นไม่หายจนกระทั่งทุกวันนี้
"นักเตะอย่าง มาราโดน่า คุณละสายตาจากเขาไม่ได้หรอก ในเกมนั้นมีอีกประตูหนึ่งจากเขาด้วย เขาเริ่มวิ่งจากตำแหน่งกองกลาง นักเตะอังกฤษพยายามจะทำฟาวล์เขาและ มาราโดน่า เกือบจะล้มอยู่ 2-3 หน"
"แต่ความปรารถนาของเขาแรงกล้ามาก เขาไม่ยอมล้มและไถไปข้างหน้าไม่หยุด ทุกการสกัดผมตะโกนลั่นสนามว่า 'เล่นต่อไป ลูกได้เปรียบ ๆ' จนเลี้ยงบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ"
"ผมหยุดดูเขาจากนอกกรอบ และเกิดความสงสัยในตัวเองว่าคนบ้าอะไรวิ่งเกือบ 50 เมตร ผมคิดในใจว่าเดี๋ยวนักเตะอังกฤษคงเอาเขาจนร่วง ต้องได้เป่าจุดโทษแน่ ๆ ผมจ้องเขม็งเพื่อหวังจะได้เห็นในสิ่งที่คาดการณ์ไว้ ... แต่ความสุดยอดยังไม่หมด เขาล็อกกองหลังอังกฤษที่เหลืออยู่คนสุดท้าย และโยกหลอก ปีเตอร์ ชิลตัน อีกทีนึง เพื่อทำประตูแห่งศตวรรษ"
"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมภูมิใจและเป็นเกียรติมากที่ได้ตัดสินในเกม ๆ นั้น และอยู่ในหน้าความทรงจำครั้งประวัติศาสตร์ ผมภูมิใจที่ตัวเองไม่เป่านกหวีดให้ มาราโดน่า ได้ฟาวล์เสียก่อน เพราะไม่อย่างนั้นประตูที่สุดยอดนี้คงไม่เกิดขึ้น ... ผมขอเรียกมันว่าความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจก็แล้วกันนะ"
Photo : theolivepress.es
นอกจากความภูมิใจแล้ว บิน นาสเซอร์ ยังกล่าวอีกว่า เขาไม่ได้เข้าข้างอาร์เจนตินาอย่างที่ใครคิด เพราะนี่คือเกมที่ดีและสนุกมาก ถึงขนาดที่ว่าเขาอยากจะให้มีการต่อเวลาเลยด้วยซ้ำไป
"ตอนที่อังกฤษยิงไล่มาเป็น 1-2 ผมพูดตรง ๆ ผมเชียร์ให้อังกฤษตีเสมอให้ได้ ผมอยากสนุกกับเกม ๆ นี้อีกสัก 30 นาที แม้วันนั้นจะเป็นวันที่อากาศร้อนจัด แต่ผมอยากให้เกมมันดำเนินต่อไป นี่คือฟุตบอลที่สวยงามและไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามันคือเกมที่ยอดเยี่ยมที่สุด" บิน นาสเซอร์ กล่าวทิ้งท้าย
ทุกคนรู้ดีว่าสิ่งที่ บิน นาสเซอร์ อยากจะเห็นมันไม่เกิดขึ้น มาราโดน่า ยิง 2 ประตูและมีส่วนสำคัญช่วยให้ อาร์เจนตินา เอาชนะไป 2-1 ก่อนจะผ่านไปไกลถึงขั้นได้แชมป์โลกสมัยที่ 2 ของประเทศ นั่นยิ่งทำให้การตัดสินของเขาในวันนั้นถูกจดจำและเล่าขานมาจนทุกวันนี้ในฐานะ "การแฮนด์บอลที่ทำให้ อาร์เจนตินาเป็นแชมเปี้ยน"
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นที่ เอสตาดิโอ อัซเตก้า ผ่านไป 29 ปี ... ในปี 2015 ดิเอโก้ มาราโดน่า มีธุระปะปังที่ ตูนิเซีย และเขายังไม่ลืมว่าใครที่เป็นคนเป่านกหวีดในวันนั้นเมือปี 1986
มาราโดน่า แวะมาหา อาลี บิน นาสเซอร์ เพื่อพูดคุยและมอบเสื้อแข่งของ อาร์เจนตินา ที่สกรีนหมายเลข 10 ให้กับ บิน นาสเซอร์ พร้อมเขียนคำว่า "Para Ali Mi Amigo Eterna" หรือแปลเป็นไทยว่า "แด่ อาลี เพื่อนรักตลอดกาลของฉัน"
Photo : english.mathrubhumi.com
สิ่งที่ บิน นาสเซอร์ พูดกับ มาราโดน่า ในวันนั้นคือ "ไม่ใช่อาร์เจนตินาที่เป็นแชมป์โลก แต่เป็น มาราโดน่า ต่างหากที่ทำมันได้"
ก่อนที่ มาราโดน่า จะปิดท้ายบทสนทนาว่า "ไม่ใช่หรอกเพื่อน ถ้าไม่มีคุณ ผมคงไม่สามารถทำประตูแห่งศตวรรษได้แน่ ๆ"
"แด่ อาลี เพื่อนรักตลอดกาลของฉัน" ประโยคสั้น ๆ ประโยคนี้ยังตราตรึงใจ อาลี บิน นาสเซอร์ เสมอไม่ว่าใครจะคิดอย่างไรกับการตัดสินของเขาก็ตาม ... เรื่องมันเกิดขึ้นและจบลงไปแล้ว เหลือเพียงความทรงจำ และ ความจริงในใจของเขาที่ไม่มีใครล่วงรู้เท่านั้น