กาดิซ : สโมสรล้มยักษ์แห่งสเปนที่แฟนบอลหัวเราะในวันที่ทีมพ่ายแพ้

กาดิซ : สโมสรล้มยักษ์แห่งสเปนที่แฟนบอลหัวเราะในวันที่ทีมพ่ายแพ้

กาดิซ : สโมสรล้มยักษ์แห่งสเปนที่แฟนบอลหัวเราะในวันที่ทีมพ่ายแพ้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ป้ายที่ติดบนทางเดินก่อนลงสู่สนาม รามอน เดอ การ์รานซ่า ของ กาดิซ ซีเอฟ ถูกเขียนว่า "ใครที่คิดจะเป็นศัตรูกับ กาดิซ มันผู้นั้นคือคนที่เป็นศัตรูกับมนุษยชาติ" 

มองเผิน ๆ อาจจะเหมือนคำข่มขวัญคู่แข่งของสโมสรนี้ ทว่าความจริงแล้ว ความหมายของป้ายดังกล่าวนั้นลึกล้ำกว่านั้น และใจความของมัน ทำให้สโมสรเล็ก ๆ ที่เพิ่งเลื่อนชั้น ทำสถิติเอาชนะทั้ง เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า ได้ภายในเลกเดียว 

ทีมของพวกเขาเกี่ยวข้องกับมนุษยชาติอย่างไร ? และสิ่งใดที่ทำให้พวกเขาคึกครื้นได้ขนาดนั้น ? ติดตามได้ที่ Main Stand

ทีมจากเมืองแห่งความสนุก 

กาดิซ แตกต่างตั้งแต่ที่ตั้ง ในแคว้นอันดาลูเซีย แคว้นนี้นอกจาก กาดิซ แล้ว ยังมีเมืองใหญ่อย่าง เซบีย่า และ กรานาดา ทว่า กาดิซ แม้จะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ก็มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3,100 ปี เป็นเมืองท่าเรือหลักของกองทัพสเปนเมื่อครั้งอดีต   


Photo : www.diariodecadiz.es

กาดิซ นั้นเป็นเมืองที่บรรยากาศดี และมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ที่นี่เจริญทั้งสถาปัตยกรรมและศิลปะแขนงต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านดนตรี และมันเป็นเหมือน DNA ของคนที่นี่ พวกเขารักอิสระ และมีอารมณ์ศิลปินอย่างเต็มเปี่ยม และนั่นอาจส่งผลมายังสโมสรฟุตบอลอย่าง กาดิซ ด้วย 

"กาดิซ เป็นเมืองที่ผ่อนคลายและร่าเริงอย่างน่าอัศจรรย์" อิซาเบลล่า โนเบิล นักเขียนสายท่องเที่ยวที่มีผลงานกับหลายสื่อดัง กล่าวถึงวิถีและวัฒนธรรมของชาวเมือง "กาดิตาโน" โดยอธิบายว่า ผู้คนที่นี่มีความอบอุ่นและเป็นมิตร พวกเขาชื่นชอบต้อนรับแขกผู้มาเยือน ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้มาที่นี่จะต้องได้รับความประทับใจกลับมาเสมอ

 

นั่นทำให้สโมสรแห่งนี้พยายามจะเล่นฟุตบอลให้สนุก เพราะรู้ว่าแฟนบอลที่นี่ไม่อยากจะดูแค่ฟุตบอล พวกเขาต้องการดูอะไรที่เอ็นเตอร์เทน พวกเขาชอบอะไรที่มันเร้าใจ มีการเคลื่อนไหวที่พริ้วไหวและแข็งแรง เหมือนกับการเต้นฟลามิงโก้ที่เป็นเป็นศิลปะการเต้นประจำเมืองแห่งนี้ แต่น่าเสียดายที่แฟนบอลของพวกเขามักจะไม่ได้ผลการแข่งขันตามที่หวัง กาดิซ ไม่มีความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน และใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเล่นลีกล่าง ๆ ของประเทศ ซึ่งสิ่งเดียวที่แฟนพวกเขาทำ คือรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น และยิ้มรับมันพร้อมคิดเสียว่า นี่เป็นเพียงช่วงเวลาที่เลวร้าย อีกไม่นานก็จะผ่านไป 

"วิธีการรับมือกับความพ่ายแพ้ของแฟน ๆ ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงนะ ใช้การประชดประชันแบบติดอารมณ์ขัน ซึ่งเป็นวิธีที่ถือว่าช่วยในการรับมือกับช่วงเวลาที่ไม่ดีได้ยอดเยี่ยมมาก" ฮวน อันโตนิโอ ริบาส นักข่าวท้องถิ่นชาว กาดิซ กล่าว 

พวกเขาเก่งเรื่องการเเซว การอำ และสนุกกับทุก ๆ เรื่องเป็นอย่างดี ย้อนกลับไปในปี 2015 มีเกมที่ยืนยันถึงความเป็นคนสนุกสนานของชาวเมือง กาดิซ และ แฟนบอลทีมนี้เป็นอย่างดี 

ในเกมนั้น กาดิซ เปิดบ้านเจอกับ เรอัล มาดริด ที่มี ราฟา เบนิเตซ คุมทีมในรายการ โกปา เดล เรย์ รอบ 32 ทีม เลกแรก ... เกมดังกล่าว ราฟา ส่ง เดนิส เชริเชฟ นักเตะชาวรัสเซีย ลงเป็นตัวจริง ทั้ง ๆ ที่ เชริเชฟ มีโทษแบนในรายการนี้มาตั้งแต่ปีที่แล้ว หลังลงเล่นให้กับ บียาร์เรอัล และโดนใบเหลืองในรายการนี้ครบ 3 ใบ 

เชริเชฟ ลงสนาม และยิงประตูช่วยให้ มาดริด เป็นฝ่ายออกนำ ขณะที่เกมครึ่งหลังกำลังจะเริ่ม ก็มีข่าวที่ส่งตรงมาในกลุ่มแชทของแฟนบอล กาดิซ ว่า "ไอ้หมอนี่มันยังติดโทษแบนจากปีที่แล้วอยู่นี่หว่า"

 

และเมื่อมีการเช็คดู ปรากฎว่า มาดริด ทำผิดกฎจริง ๆ และจะต้องโดนลงโทษด้วยการโดนปรับแพ้ แฟน ๆ รู้แล้ว แต่นักเตะในสนามไม่มีใครรู้ นั่นทำให้แฟน ๆ กาดิซที่เก่งเรื่องการแซวและเสียดสีเก่ง ก็เริ่มร้องเพลง "Cheryshev, te quiero" (เชริเชฟ ฉันรักคุณ) ทุกครั้งที่ เชริเชฟ ได้บอล ร้องไปหัวเราะไปอย่างสนุกสนาน ... ตัวของ เชริเชฟ คงจะงงว่าอยู่ดี ๆ แฟนบอลคู่แข่งมาร้องเพลงรักให้กับเขาทำไม ?

ก็ต้องรอจนหลังจบเกมนั้นแหละถึงจะหายงง เพราะถึง มาดริด จะคว้าชัยด้วยสกอร์ 3-1 แต่ทัพราชันชุดขาว ก็โดนปรับแพ้ในภายหลัง ตกรอบแบบอับอายทั้งสโมสร  

ไม่ว่าจะฟอร์มดีหรือไม่ แฟนของ กาดิซ จะมากันอย่างเนืองแน่น สนามของพวกเขามีความจุ 2 หมื่นคน และมีแฟนบอลที่จองตั๋วปีเกินครึ่งของจำนวนทั้งหมด สิ่งสำคัญคือไม่ว่าการแข่งขันจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้หรือชัยชนะ พวกเขาจะมีปาร์ตี้ที่จัดเต็มทั้งแสงสีเสียง เหมือนกับว่ามันเป็นงานเทศกาลที่จัดขึ้นทุกสัปดาห์ ฟุตบอลคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาสนุกไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม 

"กาดิซ คือทีมที่ทุกคนรู้จักกันดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราจะยังคงเป็นทีมแห่งความสนุกและมีสีสันเสมอ หน้าที่ของเราคือรับผิดชอบความรู้สึกของแฟนบอล ถ้าเราทำได้ดีในสนามด้วย มันจะเป็นอะไรที่สุดยอดยิ่งกว่าเดิมอีก" มานูเอล บิซกาโน่ ประธานสโมสรของพวกเขากล่าวแนะนำทีม หลังจากเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดในฤดูกาล 2020-21

 


Photo : rebelultras.com

เดิมทีความสนุกของ กาดิซ โดนตีค่าไปในทางที่ผิดเล็กน้อย ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดมาแล้ว โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อฤดูกาล 2005-06 แต่ปัญหาคือพวกเขาตีค่าความสนุก ว่าเป็นเกมฟุตบอลที่ต้องเล่นแต่เกมบุกเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าการเล่นเกมบุก จะต้องเล่นด้วยนักเตะที่มีประสิทธิภาพมากพอ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วอาจจะเป็นทีมตรงข้ามที่เป็นฝ่ายเล่นสนุกกับเราแทน 

กาดิซ ตกชั้นไปนานโข และกระเด็นลงไปถึงขั้นดิวิชั่น 3 ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของการเงิน, ปัญหาทางเทคนิค หรือปัญหาในห้องแต่งตัวที่เอานักเตะไม่อยู่ก็ตาม สุดท้ายแล้ว กาดิซ ก็เปลี่ยนโค้ชไปหลายคน แต่ก็ไม่เจอใครที่จะทำทีมได้เข้าถึงจิตวิญญาณของสโมสรสักที จนกระทั่งพวกเขาได้เจอกับ อัลบาโร่ เซร์เบร่า 

เซร์เบร่า ไม่ใช่กุนซือที่มีประสบการณ์กับทีมใหญ่เลยสักครั้ง ดีที่สุดในชีวิตของเขาคือการคุมทีม บียาร์เรอัล ชุดสำรอง ที่เหลือก็ล่องลอยอยู่ภายใต้การทำทีมในดิวิชั่น 2-3-4 โดยจะหนักไปทางดิวิชั่น 3 เสียส่วนใหญ่ 

เขาไม่ใช่คนจากแคว้นอันดาลูเซีย แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่เขาเรียนรู้และซึมซับกับวัฒนธรรม เขารู้ว่าปัญหาของทีมนี้คืออะไร เขาแบ่งออกเป็น 3 ข้อในวันที่เข้ามาคุมทีมเมื่อปี 2016 คือ กลุ่มนักเตะที่ไร้แรงจูงใจ, การขาดนักเตะจากท้องถิ่นที่อยากทำเพื่อแฟน ๆ จริง ๆ และการอยู่รวมกันในฐานะเพื่อนร่วมงาน แต่ไม่ได้หมายความว่านักเตะแต่ละคนเป็นทีมเดียวกัน

 

เซร์เบร่า เริ่มสร้างทีมโดยการยึดถือคติพจน์ประจำสโมสรที่มีอยู่ว่า "การต่อสู้ที่ไร้การต่อรอง" (La Lucha no se negocia) กล่าวคือเมื่อลงสนามไป ต้องอย่าคิดว่าจะลงไปแค่ผลเสมอหรือเตรียมใจเพื่อเป็นฝ่ายแพ้ ไม่ว่าจะเจอทีมเก่งแค่ไหน ก็ห้ามแสดงท่าทีไก่อ่อนเด็ดขาด พวกเขามองไปที่ชัยชนะทุกนัด ไม่ว่าจะเจอกับ บาร์เซโลน่า หรือเล่นกับทีมชุดบีของตัวเองในการอุ่นเครื่อง


Photo : as.com

"คติพจน์และคำขวัญของทีมเจ๋งมาก นั่นคือสิ่งแรกที่รู้สึก มันไม่ใช่คำพูดที่สวยงามหรือประทับใจคนส่วนใหญ่มากหรอก มันสั้นมาก มีคำแค่ 5 คำ แต่มันกระชับมาจนเอามาใช้ได้จริง ไม่ว่าในโลกฟุตบอลหรือในชีวิตยามที่เราต้องเผชิญกับความยากลำบากและทุกใจ ... การต่อสู้ที่ไร้การต่อรอง" เซร์เบร่า กล่าว 

มีคำกล่าวว่าคนเรานั้นต้องเดินทางไปตลอดชีวิต จนกว่าจะเจอที่ที่รู้สึกว่าเป็นของตัวเองจริง ๆ และสำหรับ เซร์เบร่า เขาอาจจะไม่ใช่คนเมืองนี้ แต่เขาก็ชอบวัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ และไลฟ์สไตล์ของ กาดิซ ที่สุด 

"กาดิซ เป็นเหมือนปัจจุบันและอนาคตของผม ตอนที่ผมได้งานและรู้ชีวิตความเป็นอยู่ที่นี่ ผมรู้ว่าชีวิตโค้ชฟุตบอลของผมจะต้องเปลี่ยนไป ไลฟ์สไตล์ของคนที่นี่เข้ากับการใช้ชีวิตของผม พวกเรารวมตัวกันติด พวกเรารู้สึกว่าเป็นเพื่อนกันจริง ๆ และเมืองๆนี้ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขมาก"

 


Photo : www.cadizcf.com

กาดิซ เมืองแห่งศิลปะและปาร์ตี้ กลายเป็นเมืองที่จะสอนให้ เซร์เบร่า เรียนรู้ชีวิตการทำงานโค้ชครั้งสำคัญ เขาและทีมจะต้องเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน จากดิวิชั่น 3 จนถึงลีกสูงสุด พวกเขามีทางเดินอีกไกลรออยู่ แต่เมื่อพวกเขารวมกันติดคำขวัญที่ว่า "การต่อสู้ที่ไร้ซึ่งการต่อรอง" ก็กลายเป็นสารตั้งต้นที่ทำให้น้อยทีมนักจะหยุด กาดิซ อยู่

การต่อสู้ที่ไร้การต่อรอง 

การทำงานและเรียนรู้ของ เซร์เบร่า ที่ กาดิซ ทำให้เขาได้รับประสบการณ์หลายอย่างที่ไม่เคยเจอ อย่างแรกคือเขาวางกฎแบบไม่เข้มจนเกินไปนัก เปิดกว้างสำหรับนักเตะทุกคน เขาอยากให้ลูกทีมมีเสรีภาพ ไม่ต้องตรงเป๊ะตามกฎเป็นไม้บรรทัดเสียทีเดียว ชีวิตที่ กาดิซ ขับเคลื่อนไปได้ด้วยความสุขและอิสระ เขาเชื่อเช่นนั้น 

จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ นักเตะคนหนึ่งของทีมหายไประหว่างการฝึกซ้อม และโดดซ้อมบ่อยขึ้น ณ เวลานั้น เซร์เบร่า ถึงกับงง เพราะเขาคิดว่าการให้อิสระคือการทำให้ทุกคนอยากสนุกกับฟุตบอลของเขา และประสบการณ์นั้นได้เปลี่ยนแปลงเขาไปอีกขั้น นั่นคือความสุขและสนุกต้องมาคู่กับความรับผิดชอบด้วย เขาตัดชื่อนักเตะคนนั้นออกจากทีม และบอกทั้งทีมให้รู้ว่า "การต่อสู้ที่ไร้ซึ่งการต่อรอง" ที่แท้จริงคืออะไร 


Photo : www.managingmadrid.com

"พวกเราเรียนรู้การทำงาน เซร์เบร่า เขาเป็นโค้ชประเภทใจนักเลง เขาทำให้ทุกคนในทีมรู้ว่าการฝึกซ้อมแต่ละคนทุกคนมีหน้าที่อะไรบ้าง ทีมต้องการอะไรจากการซ้อมครั้งนี้" ซัลบี นักเตะของ กาดิซ ที่อยู่กับทีมมาตั้งแต่ ดิวิชั่น 2 กล่าว 

เขากำลังจะบอกว่า เซร์เบร่า ให้สิทธิ์และเสรีภาพกับนักเตะในทีมสูงมาก เพราะเขาเคยเป็นนักฟุตบอลมาก่อน และสิ่งเดียวที่เขาเรียกร้องจากนักเตะในทีม คือการตั้งใจทำหน้าที่ได้รับมอบหมายออกมาด้วยความพยายามระดับสูงสุด ส่วนจะดีหรือไม่นั้น ถือเป็นความสำคัญอันดับ 2 

"พูดตรง ๆ คือผมเติบโตขึ้นมากในการเป็นนักเตะของ กาดิซ และลูกทีมของ เซร์เบร่า เมื่อก่อนผมเป็นนักเตะอารมณ์ร้อน แต่ตอนนี้ใจเย็นขึ้นมาเลย พวกเราต้องระลึกเสมอ เวลาไหนควรแสดงออกอย่างไร เซร์เบร่า สอนผมมากมายทั้งเรื่องฟุตบอลและเรื่องของชีวิต จิตวิญญาณของการต่อสู้ที่ไร้ข้อต่อรองใช้ได้จริงทั้งในและนอกสนาม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จงคิดบวกเข้าไว้" ซัลบี กล่าว 

แปลกแต่จริงที่เรื่องนี้ไปตรงกับเรื่องราวในอดีตเมื่อราว 30-40 ปีก่อนของทีม กาดิซ มีนักเตะที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเขาที่ชื่อว่า มาจิโค กอนซาเลซ กองหน้าชาวเอล ซัลวาดอร์ 

หากถามว่า มาจิโค เก่งประมาณไหน ก็คงต้องบอกว่า ดิเอโก มาราโดนา เคยบอกว่า มาจิโค คือนักเตะที่สามารถเล่นให้ทีมไหนก็ได้บนโลก ขณะที่ โยฮัน ครัฟฟ์ ตำนานผู้ล่วงลับของ บาร์เซโลน่า ในยุคนั้นยังกล่าวว่า "มาจิโค คือนักเตะต่างชาติที่ดีที่สุดระดับ 1 ใน 5 ของ ลา ลีกา" เลยทีเดียว  

มาจิโค ไม่ย้ายทีมเพราะเขาไม่คิดว่าจะมีวัฒนธรรมฟุตบอลที่ไหนเหมาะกับเขาเท่ากับที่ กาดิซ กล่าวคือที่นี่ให้อิสรภาพกับเขา ไม่มีข้อห้ามที่มัดแน่นจนเขาไม่ได้กระดิก มีคำกล่าวว่าเขาไม่เคยขาดซ้อม แต่เขาก็ไม่เคยมาซ้อมตรงเวลา หากทีมนัดซ้อม 10 โมง เขาจะมาถึงสนาม 11 โมง หรือเที่ยงตรง

แต่สิ่งที่ มาจิโค ทำคือ เมื่อลงซ้อมและลงสนาม เขาใส่เต็มที่บี้เต็ม 100 เพราะเขาเหมือนกับลูกชายของเมือง กาดิซ เชื่อเสมอว่าอย่าไปซีเรียส ... ทำงานให้สนุกและมีความสุข เดี๋ยวดีเอง


Photo : sportsfinding.com

"ผมไม่ถือว่าฟุตบอลเป็นงาน ... ผมคิดเสมอว่าผมเตะฟุตบอลเพราะมันสนุก และทำให้ผมมีความสุขเท่านั้น" มาจิโค กอนซาเลซ กล่าว 

ขณะที่เพื่อน โฮเซ่ ซันโดกัน เพื่อนร่วมทีมของเขาก็เล่าย้อนยอดีตว่า "มาจิโค เล่นทุกเกมด้วยคุณภาพและความมุ่งมั่นแบบเดียวกันทั้งหมด เขาไม่เคยสนว่าเขากำลังดวลกับ ดิเอโก มาราโดนา หรือลงเล่นกับทีม กาดิซ ชุดบี เพราะมาตรฐานของเขาชัดเป๊ะมาก ผมฝึกซ้่อมกับเขาทุกวัน ผมรู้ดีว่าหมอนี่มันอัจฉริยะ และมีความฟิตที่ดีมากอยู่แล้ว เวลาเขาโดนโค้ชกดดันให้ลงซ้อม เขาจะไม่ชอบทำตามเท่าไหร่ เช่นเดียวกับเวลาลงสนาม บอกเขาก็พอว่าต้องการอะไร แล้วเขาจะรับผิดชอบสิ่งนั้นเอง ปล่อยเขาสนุก แล้วทุกอย่างจะออกมาเพอร์เฟกต์แน่นอน"

"วันไหนที่ มาจิโค อยากจะเล่น วันนั้นเหมือนกับว่าเราลงสนามด้วยผู้เล่น 12 คน แต่วันไหนที่เขาโดนบังคับเหมือนกับมีเชือกล่ามคอ วันนั้นเหมือนเราลงเล่นแค่ 10 คน" ซันโดกัน กล่าว 


Photo : diariovasco.com

ทุกวันนี้ มาจิโค ยังเป็นนักเตะขวัญใจอันดับ 1 ของเมืองแห่งนี้ ทุกคนที่เขามาเยือนสนามเหย้าและมาดูเกม เขายังคงต้องรับมือกับแฟน ๆ ที่ต่อคิวยาวเหยียดเพื่อขอลายเซ็นของเขาไม่เปลี่ยนแปลง ...

เรื่องราวของ มาจิโค กอนซาเลซ บอกเล่าถึงธรรมชาติของชาวเมืองและนักเตะท้องถิ่นของเมือง กาดิซ ได้เป็นอย่างดี และนั่นคือสิ่งที่โค้ช เซร์เบร่า ทำกับทีม ณ ปัจจุบัน สนุกกับงานที่ทำ สนุกกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และลงเล่นด้วยความหวังว่าจะเป็นผู้ชนะ ... ที่เหลือก็แค่รับมือผลการแข่งขันด้วยทัศนคติที่ดีและมองโลกในแง่บวกเท่านั้น

คืนความสุขให้แฟนบอล 

สนุกกับฟุตบอลในความหมายของ เซร์เบร่า ไม่ได้หมายความว่าทีมจะต้องลงเล่นอย่างเร้าใจบุกใส่แบบไม่หายใจหายคอ หรือแม้กระทั่งการพึ่งความสามารถของนักเตะระดับมหัศจรรย์แบบที่ มาจิโค กอนซาเลซ ทำ เพราะฟุตบอลปัจจุบันเป็นเกมแห่งแท็คติก ทีมมีขุมกำลังและศักยภาพนักเตะน้อยกว่าก็สามารถเป็นผู้ชนะได้ หากทุกคนทำตามหมากที่วางไว้ของโค้ช 

เซร์เบร่า รู้ดีว่านักเตะที่มีของเขานั้นดีไม่พอ นักเตะที่มีชื่อที่สุดของ กาดิซ คือ อัลบาโร่ เนเกรโด้ อดีตดาวยิง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เซบีย่า ในวัย 35 ปี เท่านั้น ดังนั้นแท็คติกของเขาคือการสนุกกับการเล่นเป็นทีมให้ได้มากที่สุด เซร์เบร่า ไม่เคยเรียกร้องให้นักเตะในทีมเป็นฝ่ายครอบครองบอล และเลือกที่จะเล่นบอลแท็คติกสวนกลับด้วยความเร็วมากกว่า 

เขาให้นักเตะในทีมสนุกกับการเป็นผู้ล่าในแบบของ กาดิซ นั่นคือเมื่ออีกฝ่ายได้บอล พวกเขาจะต้องเข้าไปรุมและเอาบอลกลับมาให้ได้ โดยแท็คติคนี้เขาเคยใช้เล่นงาน ลิโอเนล เมสซี่ ในเกมที่ กาดิซ ชนะ บาร์เซโลน่า 2-1 ถึง คัมป์ นู มาแล้วในฤดูกาลนี้ เช่นเดียวกับการเปิดบ้านชนะ เรอัล มาดริด 1-0 นั่นก็เป็นเกมที่ กาดิซ ได้ครองบอลเพียง 37% เท่านั้นตลอดทั้งเกม 

"หน้าที่ของโค้ช คือการรู้ว่างานถนัดของนักเตะแต่ละคนคืออะไร จากนั้นก็พยายามให้พวกเขาทำมันออกมาให้ดีที่สุด ผมทำทีมมาตั้งแต่ดิวิชั่น 3 ผมเรียนรู้ตลอดเวลา ผมภูมิใจที่ได้คุมซ้อมทุกวัน ๆ จนสิ่งที่ผมต้องการได้ถ่ายทอดไปยังนักเตะทุกคน ผมโตมาพร้อม ๆ กับทีม เรียนรู้ปัญหาต่าง ๆ จนผ่านมาได้ทุกวันนี้" เซร์เบร่า กล่าวหลังผ่านทีมเลื่อนชั้น 2 ครั้ง ภายในเวลา 4 ปี 

ณ ตอนนี้ความสำเร็จในสนามกำลังดำเนินการสร้างตามแผนงานของฝ่ายบริหาร พวกเขาจะทำให้แฟน ๆ ไม่ต้องสนุกกับความพ่ายแพ้มากมายเหมือนในอดีต พวกเขาจะทำให้แฟน ๆ ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการเพื่อที่จะได้ฉลองและมีความสุขกับมันแบบเต็มที่ โดยไม่ต้องใช้การเสียดสีประชดประชันอีกต่อไป 

ก่อนเดินลงสนามทุกนัด นักเตะของทีมจะต้องเดินผ่านป้ายที่เขียนว่า "ใครที่คิดจะเป็นศัตรูกับ กาดิซ มันผู้นั้นคือคนที่เป็นศัตรูกับมนุษยชาติ" และความหมายของป้ายนี้ที่แท้จริง คือมนุษย์เราทุกคนล้วนโหยหาความสุขและอิสรภาพในทุกช่วงชีวิต และที่ กาดิซ เป็นเช่นนั้นเสมอมา ถ้าไม่อยากเป็นศัตรูกับมนุษยชาติ จงออกจากสนามนี้ไปในฐานะผู้แพ้ และให้ความสุขกับเคลื่อนเมือง ๆ นี้และโลกใบนี้ต่อไป ... นี่คือข้อความที่บอกถึงทีมคู่แข่งของพวกเขา  


Photo : www.elcatalan.es

"ขั้นตอนแรก เราจะต้องรักษาพื้นที่ใน ลา ลีกา ของเราให้ได้ก่อน จากนั้นเราค่อยสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ของพวกเรา ... ผมอยากให้ กาดิซ เป็นทีมของแฟนบอลท้องถิ่นทุกคนที่เดินตามท้องถนน เราจะเป็นทีมที่แฟนบอลสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา แต่จากนี้ไปเราจะให้พวกเขาได้พบกับสิ่งที่แตกต่าง นั่นคือเมื่อเสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้น พวกเขาจะพบว่าเราเป็นฝ่ายที่ยิงประตูได้มากกว่า ... และนั่นหมายถึงการเป็นผู้ชนะ" ท่านประธาน บิซกาโน่ กล่าวทิ้งท้าย 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook