โจแอน คัลเดอร์วูด : สาวสกอตที่ใช้ความรักในมวยไทยก้าวไปเป็นนักสู้ของ UFC
มวยไทย คือหนึ่งในศิลปะการต่อสู้ที่โด่งดังไปทั่วโลก แม้จะได้ชื่อว่าเป็นทักษะที่ถูกคิดค้นโดยคนจากสยามประเทศ แต่ศาสตร์แห่งอาวุธทั้ง 8 ไม่มีพรมแดนของการเรียนรู้ ไม่ว่าจะในแง่ของอายุ, เพศ หรือเชื้อชาติ
รวมถึง โจแอน คัลเดอร์วูด หญิงจากเมืองเออร์วิน ประเทศสกอตแลนด์ ที่ตกหลุมรักกีฬานี้ หลังจากฉลองวันเกิดของเธอไปเพียง 13 ครั้ง นับแต่นั้นเป็นต้นมา มวยไทยกลายเป็นชีวิต และความรักของเธอ
โจแอนใช้ชีวิตหลังจากอายุ 13 ปี ไปกับการเดินล่าฝันพร้อมกับมวยไทย ซึ่งพาเธอไปไกลจนถึงขั้นเป็นนักสู้ MMA ระดับแถวหน้าบนสังเวียน UFC
จากวันแรกที่ตกหลุมรักในมวยไทย ชีวิตของเธอต้องเจอกับการต่อสู้มากมาย ทั้งใน และนอกสังเวียน ที่ทำให้เธอเติบโตเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งทั้งร่างกาย และจิตใจ
มวยไทยคือชีวิต
เรื่องราวของ โจแอน คัลเดอร์วูด กับ มวยไทย เป็นเหมือนพรหมลิขิตที่ถูกขีดเขียนออกมาจากนิยายสักเล่ม เพราะอันที่จริงเธอไม่เคยมีความคิดที่จะเรียนมวยไทย แต่เป็นน้องชายของเธอที่อยากจะฝึกฝนศาสตร์ต่อสู้จากแดนไกล
อย่างไรก็ตาม น้องชายของโจแอน ไม่ได้อยากเรียนมวยไทยด้วยใจจริง แต่เป็นข้ออ้างในการออกจากบ้านไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน และไม่เคยไปเข้าเรียนแม้แต่คลาสเดียว
ทำให้โจแอนในวัย 13 ปี ต้องทำหน้าพี่สาวที่แสนดี คอยคุมน้องตัวแสบเพื่อให้มั่นใจว่า เข้าไปฝึกวิชามวยไทยจริง ๆ แต่กลายเป็นตัวเธอเองที่เมื่อได้เห็นวิชามวยไทยเป็นครั้งแรก กลับตกหลุมรักแบบโงหัวไม่ขึ้น
Photo : badmofo_jojo | Instagram
"ฉันไม่สามารถหยุดคิดถึงมวยไทยได้เลย มวยไทยกลายเป็นสิ่งเดียวที่ฉันสนใจ และรู้เลยว่า นี่คือสิ่งเดียวที่อยากจะทำ"
"ฉันเริ่มต้นด้วยการฝึก 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ยิ่งฝึกยิ่งตกหลุมรัก เพราะมวยไทยมีเสน่ห์หลายอย่างอยู่ในตัว"
"อย่างแรกคือ มวยไทยคือศาสตร์ที่มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถใช้อวัยวะหลายส่วนในร่างกายในการต่อสู้ ทั้ง ออกหมัด, ฟันศอก หรือ ลูกเตะ และต้องผสมผสานการใช้อาวุธต่าง ๆ ให้เข้ากันอย่างลงตัว ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย"
"อีกแง่หนึ่ง มวยไทยพาฉันออกจากหลายอย่าง ที่มารบกวนความคิด และจิตใจ สังคมสกอตแลนด์มีความเครียดสูงนะ แต่ฉันรู้สึกผ่อนคลาย และใจเย็นทุกครั้ง ที่ได้ฝึกมวยไทย"
"หลังจากที่ฉันมีใบขับขี่ ฉันขับรถไปฝึกมวยไทยแทบทุกวัน ตั้งใจซ้อมให้มาก ซ้อมให้หนักที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งอายุ 18 จึงเริ่มชกมวยไทยอาชีพ นับตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ ไม่มีวันไหนที่ฉันไม่ซ้อมมวยไทย เพราะนี่คือสิ่งที่ฉันรัก"
Photo : badmofo_jojo | Instagram
โจแอน ยอมเสี่ยงกับเส้นทางในฐานะนักมวยไทย แม้ไม่ใช่อาชีพยอดนิยม และทำเงินได้มากนักในสหราชอาณาจักร เธอละทิ้งหน้าที่การงานของเธอ และเดินทางมายังประเทศไทยหลายครั้ง เพื่อเข้าใจถึงรากเหง้าในสิ่งที่เธอหลงไหล รวมถึงขึ้นชกมวยไทยบนแผ่นดินขวานทอง
อย่างไรก็ตาม ด้วยความเป็นผู้หญิง ทำให้หลายคนไม่เข้าใจเหตุผลที่เธอเลือกมาเป็นนักสู้บนสังเวียน บวกกับบุคลิกที่ไม่ได้เป็นคนก้าวร้าว มีความถ่อมตนอยู่ในตัว ผสมกับน้ำเสียงแสนหวาน ยิ่งทำให้เธอถูกตั้งคำถามว่าจะไปได้ไกลสักแค่ไหน กับการเดินทางในฐานะนักสู้
"ฉันได้ยินคนพูดถึงเรื่องบุคลิกที่แตกต่างของฉันทุกวัน จนชินไปแล้ว แต่ฉันพอใจ และภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นนะ และพิสูจน์ให้เห็นมาแล้วหลายครั้ง ว่าพวกเขาคิดผิด"
ปรับตัวกับสังเวียนใหม่
โจแอน เริ่มต้นเส้นทางในฐานะนักสู้ ควบคู่ระหว่าง มวยไทย และ คิกบ็อกซิ่ง สามารถคว้าเข็มขัดแชมป์มาครองได้หลายเส้น จากการต่อสู้ทั้งสองประเภท รวมถึงเคยถูกจัดอันดับให้เป็นนักมวยไทยหญิงอันดับ 2 จากการจัดลำดับของสมาพันธ์มวยไทยอาชีพโลก
Photo : badmofo_jojo | Instagram
แม้ว่าหญิงแกร่งจากสกอตแลนด์ จะไปได้สวยกับเส้นทางนักมวยไทย และคิกบ็อกซิ่ง เคยพบกับความพ่ายแพ้จากการขึ้นชกทั้ง 2 ศาสตร์ เพียงแค่ 2 ไฟต์เท่านั้น แต่เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง เธอต้องพบเจอกับทางตัน เมื่อวงการนี้ ไม่มีทางให้เธอได้เดินต่อ
อย่างไรก็ตาม ความสามารถที่โดดเด่นของเธอ ทำให้ได้รับการชักชวนให้ลองเปลี่ยนสาย หันมาสู้บนสังเวียนกรงเหล็ก MMA และโจแอนตัดสินใจตอบรับความท้าทายนี้ เพราะไม่เคยมีผู้หญิงชาวสกอตแลนด์คนไหน เคยต่อสู้ในฐานะนักกีฬา MMA อาชีพมาก่อน
โจแอน ออกสตาร์ทกับการเป็นนักรบในกรงเหล็กได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยการชนะ 8 ไฟต์แรกของตัวเองติดต่อกัน ไม่รู้จักกับคำว่าพ่ายแพ้ และใช้เวลาไม่ถึง 3 ปี เพื่อได้เป็นสมาชิกของ UFC ขึ้นชกในรายการใหญ่อย่างเต็มตัว
แต่ใครจะรู้ว่า การที่เธอจะประสบความสำเร็จในระยะแรกเริ่มไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเธอไม่ได้ต่อสู้ในฐานะนักมวยไทย ซึ่งเป็นอาชีพในฝันของเธออีกต่อไป แต่โจแอนต้องต่อสู้ในกรงเหล็ก เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แตกต่างออกไปจากที่เคยเจอมาตลอดทั้งชีวิต
Photo : fansided.com
"มันไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะต่อสู้บนเวที MMA เพราะฉันถนัดมวยไทย แต่นักกีฬา MMA ส่วนใหญ่ มีพื้นฐานมาจากมวยปล้ำ พวกเขาจึงพยายามที่จะต่อสู้บนพื้นมากกว่า ซึ่งเป็นงานที่โคตรยากสำหรับฉัน"
"แต่ฉันก็เข้าใจ เพราะที่นี่ไม่ใช่สังเวียนมวยไทย การต่อสู้แตกต่างออกไป เรื่องนี้คอยเตือนฉันตลอดเวลา ทำให้ฉันซ้อมหนักมากขึ้น ฝึกวิชายิวยิตสู ฝึกการจับทุ่ม จนสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง และกล้าที่จะสู้บนสังเวียน MMA"
"ฉันยอมรับว่าฉันถนัดการต่อสู้แบบยืนมากกว่า แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดขึ้น แต่มันขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวของเรา ว่าจะปรับตัวกับการชกในแต่ละไฟต์อย่างไร"
"สิ่งที่ฉันพยายามทำ คือการใช้วิชามวยไทยของตัวเองเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้ เปลี่ยนให้เป็นการโจมตีที่อันตรายที่สุดบนสังเวียน MMA"
Photo : www.bbc.co.uk
โจแอน ทำผลงานได้ดีมาโดยตลอด กับการเป็นนักสู้ในกรงเหล็ก บ่อยครั้งที่เธอชนะการต่อสู้ด้วยการน็อกเอาต์ ผ่านศิลปะแม่ไม้มวยไทยที่เธอหลงไหล และยังสามารถแสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่แค่วิชาการเตะเท่านั้น ที่สามารถล้มคู่ต่อสู้ได้ เพราะเธอเคยใช้ท่า ไทรแองเกิล อาร์มบาร์ ทำให้ คาลินดรา ฟาเรีย ยอมแพ้บนสังเวียนของ UFC มาแล้ว
ความยากกับการเป็นนักชก MMA ของ โจแอน ไม่ได้มีแค่เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ใหม่เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการที่เธอต้องขยับน้ำหนักไปมา ระหว่างรุ่นสตรอว์เวต และ ฟลายเวต ซึ่งไม่ใช่เรื่องกายสำหรับนักมวยไม่ว่าจะประเภทไหน ที่ต้องคอยเพิ่ม และลดขนาดร่างกายของตัวเองตลอดเวลา
Photo : themmacorner.com
"อันที่จริง รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 115 ปอนด์ (สตรอว์เวต) คือรุ่นที่แท้จริงของฉัน เพราะว่าขึ้นชกรุ่นนี้มาเป็น 10 ปี การขยับไปในรุ่น 125 ปอนด์ (ฟลายเวต) ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องซ้อมหนักกว่าเดิม"
"ฉันชอบชกในรุ่น 115 ปอนด์มากกว่า แต่มันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ UFC ต้องการให้ชกในรุ่น 125 ปอนด์มากกว่า และฉันยอมรับในความเสี่ยง เลือกรับความท้าทายตรงนี้เอาไว้"
"ฉันคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูก เพราะการขยับรุ่นทำให้ฉันเจอกับความยากลำบากที่ต้องผ่านไปให้ได้ และทำให้ฉันแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ตอนนี้ฉันภูมิใจที่จะเรียกตัวเองว่านักสู้ในรุ่น 125 ปอนด์"
การต่อสู้ที่ยังไม่รู้ผล
โจแอน ทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง แม้จะพบกับอุปสรรคเป็นความพ่ายแพ้บ้าง แต่สุดท้ายโอกาสที่เธอรอคอยทั้งชีวิตก็มาถึง นั่นคือสิทธิ์ที่จะได้ชิงแชมป์โลกหญิงรุ่นฟลายเวตของ UFC กับ วาเลนตินา เชฟเชนโก นักสู้สาวจากคีร์กิซสถาน ซึ่งมาจากสายมวยไทยเช่นเดียวกับ โจแอน
แต่สุดท้าย ไฟต์ในฝันของเธอ กลับไม่เคยเกิดขึ้นจริง
Photo : www.ufc.com
"ฉันหวังถึงโอกาสที่จะได้ไปชิงแชมป์โลกมาตลอด พยายามผลักดันให้เกิดขึ้นจริง จนกระทั่งได้มีโอกาสชกกับ วาเลนตินา เชฟเชนโก แต่สุดท้ายไฟต์ถูกเลื่อนออกไป (เพราะเชฟเชนโกได้รับบาดเจ็บที่ขา ไม่สามารถขึ้นชกได้) ฉันพยายามผลักดันให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ"
จากที่จะได้ชิงแชมป์ โจแอน ต้องมาชกไฟต์ขัดตาทัพกับ เจนนิเฟอร์ ไมอา ซึ่งกลายเป็นฝันร้ายของเธอ เพราะพ่ายแพ้ให้กับนักสู้ชาวบราซิล ด้วยการยอมแพ้จากท่าอาร์มบาร์ ตั้งแต่ยกแรกของการแข่งขัน
โจแอน สูญเสียโอกาสที่จะไปชิงแชมป์ กลายเป็น ไมอา ที่ก้าวขึ้นไปชิงแชมป์กับ วาเลนตินา เชฟเชนโก ความตั้งใจตลอดหลายปีที่ผ่านมา ของหญิงแกร่งชาวสกอตสูญสลายไปภายในเวลาอันสั้น แต่นั่นไม่ทำให้เธอยกธงขาวยอมแพ้ต่อความฝัน
Photo : www.mmafighting.com
"มีกระบวนการมากมายกว่าที่จะไปถึงจุดนั้น (โอกาสในการชิงแชมป์โลก) ฉันพยายามมองในแง่บวก หาแรงจูงใจให้ตัวเอง พยายามสร้างผลงาน เรียกฟอร์มเก่งกลับคืนมา เพื่อไปเป็นผู้ท้าชิงอีกครั้ง ถ้าฉันทำได้ดี คงไม่ยากที่จะกลับไปยืนจุดนั้นอีกครั้ง"
โจแอน มีโอกาสได้แก้ตัวอีกครั้ง ในไฟต์ที่เธอต้องสู้กับ เจสสิกา อาย ในศึก UFC 257 ในเช้าวันที่ 24 มกราคมที่จะถึงนี้ ซึ่งจะเป็นหนึ่งในการต่อสู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ ที่จะกำหนดว่า เส้นทางสู่การเป็นแชมป์โลกของ โจแอน คัลเดอร์วูด จะถูกเปิดขึ้นอีกครั้งหรือไม่
"มันจะเป็นไฟต์ที่ยอดเยี่ยม และฉันจะทำทุกทาง ทุกวิถีทางที่ทำได้ เพื่อให้ได้ชัยชนะมาครอง ฉันคิดว่าตัวเองเหนือกว่าในไฟต์นี้ ตรงที่วิชามวยไทยของฉัน และหวังว่าจะดึง เจสสิกา เข้ามาสู่เกมที่วางเอาไว้ นั่นคือการใช้มวยไทย ที่ฉันถนัด และเก่งกว่า"
"ถ้าฉันชนะไฟต์นี้ โอกาสที่ฉันจะกลับไปเป็นผู้ท้าชิง ก็คงมีมากขึ้น"
Photo : www.mmafighting.com
หาก โจแอน ชนะการต่อสู้ครั้งนี้ รางวัลที่เธอเฝ้ารอมาตลอดหลายปีจะขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง แต่หากพ่ายแพ้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกลับมา
ไฟต์ในวันที่ 24 มกราคมนี้ จึงเป็นที่น่าติดตาม สำหรับสาวก MMA ทุกคน แต่ไม่ว่าจะแพ้ หรือชนะ นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของผู้หญิงที่ชื่อ โจแอน คัลเดอร์วูด อย่างแน่นอน
เพราะตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เธอแสดงให้เห็นแล้วว่า มวยไทย รวมถึงการได้ต่อสู้บนสังเวียน คือชีวิต และสิ่งที่เธอรักมาที่สุด ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จ หรือ ล้มเหลว เธอจะสู้สุดใจ ตราบใดที่แขนของเธอยังสามารถฟันศอก และขาของเธอเตะน็อกคู่ต่อสู้ลงได้