หมอไม่ทน : สงคราม "หมอเทวดา" กับ "เป๊ป กวาร์ดิโอลา" ที่ไม่มีใครยอมแพ้
หน้าที่ของหมอคือการรักษาอาการเจ็บป่วย หรือบาดเจ็บของคนไข้ นอกจากนี้เหล่านักรบชุดกาวน์ยังต้องคอยวางแผนและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อให้คนไข้ของพวกเขาไม่ต้องกลับมาเผชิญการบาดเจ็บแบบซ้ำ ๆ เดิม ๆ อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการดังกล่าวไม่มีวิธีและทางลัด มันต้องเกิดจากการสั่งสม สร้างภูมิต้านทานอาการนั้น ๆ ในทุกเมื่อเชื่อวัน และยังต้องอาศัยความพยายามเป็นอย่างมาก และถ้าหากเขาทำให้คนไข้หายเจ็บป่วยได้ นั่นคือผลงานที่เยี่ยมที่สุดในฐานะแพทย์
และนี่คือเรื่องราวของ "หมอเทวดา" ดร. ฮันส์-วิลเฮม มุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท แห่ง บาเยิร์น มิวนิค ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จมากว่า 4 ทศวรรษของสโมสร จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนมาปรามาส และดูหมิ่นการทำงานของเขา เมื่อนั้นสงครามระหว่าง "หมอเทวดา" กับ "โค้ชเทวดา" ก็เริ่มขึ้น
ติดตามกับ Main Stand ที่นี่
ฮันส์-วิลเฮม มุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท คือใคร ?
ฮันส์-วิลเฮม มุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท (Hans-Wilhelm Müller-Wohlfahrt) เป็นที่รู้จักกันในหมู่นักกีฬาอย่างแพร่หลาย ฉายาของเขาคือ "หมอเทวดา" ซึ่งมีที่มาจากความเชี่ยวชาญด้านด้านศัลยกรรมกระดูกและกล้ามเนื้อ ที่มีวิธีการรักษาแบบแปลกใหม่และไม่เหมือนใคร จนเคยโดนต่อต้านมาแล้วในวันที่เขาไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนทุกวันนี้
Photo : Bild
The Mirror สื่อจากอังกฤษบอกเล่าวิธีการรักษาของหมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท ที่อ้างอิงจากคนไข้เก่า ๆ ของเขาว่า เป็นวิธีที่ค่อนข้างจะขัดแย้งกับสิ่งที่หมอส่วนใหญ่ทำ เขาเคยฉีดสารที่ชื่อว่า Hyalart ที่สกัดมาจากอกไก่เพื่อรักษาคนไข้ที่มีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าเรื้อรัง โดยจุดประสงค์ในการฉีดนั้น เพื่อให้ลดอาการความเจ็บปวดที่รบกวน ช่วยเพิ่มน้ำหล่อลื่นบริเวณที่กล้ามเนื้อและกระดูกที่ได้รับผลกระทบ ... นอกจากสารสกัดจากอกไก่ที่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีแล้ว หมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท ยังเคยมีประวัติฉีดยาที่สกัดมาจากน้ำผึ้งให้คนไข้ของเขาอีกด้วย
วิทยาการดังกล่าวเรียกว่า โฮมิโอพาธีย์ (Homeopathic Medicine) โดยศาสตร์นี้เป็นแพทย์แผนทางเลือกที่เกิดขึ้นในเยอรมันเมื่อเกือบ 200 ปีก่อน และถูกคิดค้นโดยนายแพทย์ คริสเตียน ฮันเนมันน์ หลักการรักษาแบบ โฮมิโอพาธีย์ คือการกระตุ้นร่างกายของมนุษย์อย่างเหมาะสมตามวิธีธรรมชาติ หากทำได้ถูกต้อง จะช่วยให้ร่างกายของคนไข้สามารถเยียวยาอาการและสมรรถภาพของตัวเองได้
วิธีการของหมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท โดน ทราวิส ไทการ์ต (Travis Tygart) ห้วหน้าหน่วยงานต่อต้านการใช้สารต้องห้ามของประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ USADA วิจารณ์ว่า เป็นศาสตร์สายดำ ที่ทดลองกับคนเป็นศพเดินได้เหมือน แฟรงค์เกนสไตน์
Photo : Bangkok Post
"ถ้าหมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท เก่งจริง ทำไมเขาไม่เผยแพร่หรือมีงานวารสารเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำบ้าง สมมติคุณมีวิธีรักษาโรคมะเร็งในมือ นั่นหมายความว่ามีคนอีกมากต้องการความช่วยเหลือจากคุณ คุณจะเก็บมันไว้คนเดียวเพื่อทำเงินหรือหากำไรจากมัน หรืออย่างน้อยคุณก็ควรจะให้หลายคนได้ลองเพื่อหาคำตอบว่ามันส่งผลอย่างไรบ้างกับคนทั่วไป ... งานที่เขาทำมันเหมือนกับหมอผีหรือแม่มดปรุงยา ซึ่งแน่นอนมันคือวัฒนธรรมที่ไม่ถูกต้อง"
แม้จะโดนต่อต้านและตั้งคำถามในแง่ของวิธีการ แต่ผลลัพธ์นั้นออกมาสำเร็จเกินคาด วิธีการรักษาของหมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท ขึ้นชื่อในหมู่การดูแลนักกีฬาอาชีพ ที่ต้องใช้กำลังของกล้ามเนื้อสูง และมีอาการบาดเจ็บสะสมมาเป็นเวลาหลายปี และนั่นทำให้เส้นทางศัลยแพทย์หัวขบถอย่างเขากลายเป็นที่ต้องตาของสโมสรที่ต้องการเปลี่ยนแปลงให้ทันสมัยระดับโลกอย่าง บาเยิร์น มิวนิค
เรื่องมันเริ่มจากช่วงต้นยุค 70s ที่ บาเยิร์น กำลังสั่งสมอำนาจและความสำเร็จในวงการฟุตบอลทั้งในประเทศและระดับยุโรป ยุคนั้นนักเตะของพวกเขานำโดย ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์, แกร์ด มุลเลอร์ และ เซ็ปป์ ไมเออร์ นอกจากนี้ยังมีนักเตะอีกหลายคนที่เป็นขุนพลดีกรีทีมชาติเยอรมันตะวันตก
ฟุตบอลสมัยก่อนนั้นมีข้อเสียอยู่ 1 อย่าง นั่นคือมีการดูแลและปกป้องสุขภาพของเหล่านักกีฬาน้อยเกินไป การเข้าปะทะที่หนักหน่วง การเล่นนอกเกมแบบจะ ๆ หรือแม้กระทั่งการลงเกมแบบไม่มีพักตามคำสั่งของโค้ช เป็นปัจจัยที่ทำให้สมรรถภาพของนักเตะตกลงอย่างรวดเร็วก่อนวัยอันควร บาเยิร์น มิวนิค ไม่ต้องการสิ่งนี้ พวกเขาไม่อยากให้นักเตะของตัวเองเจ็บออด ๆ แอด ๆ เล่น 1 นัดพัก 2 นัด เพราะอาการเรื้อรังอีกต่อไป ดังนั้น "หมอเทวดา" จึงเป็นลิสต์รายชื่อแรกที่ถูกส่งถึง วิลเฮล์ม นอยเด็คเกอร์ ประธานสโมสรในยุคนั้น ว่าต้องการตัวเข้ามา เพื่อทำให้นักเตะของพวกเขา มีขุมพลังที่แข็งแกร่งกว่าคู่แข่งทีมอื่น ๆ
Photo : Spiegel
"เราต้องการหมอที่ทำงานเหมือนคุณ ... คำถามคือ คุณจะทำงานกับเราหรือไม่ ?" นอยเด็คเกอร์ ว่าอย่างฉะฉานในสไตล์ผู้นำองค์กร หลังจากที่เขาว่าจบ หมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท ก็เดินเข้าไปจับมือ เพื่อแสดงออกว่าเขาพร้อมจะร่วมมือกับสโมสรแห่งนี้
"เอาล่ะหมอ งั้นเรามาเริ่มกันเลย ... ฤดูหนาวนี้เรามีงานต้องทำ เราจะไม่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์" ดีตมาร์ คราเมอร์ กุนซือของทีมในเวลานั้นพูด และเอามือมาแตะไหล่ของเขา เป็นสัญญาณว่าสมรรถภาพทางร่างกายของนักเตะ บาเยิร์น มิวนิค จะเปลี่ยนไปตลอดกาล
เชื่อหมอ หมอเรียนมา
การเข้ามาของหมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท ถูกใจนักเตะในทีมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักเตะคนสำคัญ อย่าง เบ็คเคนบาวเออร์ ที่ชื่นชอบการดูแลและวิธีการรักษาร่างกายในแบบฉบับของหมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ทแบบสุด ๆ โดยฝั่งของหมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท นั้นเคยเล่าว่า เขาเป็นเหมือนกับหมอกระดูกและกล้ามเนื้อส่วนตัวของ เบ็คเคนบาวเออร์ เลยก็ว่าได้ ครั้งหนึ่งเขาเคยพักร้อนกับครอบครัว แต่ ไกเซอร์ ฟรานซ์ ยังโทรตามให้เขามารักษาอาการปวดหลัง จนการพักร้อนของเขาถึงกับล่มก็เคยมาแล้ว
สิ่งที่หมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท ต้องการ คือให้ทุกคนภายในทีมเชื่อมั่นการทำงานและให้สิทธิ์ขาดกับเขาโดยสมบูรณ์แบบ หากเขาบอกว่านักเตะคนไหนเจ็บจริง ลงเล่นไม่ได้ นั่นหมายความว่าโค้ชจะต้องไม่เถียงเขา ลงไม่ได้คือลงไม่ได้ เพราะนั่นคือวิธีการที่เขาวิเคราะห์มาแล้วว่ามันดีที่สุดต่อนักกีฬาภายในทีม
Photo : FOZ
"ผมได้รับการหนุนหลังที่ดีจากผู้บริหารทุกคน อูลี่ เฮอเนส คือคนที่เข้ามาดูการทำงานและสั่งให้ผมตรวจอาการนักเตะในทีมแบบเชิงรุกตลอด แม้แต่ในยุคของ นอยเด็คเกอร์ เขาก็อยู่ข้างผมเสมอยามอยู่ในห้องแต่งตัว สำหรับผม ทุกอย่างต้องชัดเจน ถ้าบอกว่านักเตะมีปัญหา นั่นก็แสดงว่าพวกเขามีปัญหาจริง ๆ" หมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท กล่าว
"ผมเคยสั่งห้าม กิวลา โลแรนท์ และ แบรนโก้ โอบลัก (อดีตนักเตะของ บาเยิร์น ในปลายยุค 70s) ลงเล่น แต่พวกเขากลับถูกปฐมพยาบาลและส่งลงไปวิ่งในสนาม วันนั้นเป็นวันที่ผมคุยกับ นอยเด็คเกอร์ และมีการประชุมทันทีจนเป็นที่มาของกฎ 'เราจะต้องทำตามที่หมอบอก' (We do what the doc says.)"
หากจะถามว่าการทำงานของ หมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท ประสบความสำเร็จแค่ไหน เราคงดูได้จากการผงาดขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของวงการ คว้าความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในยุโรป และที่แน่ ๆ นักเตะในทีมที่เคยบาดเจ็บ ก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากเขา อาทิ อาร์เยน ร็อบเบน หรือแม้แต่ นักเตะอย่าง บาสเตียน ชไวสไตน์เกอร์ และคนอื่น ๆ อีกหลายราย ที่พอย้ายออกจากทีมบาเยิร์น พวกเขาเหล่านี้ก็กลายเป็นนักเตะที่มีปัญหาบาดเจ็บเรื้อรังไปโดยปริยาย ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกันหมด เมื่อนักเตะสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง ผลงานของทีมก็ย่อมจะดีตามเป็นเงาตามตัว
นอกจากงานในสโมสรแล้ว วิธีทางการแพทย์ในแบบฉบับของ หมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท ยังดังไกลไปทั่วโลก ไม่ว่าใครจะมองวิธีการรักษาของเขาแบบไหน แต่สำหรับคนเจ็บที่หมดหวังในการรักษา ทุกคนพร้อมจะเสี่ยงกับการทำงานของหมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ทอย่างเต็มใจ ไม่ใช่แค่นักเตะในสโมสรบาเยิร์นเท่านั้น ไมเคิล โอเว่น, โรนัลโด นาซาริโอ (R9) และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก็เคยมารักษากับเขา นอกจากนั้นยังมีคนนอกวงการที่เป็นคนดังอีกมากมาย ซึ่งใช้บริการของ "หมอเทวดา" และได้รับการรักษาที่ประทับใจกลับไปเสมอ
Photo : Widara
"ผมไม่มีทางจะขึ้นมาเวทีระดับโลกได้ถ้าไม่ได้พบกับหมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท ก้นกบและหลังของผมกลับมาดีเพราะเขาอย่างแท้จริง ตั้งแต่นั้นมาแผ่นหลังของผมพร้อมจะตีตราด้วยคำว่า Made In Germany อย่างเต็มใจ" พอล เดวิด ฮิวสัน หรือ โบโน่ นักร้องนำวงร็อคสัญชาติไอริชอย่าง U2 กล่าวเช่นนั้น
นอกจาก โบโน่ แล้ว ยังมีคนในวงการมวยอย่าง วลาดิเมียร์ คลิทช์โก แชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวตชาวยูเครน และรวมถึงมนุษย์ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกอย่าง ยูเซน โบลท์ ต่างก็รักษาอาการบาดเจ็บที่หลังกับหมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท ทั้งนั้น ... ทุกวงการ ใครอยากจะหายจากอาการเหล่านี้ หมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท ช่วยได้ นั่นเป็นที่มาของ "หมอเทวดา" อย่างที่ใครต่อใครหลายคนเรียกเขาจนกระทั่งทุกวันนี้
หมอไม่ทน
การทำงานระหว่างหมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท กับสโมสร บาเยิร์น มิวนิค ดำเนินไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่มาเกือบ 40 ปี จนกระทั่งวันหนึ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปจากการเข้ามาของ "โค้ชเทวดา" อย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา
นี่คือที่มาของคำว่า "เสือ 2 ตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้" อย่างแท้จริง งานของหมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท และคำตัดสินของเขาถือเป็นสิ่งเด็ดขาด ขณะที่โค้ชอย่างเป๊ปเอง ก็มีการทำงานในแบบเดียวกัน วาจาของเขาต้องศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าพระร่วง หากเขาตัดสินใจอย่างไร ทีมก็ต้องทำตาม ... นั่นคือสิ่งที่ เป๊ป ได้ขอสิทธิ์นั้นตั้งแต่วันเซ็นสัญญากับสโมสรแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ต้องมีสักคนที่ยอมถอย
Photo : Spiegel
ขั้นตอนการทำงานของ หมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท กับเฮดโค้ชคนก่อน ๆ คือ เขาจะประเมินสุขภาพนักเตะในทีม และหาคำตอบว่านักเตะคนไหนมีปัญหาส่วนใดของร่างกายบ้าง จากนั้นเขาจะทำชาร์ตสถิติเพื่อรวบรวมรายชื่อนักเตะที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บที่เสี่ยงต่อการลงเล่น และจำเป็นจะต้องเข้าโปรแกรมการฟื้นฟูตามที่เขาออกแบบ และใช้กับสโมสรแห่งนี้มายาวนาน แต่เมื่อเข้าสู่ยุคของ กวาร์ดิโอลา สิ่งที่กุนซือชาวกาตาลันเชื่อ คือคนละแบบกับที่ หมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท เชื่อ
ไม่มีการบันทึกและบอกเล่าการทำงานที่ชัดเจนของทีมแพทย์ บาร์เซโลนา ในสมัยที่ เป๊ป พาทีม "คว้าทุกแชมป์" ว่ามีวิธีการดูและสุขภาพร่างกายนักเตะอย่างไร ทว่าสิ่งแรก ๆ ที่ เป๊ป ทำเมื่อนั่งเก้าอี้เทรนเนอร์ทีมเสือใต้ คือ โละแผนงานของหมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท ทิ้ง และใช้วิธีการที่เขาเคยนำทีมครองโลกมาแล้ว เข้ามาใช้ในสโมสร และนั่นกลายเป็นการปะทะกันของ 2 เสือ ที่ต้องทำงานร่วมกัน
จะบอกว่า เป๊ป ผิดก็ไม่เชิงนัก เพราะตอนนั้น บาเยิร์น ของ เป๊ป มีปัญหาเรื่องนักเตะบาดเจ็บเยอะ โดยเฉพาะนักเตะที่ เป๊ป หนีบมาด้วยอย่าง ติอาโก้ อัลคันทารา ที่เจ็บจนแทบไม่ได้ใช้งาน เพราะรักษาไม่หายเสียที จน เป๊ป ต้องการพา ติอาโก้ กลับไปรักษากับหมอที่บาร์เซโลน่า ชื่อว่า ดร. คูกัท ซึ่งแน่นอนว่าการทำแบบนี้เปรียบเสมือนการหักหน้า หมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท เข้าอย่างจัง
Photo : Football365
แน่นอน หมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท ไม่ยอม เขาทำงานแบบนี้มา 38 ปี ไม่มีใครเคยหักหน้าเขาแบบนี้ เขาจึงปรึกษาประธานสโมสร จนสโมสรเชื่อในการทำงานที่มีผลงานประจักษ์ของหมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท และ เบรกการนำ ติอาโก้ กลับไป บาร์เซโลน่า เพื่อรักษาให้หายขาดตามที่ เป๊ป บอก
เป๊ป ยอมแบบเสียไม่ได้เพราะตนเอง คือ คนมาใหม่ในทีแรก ทว่าหลังจากนั้น ติอาโก้ ต้องเจ็บที่เดิมซ้ำ ๆ อีก 3 รอบ และต้องผ่าตัด เขาจึงไฟต์กับบอร์ดบริหารและเอา ติอาโก้ กลับไปรักษาที่สเปนได้ในท้ายที่สุด... แน่นอนว่า นี่ คือการหักหน้าหนที่สอง และพวกเขาก็ร่วมงานกันไม่ได้อีกต่อไป
หลังจากนั้น ข่าวไม่ถูกกันของทั้งคู่ก็ปรากฏออกมาอีกมากมาย อาทิ เป๊ป ขอให้หมอสแตนด์บายทำการอยู่ที่สโมสรตลอดเวลา ซึ่งหมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ทนั้น มีคลีนิกของตัวเองที่มีคนดังจากทั่วโลกมารักษา จึงทำตามคำร้องขอไม่ได้ และเลือกแก้ปัญหาด้วยการส่งทีมงานของตัวเอง (ลูกชาย) เข้ามาทำงานแทน ซึ่งนั่นก็ยังเป็นสิ่งที่ เป๊ป คิดว่ามันไม่แฟร์กับสโมสรอยู่ดี
Photo : Football365
ความเขม่นนั้นเกิดขึ้นชัดขึ้นทุกวัน จนกระทั่งมีข่าวลือว่า เป๊ป กวาร์ดิโอลา มีการยื่นคำขาดกับบอร์ดบริหารว่า "ถ้าเลือกหมอ เขาจะลาออก" … เรียกง่าย ๆ ว่าเส้นทางนี้มีเสือได้แค่ตัวเดียวเท่านั้น ทั้งคู่อยู่กันแบบตามหน้าที่จนกระทั่งฟางเส้นสุดท้ายมาถึงจนได้
ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2014-15 บาเยิร์น ลงสนามกับ เอฟซี ปอร์โต้ และแพ้ไป 1-3 ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดแรก ในเกมนั้น เป๊ป เชื่อว่าทีมงานแพทย์ทำงานได้ชักช้า และไม่มีประสิทธิภาพ จนเขาออกมาตำหนิทีมแพทย์ของสโมสรต่อหน้าสื่อ พร้อมทั้งอีก 10 วันให้หลังในเกมกับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน หมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท ก็โดนเป๊ปต่อว่าและปรบมือประชดใส่หน้า นั่นคือฟางเส้นสุดท้าย
1 สัปดาห์หลังจากนั้น ทีมงานของ หมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท ลาออกทั้งทีม และมีจดหมายน้อยทิ้งท้ายว่า "ไม่ได้ลาออกเพราะเป็นศัตรูกับ กวาร์ดิโอลา" ซึ่งใครก็รู้ว่า ... มันน่าจะเป็นแบบนั้น
สุดท้าย หมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท ก็เก็บทรงไม่อยู่ ออกมาเผยกับสื่อจนได้ว่า เขาและเป๊ป มีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันเกินไป และตัวของเขาไม่ได้รับความเคารพในฐานะของแพทย์ จนเป็นเหตุผลที่เขาต้องลาออกจากตำแหน่งที่ดำรงมาอย่างยาวนาน
"ภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา บรรยากาศที่บาเยิร์นเปลี่ยนแปลงไป และมันเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขาไม่เชื่อใจในตัวผมและทีมงานของผม หากมองด้านเดียว เขาอาจไม่ได้สนใจเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเลย แต่ในทางตรงกันข้าม เขาต้องการให้เราสร้างปาฏิหารย์ให้กับเขา" หมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท เผย
"กวาร์ดิโอลา มักสร้างภาพผ่านสื่อว่าเป็นเป็นโค้ชผู้คิดริเริ่มไม่ก็โค้ชนักปฏิวัติ แต่ที่บาเยิร์น เขาทำให้ทุกอย่างหมุนย้อนกลับ เขาสั่งถอนแผนการรักษาและโปรแกรมการฟื้นฟูร่างกายของพวกเราออกก่อนจะเริ่มซ้อมฟุตบอล"
Photo : DW
"ผมไม่สามารถเข้าถึงวิธีคิดและการทำงานของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้เลย แม้กระทั่งรายงานนักเตะบาดเจ็บของผมเขายังไม่สนใจเลย ยิ่งตอนที่ผมต้องการจะคุยกับเขา เขาจะเมินเฉยทันทีและเดินหนีออกไปเลย"
"ผมคิดว่า เป๊ป กวาร์ดิโอลา มองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง เขาชอบใช้อำนาจชักจูงคนอื่นแบบผิด ๆ เขาดูเหมือนจะอยู่มีความกลัวอยู่ในใจตลอดมา ไม่ใช่เรื่องผลแพ้ชนะในเกมฟุตบอล แต่เป็นความกลัวในการสูญเสียอำนาจมากกว่า"
การลาออกในครั้งนั้นเกิดขึ้นจากความผิดใครเราคงไม่กล้าไปตัดสิน เพราะต่างคนต่างก็มีงานต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นหมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท หรือ เป๊ป กวาร์ดิโอลา อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งคู่ต่างก็มีความมั่นใจในตัวเองสูง และมั่นใจในวิธีการของตัวเองเป็นที่ 1 จึงทำให้ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ เป๊ป เชื่อว่าหมอทุ่มเทน้อยเกินไปสำหรับการทำงานในแบบที่เพอร์เฟคชั่นนิสต์อย่างเขาต้องการ
ขณะที่หมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท ก็มองว่าการโดนดูแคลนและตั้งข้อสงสัยในขณะที่ตัวเองทำงานหนักมาตลอดและมีผลงานเห็นเด่นชัด คือสิ่งที่ "หมอไม่ทน" และต้องลาออกเพื่อจบปัญหาทุกอย่างก่อนที่มันจะลุกลามไปมากกว่านี้
เรื่องราวความบาดหมางของทั้งคู่จบลงเมื่อ เป๊ป หมดสัญญา ออกจากทีมไปคุม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2016 และ บาเยิร์น นำเอา จุ๊ปป์ ไฮย์เกส กลับมาคุมทีมแทนในปี 2017 (หลังจาก คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือที่มารับงานแทน เป๊ป ถูกปลด และ วิลลี่ ซาญอล มาคุมขัดตาทัพช่วงหนึ่ง) ซึ่ง ณ เวลานั้น หมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท ก็กลับเข้ามาทำงานกับทีมอีกครั้ง โดยให้เหตุผลว่าบรรยากาศในทีมตอนนี้กลับมาเป็น "ครอบครัว" เหมือนกับที่เขาคุ้นเคยเมื่อครั้งอดีตแล้ว
Photo : Bild
เมื่อ 2 อัจฉริยะแยกทาง หลายสิ่งต่างก็ยืนยันว่าความผิดของพวกเขาไม่ได้ผิดกันทั้งคู่ เพียงแค่ทำงานด้วยกันไม่ได้เท่านั้นเอง หมอมุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ท กลับมาทำงานกระทั่งเกษียณตัวเองจากทีมเมื่อเดือนมิถุนายน 2020 ก่อนทีมเสือใต้จะคว้า 3 แชมป์หนสอง (หนแรกทำได้เมื่อปี 2013) ขณะที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ก็ทำให้ แมนฯ ซิตี้ เป็นทีมที่ดีที่สุดในเกาะอังกฤษในช่วง 5 ปีหลังสุด
พวกเขาคืออัจฉริยะในสายงานของตนเอง และราคาในการจ้างอัจฉริยะทำงานนั้นแพงเสมอ นอกจากเรื่องของตัวเงินแล้ว สิทธิ์ขาดและอำนาจก็ต้องมอบให้พวกเขาอย่างเต็มที่เช่นกัน
จะวลี "เลี้ยงเสือต้องเลี้ยงให้อิ่ม" หรือแม้กระทั่ง "เสือ 2 ตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้" ... ไม่ว่าวลีไหนก็ใช้ได้กับเรื่องนี้ทั้งสิ้น