"สุดาพร สีสอนดี" : ชีวิตนักชกล้มลุกสู่ความฝันล่าเหรียญรางวัลแรกให้วงการมวยสมัครเล่นหญิงไทย

"สุดาพร สีสอนดี" : ชีวิตนักชกล้มลุกสู่ความฝันล่าเหรียญรางวัลแรกให้วงการมวยสมัครเล่นหญิงไทย

"สุดาพร สีสอนดี" : ชีวิตนักชกล้มลุกสู่ความฝันล่าเหรียญรางวัลแรกให้วงการมวยสมัครเล่นหญิงไทย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทุกครั้งที่การแข่งขัน โอลิมปิก เกมส์ มาถึง กีฬามวยสากลสมัครเล่นคือความคาดหวังเหรียญรางวัลจากคนไทยทุกครั้งไป สำเร็จหรือล้มเหลวเป็นเรื่องที่ผลการแข่งขันจะต้องตัดสิน

ถึงบางครั้งจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ 4 ปีต่อมา คนไทยยังคงคาดหวังเหรียญจากนักชกแดนสยามเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

โอลิมปิก เกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มวยสากลยังคงเป็นกีฬาที่แฟนชาวไทยคอยให้การติดตามเพื่อลุ้นเหรียญรางวัลกลับมา ซึ่งครั้งนี้ไม่ได้มีแค่นักมวยชายเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงนักชกเพศหญิงที่มีโอกาสจะคว้าเหรียญกลับมาสร้างความสุขให้กับคนไทยเช่นกัน

ซีรีส์ "กว่าจะได้ไปโตเกียว" ครั้งนี้ บอกเล่าเรื่องราวของ สุดาพร สีสอนดี นักชกหญิงชาวไทยที่เป็นความหวังของการคว้าเหรียญครั้งแรกจากมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกให้กับวงการมวยหญิง ด้วยประสบการณ์นักสู้ที่เธอต้องฝ่าฟันมาตลอดชีวิต 29 ปีที่ผ่านมา

สุดาพร สีสอนดี เกิดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2534 ที่อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี ครอบครัวของเธอเปิดค่ายมวยไทยเพื่อฝึกสอนเยาวชนที่บ้าน ด้วยเหตุนี้ กีฬากำปั้นจึงอยู่ใกล้ตัวหญิงคนนี้มาตลอด

ตามประสาเด็กทั่วไป สุดาพรเล่นซุกซนผ่านการชกกระสอบทราย ฝึกซ้อมมวยตามเด็กในหมู่บ้าน แต่เธอไม่เคยมีความฝันที่อยากจะเป็นนักมวยจริงจัง จนกระทั่งวันหนึ่งตอนอายุได้ 11 ปี มีมวยเด็กหญิงเดินทางมาชกใกล้บ้าน แต่ไม่สามารถหาคู่ชกได้

คุณพ่อของสุดาพรจึกชักชวนให้เธอไปลองขึ้นไปหาประสบการณ์ในฐานะนักสู้บนสังเวียนครั้งแรก ซึ่งเธอตัดสินใจตอบตกลง ไม่ใช่ว่าเธออยากจะเป็นนักมวย แต่เธออยากช่วยครอบครัวหาเงิน 

1

สุดาพรต้องพบกับบทเรียนแรงของการเป็นนักมวย นั่นคือความเจ็บปวดจากการชกในแต่ละครั้ง ถึงเธอจะได้รับชัยชนะมาบ้าง แต่หลังต่อยไปเพียงไม่กี่ไฟต์ เธอก็ถอดใจอยากจะแขวนนวม เพราะความเจ็บปวดจากกำปั้น 

แม้พ่อของเธอไม่ขัดหากลูกสาวสุดที่รักจะเลิกเล่น แต่ด้วยฐานะซึ่งไม่สู้ดีของทางบ้าน ทำให้เธอตัดสินใจลองนำวิชามวยที่มีสอบเข้าเรียนต่อในโรงเรียนกีฬาจังหวัดขอนแก่น เพื่อเป็นไปเบิกทางในอนาคตและแบ่งเบาภาระครอบครัว

ในตอนแรกเธอตัดสินใจจะเรียนในศาสตร์ของมวยไทย หากแต่เธอเลือกเบนเข็มมายังมวยสากลสมัครเล่นจากคำแนะนำของคุณครูที่เผยว่า นักมวยสมัครเล่นสามารถมีเส้นทางไปได้ไกลกว่ามวยไทย

ถึงจะใช้เวลาหลายปีในการเรียนรู้การชกมวยสากล แต่เธอสามารถฟันฝ่าเส้นทางเข้าไปติดทีมชาติตั้งแต่อายุแค่ 16 ปี อย่างไรก็ตาม เธอต้องใช้เวลา 2 ปีแรกไปกับการซ้อม และไม่มีโอกาสได้ชกรายการใดเลย ด้วยอายุที่น้อย ยังอ่อนประสบการณ์ รวมถึงมีรุ่นพี่ที่เก่งกว่าเธอขวางหน้าอยู่

ปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งที่ผลักดันสุดาพรมาตลอดคือ ความหวังที่จะหารายได้ช่วยเหลือครอบครัว แต่เมื่อเธอไม่ได้ชก ก็ไม่มีเงินเข้ามา สุดาพรเกือบตัดสินใจที่จะเลิกชกมวยอาชีพ กลับไปต่อยมวยไทยเพื่อเลี้ยงครอบครัว

แต่ความพยายามของเธอมาออกผล ด้วยการมีชื่อติดทีมชาติไทยลุยซีเกมส์ 2011 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเธอคว้าเหรียญทองมาครองได้ทันที

2

ภายในระยะเวลาอันสั้น สุดาพร สีสอนดี กลายเป็นชื่อนักมวยหญิงระดับแถวหน้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่การจะก้าวข้ามขึ้นไปสู่ระดับทวีปคืองานที่ยากกว่า 

เพราะแม้เธอจะได้เหรียญจากซีเกมส์มามากมาย ความสำเร็จจากระดับเอเชียหรือระดับโลกยังไม่มีที่จับต้องได้ จนเกิดเป็นคำที่ว่า "มวยหญิงไทยแพ้บ่อยเกินไปกว่าจะฝากความหวังได้"

กระทั่งการมาของ ฮวน ฟอนตาเนียล ยอดโค้ชชื่อดังชาวคิวบา ผู้ปลุกปั้นมวยสากลสมัครเล่นไทยในยุคทองได้กลับมาปั้นวงการมวยหญิงไทยและเห็นผลสำเร็จอย่างรวดเร็ว สุดาพร สีสอนดี กลายเป็นนักชกระดับเอเชียภายในเวลาไม่กี่เดือน

เธอเข้าชนความสำเร็จด้วยการคว้าเหรียญเงินจากมหกรรมกีฬาเอเชียนเกมส์ จากรุ่นไลท์เวท หรือ 60 กิโลกรัม ในปี 2018 ก่อนจะคว้าเหรียญเงินจากการแข่งขันชิงแชมป์โลกในปีเดียวกัน

น่าเสียดายที่สุดาพรไม่สามารถไปถึงความสำเร็จใหญ่ คือการคว้าเหรียญทองที่หวังไว้ทั้งสองรายการ ซึ่งตัวเธอเองยอมรับว่า ถึงหลายคนจะมองว่าปี 2018 จะเป็นปีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเธอ แต่สำหรับตัวเอง นี่คือปีที่น่าผิดหวังที่สุด เพราะโอกาสที่อยู่ตรงหน้า เธอกลับทำไม่สำเร็จ

3

อย่างไรก็ตาม ด้วยคำสนับสนุนจากคนรอบข้าง ทำให้เธอกลับมาสู้อีกครั้ง ด้วยเป้าหมายที่ใหญ่กว่าเดิม นั่นคือครั้งนี้เธอจะไม่หยุดที่ระดับเอเชีย แต่ต้องประสบความสำเร็จในเวทีระดับโลก 

โอลิมปิก เกมส์ 2020 จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของ สุดาพร สีสอนดี ที่ต้องฝ่าด่านไปเข้าร่วมการแข่งขันรายการนี้ให้ได้ ซึ่งก็ไม่ใช่งานยากของมวยระดับท็อปจากทวีปเอเชีย เพราะเธอล้มมวยคู่แข่งจากอุซเบกิสถาน คว้าตั๋วโอลิมปิกครั้งนี้มาครองได้ตามความคาดหมาย

แต่สิ่งที่ยากคือ การคว้าเหรียญในการแข่งขันครั้งนี้ เพราะสุดาพรไม่ได้จะเข้าร่วมโอลิมปิกเพียงเพื่อเก็บประสบการณ์ เพราะมันไม่มีโอกาสครั้งไหนที่จะสมบูรณ์แบบไปมากกว่านี้อีกแล้ว 

สำหรับ สุดาพร สีสอนดี "กว่าจะได้ไปโตเกียว" ไม่ใช่เรื่องง่าย เธอต้องผ่านอุปสรรคมากมาย อยู่ในจุดที่อยากยอมแพ้กับความฝันหลายครั้ง หากแต่ทุกครั้งเธอตัดสินใจลุกขึ้นมาสู้ต่อ และได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับทุกหยาดเหงื่อที่ลงทุนไป 

โอลิมปิก เกมส์ ครั้งนี้ เราคงไม่ทราบได้ว่า สุดาพรนักชกจากจังหวัดอุดรธานีจะประสบความสำเร็จแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อได้คือเธอจะทุ่มเทสุดตัวเพื่อหวังคว้าเหรียญรางวัลกลับมาอย่างแน่นอน
--------------------------------
ล่าสุด สุดาพร สีสอนดี ลงแข่งขันในรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้แบบไม่เป็นเอกฉันท์ 3-2 ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ

โดยจะไปพบกับ เคลลี่ แฮร์ริงตัน กำปั้นสาวจากสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ที่นักชกสาวไทยเคยปราชัยมาในศึกชิงแชมป์โลก เมื่อปี 2018 แบบหวุดหวิด 2-3 

****รอบรองชนะเลิศ จะแข่งขันกันวันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม เวลา 12.00 น. ตามเวลาประเทศไทย

สรุปเหรียญโอลิมปิก 2020 ได้ที่นี่ : https://www.sanook.com/sport/olympics/medal/

อัลบั้มภาพ 32 ภาพ

อัลบั้มภาพ 32 ภาพ ของ "สุดาพร สีสอนดี" : ชีวิตนักชกล้มลุกสู่ความฝันล่าเหรียญรางวัลแรกให้วงการมวยสมัครเล่นหญิงไทย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook