"เอริค ลิดเดิล" : ลมกรดนัมเบอร์วันที่ไม่ไปโอลิมปิกเพราะ "วันอาทิตย์ผมไม่ว่าง"
โอลิมปิก คือฝันของนักกีฬาทุกคน พวกเขาพยายามเป็นแรมปี บางคนใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตเพื่อขอโอกาสสักครั้งให้ได้ไปแข่งกับเหล่านักกีฬาที่ว่ากันว่าเก่งที่สุดในโลก
นั่นไม่จริงเสียทีเดียว แม้โอกาสและเกียรติยศจะเป็นทุกอย่างที่ต้องการ แต่ไม่ใช่กับ เอริค ลิดเดิล นักวิ่งที่เร็วที่สุดในสหราชอาณาจักร เมื่อเขาออกวิ่ง ทุกคนต้องกินฝุ่นไปตามๆกัน
แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อโอลิมปิกมาถึง ลิดเดิล กลับเลือก "ไม่แข่ง".. เพียงเพราะว่า "วันอาทิตย์เขาไม่ว่าง"
มิชชันนารี
เอริค ลิดเดิล นั้นเป็นชาวสกอต ที่เกิดมาในครอบครัวเคร่งศาสนา พ่อของเขาเป็นมิชชันนารี หรือสมาชิกองค์กรทางศาสนา (คริสต์) ที่จะต้องถูกส่งไปยังต่างแดนเพื่อเผยแพร่ศาสนา (เรียกกันอีกอย่างว่า "การประกาศข่าวดี") ในประเทศต่างๆ
สาเหตุที่การเผยแพร่ศาสนาถูกเรียกอีกชื่อว่า "การประกาศข่าวดี" นั้นเกิดจากการที่กลุ่มมิชชั่นนารีจะเดินทางไปยังพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้ความรู้ สอนให้รู้หนังสือ สอนให้รู้จักความยุติธรรมทางสังคม หรือแม้กระทั่งการช่วยเหลือด้านสาธารณสุข และการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยมีการสอดแทรกหลักคำสอนของศาสนาคริสต์เข้าไปในความรู้เหล่านั้น เพื่อให้คนป่า คนไกล หรือคนในพื้นที่ที่พวกเขาไปถึง ได้รับพระคริสต์เข้ามาอยู่ในจิตใจนั่นเอง
พ่อของ เอริค ลิดเดิล เป็นมิชชันนารี ดังนั้น เขาจึงต้องเดินทางไปนั่นมานี่กับพ่อตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งย้อนกลับไปในยุคปี 1900 นั้น การเดินทางในแต่ละที่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความยากลำบาก แต่ถึงอย่างนั้น ครอบครัวของเขาเชื่อเสมอว่า พระเจ้านำพวกเขาไปในเส้นทางที่พระองค์ปรารถนาเสมอ ดังนั้น ทำให้ทุกการเดินทางของครอบครัว ลิดเดิล แคล้วคลาดปลอดภัยเสมอมา
ในช่วงเวลานั้น ครอบครัวของ เอริค ต้องเดินทางไปที่ประเทศจีนอยู่หลายปี จนกระทั่งเสร็จภารกิจก็ได้เดินทางกลับบ้านเกิดที่เมืองเอดินบะระ เมืองหลวงของสกอตแลนด์ ชีวิตของ เอริค ลิดเดิล ก็เริ่มเบ่งบาน เขาโตขึ้นพร้อมกับพรสวรรค์หนึ่งอย่างนั่นคือ "ความเร็ว" ที่ใครต่อใครต่างยืนยันได้ว่า เอริค คือคนที่เร็วที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเห็น
"วันหนึ่งเราออกไปเดินเล่นในชนบทและเราเห็นกระต่ายหนึ่งตัว คุณรู้ไหมในยุคนั้นน่ะกระต่ายในสตูว์หรือซุปมันเป็นอาหารที่ไม่ได้หากินกันง่ายๆ รสชาติของมันยอดเยี่ยมมากๆ พวกเราจึงคิดจะจับมัน" แพทริเซีย น้องสาวของ เอริค ลิดเดิล ว่าเช่นนั้น
"ไม่มีใครไล่เจ้ากระต่ายตัวนั้นได้ นอกจาก เอริค แค่คนเดียว เขาเร็วอย่างกับลมพัด ก่อนจะวิ่งไปจับกระต่ายตัวนั้นด้วยมือเปล่า เขาอุ้มมันไว้ในมือและจัดการสังหารมันเพื่อเป็นอาหาร เราทุกคนชอบใจและหวังว่าจะได้มาเล่นกันใหม่ในวันอื่นๆ เผื่อจะได้กระต่ายมากินอีกสักตัว แต่ เอริค บอกว่า นี่เป็นครั้งแรกและจะเป็นแค่ครั้งเดียว เขาจะไม่ทำมันอีกแล้ว"
หากผ่าครึ่ง เอริค ลิดเดิล ออกมาดูจากเหตุการณ์นั้น เราจะพบว่าเขามี 2 สิ่งเติบโตภายในร่างกายของเขา ร่างหนึ่งคือเขาได้พบพรสวรรค์ว่าตัวเองเร็วยิ่งกว่าใครๆที่เคยเจอ และร่างที่ 2 ที่กำลังเบ่งบานพร้อมๆกัน คือเขาปฏิเสธความป่าเถื่อน เชื่อมั่นในความรักและเมตตาตามคำสอนของพระคริสต์.. ขึ้นอยู่กับว่าเส้นทางจากนี้เขาจะเลือกทางเดินไหนกันแน่?
ยิ่งโต.. ยิ่งยาก
มีคำกล่าวประโยคหนึ่งที่บอกว่า เมื่อคนเราโตขึ้น ทุกอย่างก็ซับซ้อนและมีข้อจำกัดเพิ่มขึ้นมากมาย และการโตขึ้นทำให้มนุษย์หลายคนรับรู้ว่าช่วงเวลาวัยเด็กเป็นอะไรที่หอมหวานที่สุด.. ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แค่ใช้ชีวิต และสนุกไปวันๆเท่านั้น
เอริค ลิดเดิล เองก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เขาโตขึ้นพร้อมๆกับภาระหน้าที่ที่มากขึ้นไปด้วย เขาย้ายไปเรียนโรงเรียนประจำที่อังกฤษ และในช่วงเวลานั้นเป็นสิ่งที่พรสวรรค์ด้านการวิ่งของเขาเฉิดฉายขึ้นทุกๆปี เอริค เป็นนักวิ่งระยะ 100 เมตร ที่เร็วที่สุดในโรงเรียน จากนั้นก็ถูกส่งไปแข่งชิงแชมป์ต่างๆในระดับประเทศ ซึ่งก็ได้ที่ 1 กลับมาทุกครั้งไป
ตอนอายุ 16 ปี เขาได้รับฉายาว่าชายหนุ่มที่วิ่งเร็วที่สุดในสหราชอาณาจักร กล่าวคือภายใต้ผืนธงยูเนี่ยนแจ็ค ไม่ว่าจะเป็น สกอตแลนด์, เวลส์, ไอร์แลนด์เหนือ หรือแม้กระทั่ง อังกฤษ โลกแห่งการวิ่ง 100 เมตร ยังไม่เคยมีใครที่สามารถเอาชนะ เอริค ลิดเดิล ได้เลยแม้แต่คนเดียว นอกจากนี้ เขายังถูกทีมรักบี้เรียกตัวไปเป็นผู้เล่นคนสำคัญ จนถึงขั้นติดทีมชาติสกอตแลนด์ไปแล้วอีกต่างหาก
"เอริค ลิดเดิล เติบโตขึ้นมาในฐานะนักวิ่งระยะสั้นที่ดุดันที่สุด เขาได้ทุนจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ และเริ่มกวาดแชมป์เพิ่มในสกอตแลนด์ ตอนนั้นมหาวิทยาลัยได้ถ้วยรางวัลเป็นกองพะเนินเทินทึก และทุกคนต่างคิดว่าเขาจะต้องได้ไปโอลิมปิก และกลายเป็นผู้คว้าเหรียญทองกลับมาอย่างง่ายดาย"
เดิมที เอริค ลิดเดิล นั้นเป็นคนเคร่งศาสนาตามครอบครัว แต่เมื่อโตขึ้นเรื่อยๆและได้ลิ้มลองชีวิตแบบวัยรุ่น ได้มีคนยกย่อง และได้คว้าความสำเร็จ มันจึงทำให้เขาเริ่มจะออกห่างศาสนาและคิดว่าเส้นทางการเป็นยอดนักกีฬานั้นเป็นสิ่งที่ตื่นเต้น และจะประสบความสำเร็จเป็นคนดังระดับโลกได้ดียิ่งกว่า ทว่าความเป็นบุตรแห่งพระคริสต์ที่ฝังอยู่ในร่างของเขาไม่ยอมให้มันเป็นเช่นนั้น
ไม่ว่าจะเป็นเพราะโชคชะตาหรือสิ่งใดก็ตาม จิตวิญญาณแห่งพระคริสต์ของ เอริค ลิดเดิล โดนปลุกขึ้นโดยชายที่ชื่อ ดีพี ธอมป์สัน นักเผยแพร่ศาสนา ที่บังเอิญได้เจอกับ เอริค ก่อนที่ธอมป์สันจะชวนเอริค ไปร่วมพูดและเผยแพร่ศาสนากับคนกลุ่มหนึ่งในเมืองอาร์มาเดล เอริคตกปากรับคำพอเป็นพิธี ทว่าการออกไปเทศน์ครั้งนั้นเมื่อเดือนเมษายน 1923 เปลี่ยนแปลง เอริค ลิดเดิล ไปตลอดกาล..
"ชีวิตของ เอริค ลิดเดิล เปลี่ยนไปโดยปริยาย และเปลี่ยนไปในทันที ตอนแรกเขาจะกลายเป็นผู้นำความรุ่งเรืองแห่งไฟโอลิมปิกมาให้ธงยูเนี่ยนแจ็ค สำหรับการแข่งขันในปี 1924 ที่ประเทศฝรั่งเศส แต่ทุกอย่างมาช้าเกินไป เอริค ลิดเดิล เบ่งบานในทางศาสนามากกว่าที่เขาจะสนใจว่า ชีวิตนี้จะได้เหรียญทองโอลิมปิกหรือไม่.. ความฝันของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว" สตีเว่น โรเบิร์ต นักเขียนของ วอชิงตัน โพสต์ ว่าไว้
จากคนที่ซ้อมกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ เอริค ลิดเดิล กลับสู่เส้นทางเดิมเหมือนกับที่เขาเคยเป็นสมัยอยู่กับครอบครัวเมื่อครั้งยังเด็ก เขากลับมาให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ และเป็นศาสนิกชนที่ดีอีกครั้ง กล่าวคือ ณ ตอนนี้ ศาสนา มาเป็นอันดับ 1 และเรื่องการพิชิตโอลิมปิกนั้น ตกมาเป็นจุดมุ่งหมายรองสำหรับเขา
"ความมุ่งมั่นในการแข่งขันกรีฑาของ ลิดเดิล แทบไม่เหลือแล้ว มันตกเป็นรองความมุ่งมั่นที่เขามีต่อคริสตจักรอย่างเต็มตัว" งานเขียนชุดเดิมว่าไว้
มันเป็นทางแยกที่ยากลำบากพอสมควร เพราะหากเขารู้ตัวเร็วกว่านี้ว่าจะไปทางศาสนา เขาคงไม่ฝึกวิ่งแบบเอาเป็นเอาตาย เป็นสมาชิกชมรมนักวิ่ง รวมถึงได้รับการทาบทามจากสมาคมกรีฑาไปเรียบร้อยแล้วว่าเขาจะลงแข่งขันในนามของนักกีฬาจากสหราชอาณาจักร ในการวิ่งระยะ 100 เมตร
ซึ่งการตกปากรับคำไปก่อน ทำให้ เอริค ต้องตามมาแก้ไขมันให้ถูกต้องในมุมมองของเขา เขาแฟร์พอที่จะรักษาสัญญา เพียงแต่ว่าขอข้อแม้เดียว และมันเป็นข้อแม้ที่เขาคิดว่าตนเองยอมผ่อนปรนให้มากที่สุดแล้ว ข้อแม้นั้นคือ "เขาจะหยุดทุกวันอาทิตย์" โดยไม่มีข้อยกเว้น
ไม่ว่าจะเป็นการประชุม การซ้อม หรือการแข่งขันชิงแชมป์ระดับใดก็ตาม ถ้าเป็นวันอาทิตย์ เอริค ลิดเดิล จะต้องได้รับข้อยกเว้นทั้งหมด ซึ่งนั่นแหละคือปัญหา..
วันอาทิตย์เป็นเรื่องสำคัญ
สำหรับชาวคริสต์นั้น ทุกวันอาทิตย์ ทุกคนจะต้องมาเข้าโบสถ์ เหตุผลก็เพราะว่าในทางศาสนานั้น วันอาทิตย์ หมายถึงวัน "สะบาโต" อันว่าด้วยเป็นวันที่พระเจ้าเปิดรับการสักการะจากมนุษย์ ซึ่งตามความเชื่อว่าด้วยวันที่ 7 เป็นที่พระเจ้าทรงพักหลังจากการสร้างโลกมา 6 วัน ดังนั้น วันอาทิตย์ก็เปรียบเสมือนวันที่พระเจ้าให้เราหยุดพักจากการทำงานเพื่อมารับกำลังจากพระเจ้านั่นเอง
การร้องของของ ลิดเดิล เป็นไปด้วยสิ่งนี้ และทุกอย่างก็ดูเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งมาเกิดเรื่องเข้า เมื่อสมาคมกรีฑา ดูเหมือนจะเช็กโปรแกรมไม่ละเอียดพอ ทำให้ใส่ชื่อ ลิดเดิล ลงแข่งรายการคัดเลือกวิ่ง 100 เมตรใน "วันต้องห้าม".. นั่นทำให้เขาไม่มีทางเลือก ทั้งๆที่ซ้อมมายาวนาน แต่สุดท้าย ลิดเดิล ก็ประกาศถอนตัวจากทีม GB และไม่ขอลงแข่งในรายการใดๆก็ตามในโอลิมปิก
การตัดสินใจเช่นนี้ของ ลิดเดิล นำมาสู่คำวิจารณ์มากมาย เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนที่ทรยศต่อประเทศชาติ และตำแหน่งการวิ่ง 100 เมตรของเขาก็โดนยกให้คนอื่นแทน แต่สุดท้ายสหราชอาณาจักร และตัวของ ลิดเดิล ก็ตกลงกันได้ว่า พวกเขาจะขยับเอาลิดเดิลไปวิ่งแข่งในระยะ 400 เมตรแทน
ซึ่งปัญหาดังกล่าวไม่รู้ว่าเกิดการเคลียร์ใจกันอย่างไร อาจเป็นเพราะการวิ่ง 400 เมตรไม่มีโปรเเกรมตรงกับวันอาทิตย์ตามข้อแม้ของ ลิดเดิล ก็เป็นได้ แต่ที่แน่ๆคือสมาคมกรีฑาคงไม่อยากเสียชายผู้เร็วที่สุดในสหราชอาณาจักรไปอย่างแน่นอน
"เพราะเจ้าทำให้ผมเร็ว เวลาผมวิ่ง ผมสัมผัสได้ถึงพระองค์เสมอ สักวันโอกาสจะกลับมา ผ่านการนำพาของพระองค์" เขาว่าไว้เช่นนั้นจากบทความเรื่อง God Made Me Fast
การวิ่ง 400 เมตรครั้งนั้น เอริค ไม่ได้เป็นตัวเต็งแต่อย่างใด เพราะกลุ่มนักกีฬาจากสหรัฐอเมริกานั้นเชี่ยวชาญในการวิ่งระยะนี้มากกว่า พวกเขาเป็นตัวเต็งเบอร์ 1 เพียงแต่ว่าเมื่อสัญญาณออกสตาร์ทดังขึ้น เอริค ลิดเดิล ออกตัวและวิ่งด้วยความเร็วที่มั่นคงใน 100 เมตรแรก หลังจากนั้นเขาเร็วขึ้นเรื่อยๆและเรื่อยๆในแต่ละระยะที่เพิ่มขึ้น รู้ตัวอีกทีเขาก็แซงทุกคนเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 คว้าเหรียญทองให้สหราชอาณาจักร พร้อมทั้งทำลายสถิติโลกด้วย
"นักวิ่งคนอื่นอาจจะมีความเร็วสูงเหมือนกับตัวละมั่ง บางคนพุ่งจู๊ดอย่างกับมีมอเตอร์ติดด้านหลังเหมือนกับรถแท็กซี่ในปารีส แต่สำหรับ เอริค ลิดเดิล ผมคิดว่ามันต่างออกไป มันอาจจะมีพลังศักดิ์สิทธิ์อะไรบางอย่างที่ขับเคลื่อนเขาให้เร็วได้ขนาดนั้น" นักเขียนชาวอเมริกันทีชื่อว่า แกรนท์แลนด์ ไรซ์ เขียนอธิบายเหตุการณ์ในโอลิมปิกครั้งนั้น
เมื่อมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่ฝรั่งเศสเสร็จสิ้นลง ทีมนักกีฬาของสหราชอาณาจักรกลับบ้านด้วยเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ท่ามกลางการแสดงความยินดีและชื่นชมของคนในชาติและญาติพี่น้องอย่างเอิกเกริก ซึ่ง เอริค ลิดเดิล ก็ได้รับการยอมรับให้เป็นวีรบุรุษชาวอังกฤษเต็มขั้น โดยที่ไม่มีใครกล้าสงสัยในตัวของเขาอีกต่อไป
จนวันสุดท้าย..
หลังจากทำลายสถิติโลก เอริค รู้สึกหมดห่วงและไม่มีอะไรติดค้างในฐานะนักวิ่งอีกต่อไป เหลือเพียงความหลงใหลในศาสนาเท่านั้นที่ยังคงอยู่ และเขาคิดว่ามันถึงเวลาที่เขาต้องออกเดินทาง
เอริค เลิกเป็นนักกรีฑาไม่ว่าจะระยะใดๆ หันหน้าเข้าศาสนาเป็นมิชชันนารี เขาต้องเดินทางไปประเทศจีน เพื่อทำหน้าที่ในแบบที่ตัวเองเชื่อมั่นเสมอมา และการเดินทางทำให้เขาได้พบกับ ฟลอเรนซ์ แม็คเคนซี่ ลูกสาวของมิชชันนารีชาวแคนาดา และทั้งคู่ก็แต่งงานกัน โดยภายหลังได้ให้กำเนิดลูกสาวอีก 3 คน
เรื่องทุกอย่างเกือบจะแฮปปี้เอนดิ้งอยู่แล้ว ทว่าระหว่างที่เขาอยู่เมืองจีน ดันเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และมีความรุนแรงเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะความตึงเครียดระหว่างประเทศจีนและญี่ปุ่น โชคไม่ดีนักที่เมืองเทียนซิน สถานที่ตั้งของคริสตจักรที่ครอบครัว ลิดเดิล อยู่ ได้รับผลกระทบและต้องเผชิญกับอันตรายครั้งใหญ่ เขาจึงตัดสินใจหอบลูกเมียกลับสกอตแลนด์ รวมถึงแคนาดา บ้านของภรรยา เพื่อรอประสงค์ของพระเจ้าในครั้งต่อไป
หลังจากกลับมาได้ไม่นาน ในขณะที่ลูกสาวคนเล็กกำลังอยู่ในครรภ์ เอริค ถูกเรียกตัวจากสมาคมมิชชันนารีแห่งลอนดอนให้กลับไปที่เมืองจีน ณ เมืองเซี่ยวฉาง ภารกิจของเขาคือการรวบรวมผู้คนชาวชนบทที่แตกกระจายจากสงคราม ช่วยเหลือและชี้ทางเป็นบุตรแห่งพระคริสต์ให้กับผู้คนเหล่านั้น
ความเด็ดเดี่ยวของ ลิดเดิล นั้นมีมากเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจ แม้อันตรายแต่เขาก็ยอมทิ้งลูกเมียไว้เบื้องหลังเพื่อปฏิบัติภารกิจทางศาสนาให้สำเร็จ ทว่าครั้งนี้เขาโชคร้ายจริงๆ เมื่อเข้าสู่เดือนธันวาคม 1941 ญี่ปุ่น สามารถยึดพื้นที่เมืองเซี่ยวฉางได้สำเร็จ และนั่นทำให้สำหรับทหารญี่ปุ่นนั้น ลิดเดิล คือศัตรู เพราะ ณ เวลานั้นมีการวางกฎและข้อจำกัดสำหรับพวกฝรั่งหัวทองยิบย่อยมาก ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขาอยากจะกำจัดทิ้งอีกด้วย
ลิดเดิล ถูกจับเข้ามาเป็นเชลยในค่ายกักกันที่เมืองเทียนจิน แต่เขายังเชื่อมั่นเสมอว่าแม้อิสรภาพจะโดนพรากไป แต่ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อและชีวิตของเขาอยู่ได้เพราะประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า
ลิดเดิล เริ่มก่อตั้งคริสตจักรในค่ายกักกัก และผลักดันตัวเองจนได้เป็นนักเทศน์และผู้นำชาวตะวันตกในนั้น เขาพยายามทำทุกอย่างให้เต็มที่ ทั้งการจัดสอนกีฬา วิทยาศาสตร์ สอนหนังสือ และช่วยรักษาคนชรา และคนป่วย จนสุดท้ายแล้ว เขากลายเป็นผู้ได้รับการยกย่องจากผู้คนในนั้น นั่นคือความสำเร็จของ เอริค ลิดเดิล ที่อย่างน้อยๆ เขาสามารถเปลี่ยนแปลงและทำภารกิจทางศาสนาให้สำเร็จจนได้
แต่น่าเสียดาย ที่นั่นคือภารกิจสุดท้ายในชีวิตของเขาเช่นกัน หลังจากทำให้ทุกคนในค่ายกักกันเชื่อมั่นในศาสนาได้ เอริค ลิดเดิล ก็ป่วยเป็นโรคเนื้องอกในสมอง ก่อนที่มันจะลุกลามและพรากชีวิตของเขาไปหลังจากนั้นไม่นาน
อย่างไรก็ตาม ชื่อของ เอริค ลิดเดิล ยังคงเป็นแรงบันดาลใจของทุกคนที่ได้สัมผัสเขาอย่างใกล้ชิด หลังการเสียชีวิตของเขาในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1945 ทั้งค่ายกักกันก็ร่วมกันจัดงานศพของเขาอย่างยิ่งใหญ่
พร้อมกับคำกล่าวส่งท้ายในวันนั้นของชาวคริสต์ ณ ค่ายกักกันว่า "พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้รอดพ้นความยากลำบากอันเลวร้าย เมื่อเผชิญกับสงครามและการพรากอิสรภาพ แต่ เอริค ลิดเดิล ยังคงเป็นชายผู้แข็งแกร่งเสมอไม่เปลี่ยนแปลง"
อัลบั้มภาพ 7 ภาพ