คริสเตียน อีริคเซ่น : เสือยิ้มยากผู้ไม่เคยสะทกสะท้านกับสถานการณ์กดดัน
การล้มลงหมดสติของ คริสเตียน อีริคเซ่น ในเกมยูโร 2020 ที่ เดนมาร์ก ลงเเข่งขันกับ ฟินแลนด์ กลายเป็นชอตบีบหัวใจที่สุดไปโดยปริยาย ผู้คนทั่วโลก ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนบอลตัวยงหรือไม่ ก็คงส่งมอบกำลังใจไปให้เขาอย่างล้นหลาม
ในที่สุดหลังการปฐมพยาบาลนานหลายนาที อีริคเซ่น ก็ได้สติและถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอย่างเร่งด่วน เขาก้าวข้ามช่วงเวลาที่บีบหัวใจคนทั่วโลกไปได้ พร้อม ๆ กับรอยยิ้มของผู้ที่ติดตามข่าว
สำหรับแฟนฟุตบอลคงจะรู้จักเขาดี แต่หากคุณไม่ใช่… Main Stand ขอพาคุณผู้อ่านมาทำความรู้จักกับเขา “ราชาแห่งเดนมาร์ก” คนนี้ให้มากขึ้น
เด็กอัจฉริยะ
นานมาเเล้วที่วงการฟุตบอลเดนมาร์กไม่มีนักเตะที่โดดเด่นและฉายเเสงยิ่งกว่าใคร ๆ ให้เห็น พวกเขาเคยตื่นเต้นกับปรากฎการณ์ 2 พี่น้องเลาดรู๊ป และจากนั้น ก็ไม่มีนักเตะเกมรุกคนใดอีกเลยที่แสดงให้เห็นคลาสที่แตกต่าง จนกระทั่งมีเด็กคนหนึ่งเริ่มเล่นฟุตบอลในสโมสรท้องถิ่นในเมือง มิดเดลฟาร์ท นามว่า คริสเตียน อีริคเซ่น
Photo : lifebogger.com
เด็กชายคริสเตียน เกิดในครอบครัวนักฟุตบอล มีคุณพ่อเป็นอดีตนักเตะที่จับให้เขาเล่นฟุตบอลตั้งแต่ยังเด็ก และเมื่อเขาโตขึ้น เขาก็ฉายแววและเปล่งประกายยิ่งกว่าใคร สโมสรมิดเดลฟาร์ท ได้รับการติดต่อจากโอเดนเซ่ ทีมระดับอาชีพในประเทศ และหลังจากนั้น คริสเตียน อีริคเซ่น ก็ไม่เคยหยุดเดินหน้าอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เขาเล่นให้กับ โอเดนเซ่ ได้ไม่นาน ทีมที่ใหญ่กว่าจากต่างประเทศก็เข้ามาให้ความสนใจ เรอัล มาดริด, แมนฯ ยูไนเต็ด และ เอซี มิลาน ยื่นข้อเสนอให้เขาเข้ามาทดสอบฝีเท้า และเขาก็สอบผ่านฉลุย แต่ในขณะที่ทุกคนเชียร์ให้เขาเลือกก้าวสำคัญด้วยการย้ายไปทีมใหญ่ แต่ อีริคเซ่น ไม่คิดเช่นนั้น เมื่อเขาได้รับการติดต่อจาก อาหยักซ์ ทีมระดับเล็กกว่าสโมสรที่กล่าวมา แต่โดดเด่นเรื่องการให้โอกาสนักเตะเยาวชน เขาจึงค่อย ๆ คิดและตัดสินใจอย่างเยือกเย็นเกินอายุ สุดท้ายเขาเลือกจิ้ม อาหยักซ์ ด้วยเหตุผลว่า
"เพราะนี่คือก้าวแรก และก้าวแรกคือก้าวที่สำคัญ ผมไม่คิดว่ามันจะเหมาะกับการไปเล่นให้กับทีมที่ใหญ่เกินไป หัวใจผมบอกทันทีว่าผมต้องย้ายไปเนเธอร์แลนด์ มันเป็นที่ที่ดีสำหรับนักเตะอายุน้อยและต้องการพัฒนาแบบผม ... เมื่อผมไปถึงที่นั่นผมรู้ได้ในทันทีว่าตัวเองคิดถูก นี่คือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมที่สุดจริง ๆ" อีริคเซ่น กล่าว
เขาได้เป็นสมาชิกของ อาหยักซ์ ด้วยค่าตัว 1 ล้านปอนด์ การย้ายทีมครั้งนี้ทำให้ มิดเดลฟาร์ท ทีมระดับเยาวชนของเขาได้ส่วนแบ่งเป็นเงิน 35,000 ปอนด์ และพวกเขาเอาเงินก้อนนั้นไปใช้สร้างสนามฟุตบอลเป็นของตัวเอง ขณะที่ อีริคเซ่น ก็ใช้เวลาแค่ปีเดียวในการขึ้นสู่ทีม อาหยักซ์ ชุดใหญ่ ดีลนี้คือดีลที่มองไปทางไหนก็มีแต่วิน ๆ ทั้งนั้น
"ตอน คริสเตียน อายุ 17 ปี ผมตกใจมากเพราะเขาเก่งมากจนผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าส่งไอเด็กคนนี้ลงเล่นทีมชุดใหญ่จะเป็นยังไงบ้าง" มาร์ติน โยล กุนซือของทีม ณ เวลานั้นกล่าว
"ผมเรียกเขาเข้ามาคุยด้วย ผมคิดภาพไว้ในหัวว่าเขาต้องลิงโลด ผมเริ่มบอกเขาว่าเอาล่ะเกมต่อไปนายจะได้ลงสนามแน่ แต่ปฏิกิริยาตอบกลับของเขาต่างจากดาวรุ่งทั่วไป หน้าตาของเขาไร้อารมณ์ราวกับรู้อยู่เเล้วว่าโอกาสนี้จะมาถึง เขาฟังและมองมาที่ผมก่อนจะพูดว่า... โอเคครับ ผมจะเล่น แค่นั้นเลย" โยล กล่าว
โยล ไม่ได้พูดเล่น เขาส่ง อีริคเซ่น ลงเล่นจริง ๆ ในเกมลีกกับ เอ็นเอซี เบรด้า ในเกมนั้นเขาถูกส่งลงเป็นตัวสำรองแทนที่ของ หลุยส์ ซัวเรซ ก่อนจะลงสนาม ซัวเรซ กอดและกระซิบอวยพรเขาที่ข้างหู อีริคเซ่นแค่พยักหน้าตอบรับจากนั้นก็ลงไปโชว์ผลงาน ... หลังจากวันนั้น "ราชาแห่งเดนมาร์ก" คนใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้น
คำ ๆ นี้ถูกเรียกพร้อมกับชื่อของ อีริคเซ่น มานานแล้ว ตั้งแต่ในช่วงที่เขาเล่นให้ทีมเยาวชนยู 17 ของทีมชาติเดนมาร์ก มีแต่คนชอบบอกว่าเขาเก่งเกินอายุไปหลายปี แต่ อีริคเซ่น มักจะทำหน้าตาซังกะตายเพราะเขารู้อยู่แล้วว่ามันเป็นแบบนั้น ... เขาเก่งกว่าทุกคนที่เล่นด้วย แต่การไม่ได้ยินดีไปกับคำชมนั้นไม่ได้เป็นไปในแง่ของความอวดดี อีริคเซ่น ชอบที่จะหาข้อวิจารณ์ตัวเองเสมอ และมักจะมีคำถามไปยังโค้ชของเขาว่าต้องทำแบบไหนเขาถึงจะเป็นนักเตะที่ดียิ่งขึ้น
"เวลาคุณชมนักเตะอย่าง อีริคเซ่น เขาจะมองตาคุณและบอกว่า 'ใช่ครับโค้ชผมรู้เเล้ว' (เวลาโดนชม) เขาแตกต่างจากคนอื่นตั้งแต่วันนั้นเเล้ว ถ้าเป็นเด็กคนอื่นอาจจะเก็บคำชมนั้นไว้ คิดไปไกลถึงไหนต่อไหน แต่ อีริคเซ่น เป็นพวกที่ไม่เอาคำชมเข้าหัว คำชมไม่ได้ทำให้เขาตัวลอยขึ้นจากพื้นดิน แต่มันผลักเขาไปข้างหน้าต่างหาก" เกล็น ริดเดอร์สโฮล์ม อดีตโค้ชของ อีริคเซ่น กล่าว
ผู้เยือกเย็น
ช่วงเวลาก่อนที่ อีริคเซ่น จะมาเล่นให้กับ อาหยักซ์ เป็นช่วงเวลาที่ความสำเร็จของสโมสรช่างเหือดแห้ง พวกเขาไม่ได้คว้าแชมป์ลีกมานาน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องแปลกสำหรับทีมที่ดีที่สุดในประเทศตลอดกาล
จะบอกว่าช่วงเวลาแห่งความยิ่งใหญ่ของ อาหยักซ์ เกิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับยุคสมัยของ อีริคเซ่น ก็คงไม่ผิดนัก ในปี 2010-11 หลุยส์ ซัวเรซ ย้ายออกไปอยู่กับ ลิเวอร์พูล และนั่นทำให้ อีริคเซ่น เด่นชัดยิ่งกว่าเดิม
เขาแบกเกมรุกของทีมในตำแหน่งหมายเลข 10 เยือกเย็น เด็ดขาด และมีสายตาที่กว้างไกล อายุไม่ใช่เรื่องสำคัญ ทุกครั้งที่ อาหยักซ์ ขึ้นบอลเพื่อทำเกมรุก พวกเขาจะมองหา อีริคเซ่น ก่อนเป็นอันดับแรก และจากนั้น เจ้าหนูจากเดนมาร์กรายนี้จะทำให้ทุกอย่างเป็นของง่ายในทันที
"ผมอยู่กับทีมมานานพักใหญ่ เคยเล่นร่วมกับนักเตะอย่าง ราฟาเอล ฟาน เดอ ฟาร์ท และ เวสลี่ย์ สไนจ์เดอร์ และมันนานมาแล้วนะ ที่ไม่เห็นนักเตะในตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์คนไหนทำได้ดีเท่ากับพวกเขา จนกระทั่งมาเจอ อีริคเซ่น นี่แหละ ผมพูดได้เต็มปากเลยว่าเราเจอตัวเเทนแล้ว หมอนี่เข้ามาเเละเล่นได้เเนบเนียนไร้รอยต่อ" เออร์บี้ เอ็มมานูเอลสัน เพื่อนร่วมทีมที่อายุมากกว่า อีริกเซ่น 5 ปี กล่าว
"คุณจะต้องการอะไรจากเขาอีกล่ะ เด็กคนนี้ลงเล่นในสนามแข่งก็จริง แต่ทำตัวเหมือนกับวิ่งในสวนสาธารณะเลย ไร้ความกังวล ราวกับชีวิตนี้ไม่รู้จักว่าความกดดันว่ามันเป็นยังไง คิดเร็ว ทำไว เคลื่อนที่เสมอ เหมือนกับมีดวงตาอยู่รอบตัว คุณวิ่งทำช่องไปเถอะไม่ต้องกลัวว่าเขาจะไม่เห็น ... เขาหาคุณเจอแน่"
อีริคเซ่น พา อาหยักซ์ คว้าแชมป์ เอเรดิวิชี่ ลีก หรือลีกสูงสุดของ เนเธอร์แลนด์ ได้ในปี 2011 หลังจากคว้าน้ำเหลวมาถึง 7 ปี นั่นแหละถึงจะเป็นช่วงเวลาที่เขาเริ่มยิ้มออก ตอนนั้น มาร์ติน โยล ไม่ได้เป็นกุนซือของ อาหยักซ์ แล้ว แต่เขาก็ดูเกมนั้นอยู่ เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มของ อีริคเซ่น เขาจึงรู้ว่านักเตะคนนี้ไม่ได้เย็นชาไปกับทุกเรื่อง เขาแค่ไม่อยากดีใจเกินเหตุ นอกเสียจากว่าช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองที่แท้จริงจะมาถึง
"วันนั้นผมจำได้ไม่ลืมเลย นี่คือรอยยิ้มของ คริสเตียน อีริคเซ่น ... เขาไม่ใช่คนที่ชอบหัวเราะออกมาดัง ๆ เขาแค่ยิ้ม และเมื่อเขายิ้ม คุณก็รู้ได้ว่าเขากำลังมีความสุข ... รอยยิ้มของเขาจะเกิดขึ้น ต่อเมื่อเขาชนะอะไรสักอย่าง" โยล กล่าว
นักเเก้ปัญหา...ด้วยฟุตบอล
หลังจากประสบความสำเร็จที่ เนเธอร์แลนด์ เขาก็ย้ายไปเล่นให้กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่ได้มีแชมป์ติดไม้ติดมืออะไร แต่ก็ไม่มีใครกล้าเถียงว่า อีริคเซ่น คือนักเตะหมายเลข 10 ที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก เวลานั้น เขาก้าวจากการเป็นดาวรุ่งสู่นักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ ทว่ากิจวัตรของเขายังคงเหมือนเดิม ทำงานหนักในส่วนของตัวเอง รับความกดดันจากรอบตัว และจากนั้นก็เอาชนะมัน
"ที่ ท็อตแน่ม อีริคเซ่น คือหัวใจของทีม บอลต้องอยู่ที่เท้าของเขา ... เมื่อคู่ต่อสู้ถอยร่น และเหลือช่องว่างเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่มีเลย เขาจะหาช่องให้คุณจนได้ เขาคือนักแก้ปัญหาตัวยง และแก้มันอย่างเฉียบขาดด้วย น้อยมากที่คุณจะเห็นเขาถ่ายบอลไปข้าง ๆ ไปมา อีริคเซ่น ชอบที่จะเอาบอลขึ้นไปข้างหน้าเสมอ ผมดู สเปอร์ส อย่างใกล้ชิด และผมคิดว่ามันเป็นแบบนั้น" มาร์ติน โยล กล่าวถึงศิษย์เก่าอีกหน
อีริคเซ่น พา สเปอร์ส ไปได้ไกลสุดเพียงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2019 ก่อนจะแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล ชุดไร้เทียมทานไปอย่างน่าเสียดาย หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็เชียร์ให้เขาย้ายทีมเพื่อพิสูจน์สิ่งที่ตัวเองมี เขาพร้อมแล้วกับการเล่นให้ทีมที่ใหญ่กว่า และสุดท้ายเขาก็ย้ายไปเล่นให้กับ อินเตอร์ มิลาน สโมสรที่กำลังตั้งเป้าไว้ที่แชมป์ลีกของประเทศ
ที่ อิตาลี มันน่าจะเป็นฟุตบอลแบบที่ อีริคเซ่น ถนัด เขามีเวลาให้เล่นกับบอลเยอะขึ้น และต้องเจอกับคู่แข่งที่ชอบถอยร่นไปตั้งรับต่ำ เพียงแต่ว่าหนนี้ อีริคเซ่น ในวัย 28 ปี กลับได้พบกับช่วงชีวิตนักฟุตบอลที่ยากที่สุด เพราะระบบการเล่นของ อันโตนิโอ คอนเต้ โค้ชของทีม อินเตอร์ ที่มักจะมาในระบบ 3-5-2 ที่ไม่มีตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์เป็นหลัก ซึ่งนั่นทำให้ช่วงเวลาตั้งหลักของ อีริคเซ่น ยากเย็นและใกล้เคียงกับคำว่าล้มเหลวที่สุด
เขาหาตัวเองไม่เจอในการเล่นกับทีมใหม่ เขาหลุดเป็นตัวสำรองเพราะปรับตัวกับสไตล์ไม่ได้ จนมีข่าวว่า อินเตอร์ พร้อมจะขายเขาออกจากทีม ทั้ง ๆ ที่เพิ่งได้ตัวเขามาไม่ถึงครึ่งปีเลยด้วยซ้ำ
มีคำพูดหนึ่งของ อันโตนิโอ คอนเต้ ในเกมที่ อินเตอร์ ชนะ มิลาน 2-1 ในศึก โคปา อิตาเลีย ในเกมนั้น อีริคเซ่น ลงมาเล่นพร้อมกับยิงฟรีคิกปล้นชัยในช่วงทดเจ็บให้ อินเตอร์ เข้ารอบไปได้ ... หากเป็นเหมือนทุกครั้งกับที่เขาเคยสัมผัสมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาคงได้รับคำชมชุดใหญ่แน่ ทว่าไม่ใช่กับ คอนเต้ ... กุนซือที่แตกต่าง มองอะไรที่แตกต่าง และต้องการอะไรมากกว่านั้น และนั่นเป็นเหตุให้เขาตำหนิ อีริคเซ่น ในแบบที่ไม่มีใครคาดคิด และเป็นการตำหนิกันผ่านสื่อด้วย
"มันก็ดี (ฟรีคิกของ อีริคเซ่น) แต่นี่ไม่ใช่รักบี้นะ ... ในรักบี้มันจะมีตำแหน่งตัวเตะที่ถูกเปลี่ยนลงมาเพื่อเล่นลูกนิ่งโดยเฉพาะ แต่นี่คือฟุตบอล" คอนเต้ ว่าไว้เช่นนั้น
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ใจร้ายกับ อีริคเซ่น เสียเลยทีเดียว เขาตบท้ายด้วยความคาดหวังและบอกให้ อีริคเซ่น รู้ว่า "พยายามอีกนิด นายใกล้จะชนะใจฉันเเล้ว" ด้วยประโยคที่ว่า
"แต่ที่สุดแล้วพวกเราต่างหวังให้ อีริคเซ่น สามารถช่วยทีมในสถานการณ์อื่น ๆ ได้มากกว่านี้ เขามีความสามารถที่จะเป็นอาวุธลับของเรา เพียงแต่ตอนนี้เขาต้องเข้าใจก่อนว่านักฟุตบอลจะอยู่ในสนามเพื่อรอยิงแต่ฟรีคิกอย่างเดียวไม่ได้"
นั่นส่งสัญญานให้ อีริคเซ่น รับรู้ในทันที เขาตอบรับกับคำตำหนิปนกระตุ้นของ คอนเต้ และเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างที่กุนซือของทีมสื่อมา เพราะหลังจากมีนักข่าวถามเขาเรื่องฟรีคิกสุดสวยลูกนั้น อีริกเซ่น จึงตอบเหมือนเดิม ... ตอบอย่างเย็นชา ทั้ง ๆ ที่มันคือช่วงเวลาสำคัญที่จะทำให้เขากลับมามั่นใจอีกครั้ง
"มองจากคนภายนอกนั่นอาจจะเป็นประตูที่ปลุกผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่" อีริคเซ่น เริ่มอธิบาย
"ผู้คนบอกหลังจากผมยิงประตูว่า ว้าว ดูสิ เขายิงฟรีคิกอย่างสวยเลย อีริคเซ่น คนใหม่ถือกำเนิดเเล้ว... แต่บอกอะไรให้ นี่ก็แค่กิจวัตรเดิม ๆ ของผม ถอยหลัง 5 ก้าว มองไปที่ฟุตบอล และยิงมันไปในทิศทางที่ถูกต้อง"
อีริคเซ่น เข้าใจหน้าที่ของนักเตะตัวรุกที่ต้องช่วยเกมรับมากขึ้น เขาต้องถอยลงมาต่ำเพื่อสร้างเกมรุกตั้งแต่เเดนตัวเอง แม้จะเป็นการปรับสไตล์ แต่ไม่ใช่เรื่องยากเกินแรง หลายคนอาจจะคิดว่านักเตะที่ดูเฉื่อย ๆ อย่าง อีริคเซ่น เป็นพวกขี้เกียจ แต่จริง ๆ เเล้วเขาเคยทำสถิติวิ่งรวมเป็นระยะทางถึง 13 กิโลเมตรใน 1 แมตช์มาเเล้ว ดังนั้น เขาแค่ต้องเปิดใจกับวิธีการเล่นใหม่ที่จะช่วยให้เขาเข้ากับทีมได้เท่านั้น อีริคเซ่น คนเดิมก็จะกลับมา
"คุณจะเรียกผมว่าอะไรล่ะ อีริคเซ่น คนใหม่ หรือ อีริคเซ่น คนเดิม ? ... แล้วแต่เลย แต่รอดูผมเล่นเพิ่มอีกสักหน่อยดีกว่า" เขากล่าว
"ในระบบปัจจุบันผมเริ่มเข้าใจมันลึกซึ้งขึ้นทีละนิด ๆ ผมเก็ตเเล้วว่าตัวเองต้องมีส่วนร่วมกับสถานการณ์เกมรับมากกว่าเดิม ผมต้องเตรียมตัวเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการเข้าปะทะเพื่อให้ทีมได้บอลกลับคืนมา ... ผมไม่ปฎิเสธหรอกนะว่าผมเคยเล่นสูงกว่านี้ แต่ผมเข้าใจว่าฟุตบอลมันคือโลกแห่งการปรับตัว"
"ผมอยู่ที่นี่ ทำทุกอย่างตามคำสั่งของโค้ช ผมและเขา(คอนเต้) ต้องรู้จักกันมากกว่านี้ ซึ่ง ณ ตอนนี้ผมคิดว่าเราเริ่มจะเข้าใจบางอย่างตรงกันมากขึ้นเเล้ว"
ช่วง 20 เกมแรกของฤดูกาล 2020-21 อีริคเซ่น ได้โอกาสเล่นให้กับ อินเตอร์ แค่ 10 เกม ส่วนใหญ่เป็นการลงเล่นเป็นตัวสำรอง มีการเล่นเต็ม 90 นาทีเพียงนัดเดียวเท่านั้น ในเกมชนะ เบเนเวนโต้ 4-0 จนกระทั่งผ่านครึ่งฤดูกาลแรก เขาเริ่มเข้าใจว่าตำแหน่งของตัวเองเป็นแบบไหน อีริคเซ่น พลาดการลงสนามให้กับ อินเตอร์ แค่ 2 เกมเท่านั้นตลอดช่วงเวลาที่เหลือ ... และสุดท้ายเขาก็เป็นส่วนสำคัญในทีมชุดประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ เซเรีย อา ในรอบ 10 ปี
ในวันที่ชนะ โครโตเน่ 2-0 ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็น 3 แต้มที่การันตีเเชมป์ ทุกคนได้เห็นสิ่งที่ อีริคเซ่น ไม่ได้แสดงออกมานาน นั่นคือ "รอยยิ้ม"
"ทำไมต้องยิ้มตอนเดินออกจากสนามเหรอ? ไม่รู้สิ ผมคิดว่ารอยยิ้มนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนแน่นอน ผมยิ่งเล่นยิ่งมีความสุข พวกคุณอาจจะแปลกใจ เพราะมองผมจากภายนอก ผมเป็นนักเตะที่ไม่ค่อยหัวเราะ แต่ไม่ใช่หรอก ผมไม่ใช่คนแบบนั้นจริง ๆ" เขาอธิบายถึงรอยยิ้มนั้น ที่หมายถึงการได้พาตัวเองมาถึงเส้นชัยเเล้ว หรือได้ทำอะไรสักอย่างที่ยิ่งใหญ่สำเร็จเเล้ว
หลังจากคว้าเเชมป์กับ อินเตอร์ แล้ว อีริคเซ่น ต้องเดินทางมาแข่งขันยูโร 2020 ร่วมกับทีมชาติเดนมาร์กต่อทันที และอย่างที่ทุกคนทราบ เขาล้มลงในเกมนัดแรกที่พบกับ ฟินแลนด์ มันเป็นภาพสุดช็อก ที่ทำให้ทุกคนภาวนาให้เขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง ... ซึ่งที่สุดเเล้วเขาก็พ้นขีดอันตรายจนได้
ไม่ว่าจะอย่างไร อีริคเซ่น ยังคงต่อสู้และแก้ไขปัญหา ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ คนที่เเข็งแกร่งอย่างเขาจะต้องกลับมาเป็นผู้ชนะได้อย่างแน่นอน เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
อัลบั้มภาพ 45 ภาพ