ซิมน กายาร์ : ยอดกัปตันผู้รับบทพระเอกในค่ำคืนที่โลกฟุตบอล แทบหยุดหายใจ
"ตั้งแต่ถุงเท้าคู่แรกที่ผมสวมใส่ มาจนถึงคู่ที่ใช้ในทุกวันนี้ผมสวมมันด้วยวิธีที่ถูกต้องเสมอมา ไม่ใช่แค่ก่อนเกมจะเริ่มต้นขึ้น แต่ผมทำมันในทุก ๆ เช้าที่ผมลืมตา"
ทันทีที่ คริสเตียน อีริคเซ่น ล้มลงหมดสติในเกมกับ ฟินแลนด์ ในขณะที่ทุกคนทั้งสนามกำลังช็อกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย แต่มีนักเตะคนหนึ่งที่มาถึงตัวเขาเร็วที่สุดและแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวไม่ให้เลวร้ายเกินไปกว่านี้…
หลังจากช่วยปฐมพยาบาล เขานำเพื่อนร่วมทีมตั้งกำแพงเพื่อบังกล้องถ่ายทอดสด ป้องกันไม่ให้อีริคเซ่น ถูกถ่ายภาพออกไป นอกจากนี้ยังวิ่งไปปลอบขวัญ ซาบริน่า ควิสต์ คนรักของอีริคเซ่น พร้อม ๆ กับแคสเปอร์ ชไมเคิ่ล จนได้รับคำชื่นชมสรรเสริญไปทั่วโลก
เขาคนนั้น คือ ซิมน กายาร์(Simon Kjær) กัปตันทีมชาติเดนมาร์ก ชายผู้ไม่เคยคว้าแชมป์รายการใด ๆ ในชีวิตค้าแข้ง แต่เรื่องราวระหว่างทางจนถึงวัย 31 ปีของเขานั้นมีอะไรน่าติดตามยิ่งไปกว่านั้น
ติดตามเรื่องราวของเขาได้ที่ Main Stand
ซิมน กายาร์ อาจจะไม่ใช่ชื่อของนักเตะที่เก่งกาจในเรื่องของแม่ไม้ฟุตบอลมากมายนัก อย่างไรก็ตามหากมองย้อนกลับไปในประวัติการค้าแข้งของเขาคุณจะพบบางอย่างที่พิเศษกว่านั้น ... นั่นคือคุณสมบัติของการเป็นผู้นำ
กายาร์ เติบโตมากับศูนย์ฝึกของสถาบัน FCM ที่เป็นสถาบันเกี่ยวกับฟุตบอลแห่งแรกของประเทศเดนมาร์ก ดังนั้นเรียกได้ว่าเขาได้รับการสั่งสอนให้เป็นนักฟุตบอลในแบบอุดมคติทั้งในและนอกสนามมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ซึ่งการเติบโตอย่างเป็นระบบนี้ช่วยสะท้อนตัวตนของเขาอย่างชัดเจน
นับตั้งแต่ผ่านศูนย์ฝึกและโดนส่งเข้าสโมสรพาร์ตเนอร์อย่าง มิดทิลลันด์ กายาร์ เป็นนักเตะที่มีความป็นมืออาชีพสูงมาก เดิมทีเขาถูกโปรโมตให้ขึ้นมาเล่นในตำแหน่งกองกลางก่อน เพียงแต่มันเป็นตำแหน่งที่ทำให้เขาไม่สามารถแจ้งเกิดได้
ช่วงเวลาผ่านไปเขานั่งเป็นตัวสำรองอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งมีโค้ชคนหนึ่งเห็นถึงสมรรถภาพทางร่างกายของเขา ที่เป็นคนตัวใหญ่ แข็งแรง และมีความเร็ว จึงเกิดไอเดียขยับเขาลงมาเล่นในตำแหน่งปราการหลังตัวกลาง ซึ่งตำแหน่งนั้นเองที่ช่วยให้เขาได้พบเจอกับพื้นที่ที่เหมาะกับคาแร็กเตอร์ของเขาที่สุด
เพราะนักเตะตำแหน่งกองหลังคือนักเตะที่เห็นรูปแบบของเกมได้มากที่สุดรองจากผู้รักษาประตู ดังนั้นจึงสามารถออกคำสั่งให้เพื่อนร่วมทีม รวมถึงตะโกนบอกถึงจุดบอดที่ตัวเองมองเห็นแต่เพื่อนมองไม่เห็นได้ เพียงแต่ว่าน้อยคนนักจะกล้าตะโกนออกมาหากว่าพวกเขาไม่มีภาวะผู้นำ
การเป็นผู้นำนั้นมีหลายแบบ สำหรับ กายาร์ กับการเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟนั้น ถือว่าเป็นการเจอกันที่ตรงจริต เพราะเขาชอบที่จะออกคำสั่ง ไม่กลัวที่จะต้องตวาดใส่ใคร เขาเป็นนักสื่อสารตัวยง ซึ่งสิ่งนี้ตรงกับหน้าที่ของกัปตันทีมอันพึงประสงค์
เบนนิโต้ มอนตัลโว่ ผู้อำนวยการศูนย์ฝีกฟุตบอลระดับเยาวชนในประเทศสเปน ที่ชื่อว่า High-Performance Academy ได้พูดถึงการเลือกกัปตันทีมที่จะส่งผลบวกต่อทีมมากที่สุด และสิ่งที่เขากล่าวไว้ตรงกับสิ่งที่กายาร์ เป็นอย่างไม่บังเอิญ แม้ครั้งนั้นเขาจะพูดถึงกรณีทีมชาติ อาร์เจนติน่า ที่มอบปลอกแขนกัปตันทีมให้นักเตะที่เก่งที่สุดในโลกอย่างลิโอเนล เมสซี่ ก็ตาม
"ทักษะและเทคนิคไม่อยู่ในข่ายที่จำเป็นของผู้ที่ได้รับปลอกแขนกัปตันทีม ผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในสนามไม่ได้แปลว่าเขาเป็นผู้นำ ... เพราะคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับกัปตันทีมคือพวกเขาจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเพื่อนร่วมทีม แสดงถึงทัศนคติอันเยี่ยมยอด มีความพยายาม รับผิดชอบ และกล้าที่จะเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปในเกมได้"
"กัปตันทีมคือคนที่ต้องรับคำสั่งจากโค้ชและช่วยถ่ายทอดมันอีกครั้ง พวกเขาไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุดในทีมด้วยซ้ำ พวกเขาแค่ต้องรู้วิธีการสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีม คู่แข่ง และผู้ตัดสิน"
"กัปตันทีมที่ดีต้องยืนหยัดเพื่อทีมและทำให้ทีมมีภาพลักษณ์ที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกีฬาฟุตบอล เพราะนี่คือกีฬาที่ทุกคนมองเห็นได้ง่ายที่สุด และเห็นภาพของกัปตันทีมได้ชัดเจนที่สุดเเล้ว" มอนตัลโว่ ว่าไว้
สิ่งที่ มอนตัลโว่ ว่ามาคงไม่ผิดนักกัปตันทีมระดับตำนานของโลกฟุตบอลส่วนใหญ่มักจะมาจากนักเตะในตำแหน่งกองหลัง ไม่ว่าจะเป็นเปาโล มัลดินี่, ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ, จอห์น เทอร์รี่, เจมี่ คาร์ราเกอร์, กาเลส ปูโยล หรือ เซร์คิโอ รามอส ... อีกเยอะเกินกว่าจะนับ ดังนั้นการที่ กายาร์ โดนถอยมาเล่นเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ก็นับว่าเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ทำให้เขาได้ใช้สิ่งที่เขามีให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับทีม
นอกจากจะมีวัยวุฒิที่มากพอ ตะโกนเสียงดัง สั่งการเก่ง และสื่อสารได้ดีเเล้ว การจะได้เป็นกัปตันทีมนั้นต้องมีศิลปะในการเป็นผู้นำไม่มากก็น้อย ผู้นำจะต้องไม่ใช่สักเเต่พูด พวกเขาต้องมีคุณสมบัติที่เรียกว่า “Fire in the belly but ice in the brain” (เดือดขนาดไหนจงใช้สมองทำให้เย็น)
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นตัวของ กายาร์ ในช่วงวัยรุ่นเป็นนักเตะที่ย้ายทีมบ่อย นับตั้งแต่ย้ายออกจาก มิดทิลลันด์ ในปี 2007 แล้วไปเล่นให้กับ ปาแลร์โม่, โวล์ฟสบวร์ก, โรม่า, ลีลล์ ซึ่งเป็นช่วงที่เขายังอายุไม่ถึง 25 ปี จนกระทั่งในการย้ายไปอยู่กับ เฟเนร์บาห์เช่ เมื่อปี 2015 ช่วงนั้นถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สกิลความเป็นผู้นำของเขาเบ่งบานที่สุด เพราะหลังจากนั้น 2 ปี เขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีม
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็ทำให้ กายาร์ ได้เรียนรู้ เขาเคยตะโกนด่าใส่หน้า ดิค อัตโวคาต กุนซือของทีมระหว่างการแข่งขันมาแล้ว ซึ่งการกระทำนั้นเป็นภาพที่ไม่เหมาะสมและเขาก็โดนวิจารณ์พอสมควร อย่างไรก็ตามทุกสิ่งคือประสบการณ์ หลังจากวันนั้น กายาร์ ก็กลายเป็นผู้นำที่สมบูรณ์แบบขึ้นเรื่อย ๆ
"ประสบการณ์คือสิ่งสำคัญมาก ผมเดินทางไปในหลายที่ ทุกครั้งผมเรียนรู้ตลอดเวลา และผมรู้สึกว่ามันทำให้ผมเติบโตขึ้นไม่ว่าจะเล่นเป็นการเล่นที่ เยอรมัน ฝรั่งเศส สปน หรือ ตุรกี ... โดยเฉพาะที่ เฟเนร์บาห์เช่ ที่นั่นยอดเยี่ยมมาก แฟน ๆ สนับสนุนผมและครอบครัวจนวันสุดท้ายที่ผมอยู่กับทีมเลย" กายาร์ กล่าว
หลังจากย้ายไป เซบียา กายาร์ ก็ได้รับตำแหน่งรองกัปตันทีมเนื่องด้วยลำดับความอาวุโส ขณะที่ในทีมชาติเดนมาร์ก เขาได้รับปลอกแขนกัปตันทีมมาตั้งแต่ปี 2016 ในเกมกับ บอสเนีย และสวมมันตลอดมาจนถึงทุกวันนี้
การย้ายทีมหนล่าสุดของเขายิ่งทำให้ กายาร์ เติบโตขึ้นอีก เขาย้ายมาเล่นกับ เอซี มิลาน ซึ่งเป็นทีมคนหนุ่ม เขารู้ได้ในทันทีว่าหน้าที่ของเขาที่มาที่นี่คืออะไร แม้จะไม่ได้สวมปลอกเเขนกัปตันทีม แต่เขามาที่นี่เพื่อเป็นผู้นำ ภายใต้การรับคำสั่งจาก สเตฟาโน่ ปิโอลี่ กุนซือของทีม
"วันแรกที่ย้ายมา มิลาน ปิโอลี่ เข้ามาคุยกับผมทันที สบายดีไหม? ครอบครัวเป็นยังไงบ้างกับชีวิตที่นี่? ขาดเหลืออะไรบ้าง? ... ตั้งแต่นั้นมาผมรู้เลยว่าผมจะต้องสู้ตายเพื่อโค้ชคนนี้ เมื่อเขาสั่งอะไร ผมจะทำตามที่เขาสั่ง นั่นเป็นเพราะผมให้ความเชื่อใจกับเขาไปแล้ว" กายาร์ กล่าว
"ผมเป็นคนแบบนี้แหละ ใครที่มั่นใจในตัวผม ผมก็จะมอบมันกลับไปให้พวกเขา ผมพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้นำในห้องแต่งตัวตามที่เขาบอก และผมรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ แม้กระทั่งในสนามซ้อม นักเตะหนุ่มต้องการอะไรผมก็จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ผมพยายามทำตัวเป็นแบบอย่างให้รุ่นน้องได้เห็นว่า พวกเราจะไม่มีวันหยุดนิ่งในการพัฒนา"
"พวกเขาพาผมมาที่นี่เพื่อเป็นเป็นกระบอกเสียงในห้องแต่งตัว ผมมาถึงมิลานในช่วงเวลาที่สโมสรกำลังเผชิญกับความยากลำบาก พวกเขาโดนด่าทุกสัปดาห์จากสื่อ แต่เชื่อเถอะว่า พวกเขาเป็นนักเตะที่มีคุณภาพ ผมแค่อยากให้ทุกคนไม่ท้อและถอยหลังกลับ และจะทำให้ทุกคนเข้าใจว่าพวกเรานี่แหละที่จะพามิลานกลับไปสู่จุดที่สโมสรนี้ควรอยู่" กายาร์ ว่าไว้เช่นนั้นในตอนที่ย้ายทีมมา และสุดท้าย มิลาน ก็ประสบความสำเร็จด้วยการทำอันดับไปเล่นฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ได้สัมผัสมานานพอดู
นั่นคือบทบาทของเขาทั้งในและนอกสนาม ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมกับฟินแลนด์นั้นยิ่งทำให้ภาพมันชัดเจนขึ้นกว่าเดิม
เขาคือนักเตะที่เข้าถึงตัว อีริคเซ่น เป็นคนที่ 2 ที่นอนสลบเหมือด เขาตั้งสติอย่างรวดเร็ว ก่อนเอามือล้วงปากเพื่อไม่ให้อีริคเซ่น กัดลิ้นตัวเอง และตะโกนสั่งทีมแพทย์ให้รีบเข้ามาดูอาการ จากนั้นสั่งเพื่อนร่วมทีมให้สร้างกำเเพงมนุษย์เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วย เข้าไปปลอบโยนภรรยาของ อีริคเซ่น ที่กำลังเสียขวัญ และอยู่กับเธอจนสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย … เขาควรจะได้รางวัล Man of The Match สำหรับค่ำคืนนี้
ทั้งโลกได้เห็นความเป็นผู้นำของเขาแล้ว แม้เขาจะเป็นนักเตะที่ไม่เคยประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ใด ๆ ตลอดอาชีพการค้าแข้ง ... แต่นั่นไม่ได้สำคัญอะไรอีกต่อไป เพราะสิ่งที่เขาทำมันยิ่งใหญ่มากกว่าชัยชนะครั้งไหน
เพราะการเป็นคนกล้าหาญไม่ใช่คุณสมบัติที่จะเป็นกันได้ทุกคน กายาร์ สั่งสมประสบการณ์ ผ่านโลกฟุตบอลในหลากหลายประเทศ เติบโตขึ้นในฐานะนักเตะดาวรุ่งสู่กัปตันทีม และมันก็สุกงอมพอที่จะทำให้เขาได้ตกผลึกว่าเขาควรต้องทำสิ่งใดบ้างในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้
"ผมไม่ใช่พวกที่อยู่ด้วยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แต่ผมเป็นพวกที่ชอบลงมือทำ ตั้งแต่ถุงเท้าคู่แรกที่ผมสวมใส่ มาจนถึงคู่ที่ใช้ในทุกวันนี้ผมสวมมันด้วยวิธีที่ถูกต้องเสมอมา ไม่ใช่แค่ก่อนเกมจะเริ่มต้นขึ้น แต่ผมทำมันในทุก ๆ เช้าที่ผมลืมตา"
ซิมน กายาร์ ได้แสดงให้เห็นเเล้วว่าเขาเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมขนาดไหนในยูโร 2020 ครั้งนี้ แม้จะยังแข่งไม่จบ แต่เขาก็เป็นพระเอกในสายตาแฟนบอลทั่วโลกไปเเล้วเรียบร้อย
อัลบั้มภาพ 45 ภาพ