การหวนกลับมาพบกันของคู่ปรับแห่งโชคชะตา
การที่คนอย่างโจเซ่ มูรินโญ่ ยอมรับอย่างเต็มปากว่า “นับถือ” นักฟุตบอลคนใดคนหนึ่งเป็นอย่างมาก และยังเสียดายไม่หายที่ไม่สามารถคว้าตัวนักเตะคนนั้นมาร่วมทีมได้ แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานเกือบ 10 ปีแล้ว เป็นการแสดงให้เห็นถึง “คุณค่า” และ “ความยิ่งใหญ่” ของนักเตะคนนั้นได้เป็นอย่างดี
สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด เป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ถึงระดับนั้น
อย่างไรก็ดี ยังไม่แน่ชัดว่า Captain Fantastic ของเดอะ ค็อป จะลงสนามในเกมที่แอนฟิลด์คืนนี้ได้หรือไม่ จากอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นขาที่ทำให้ไม่สามารถลงสนามได้ในเกมกับแอสตัน วิลล่า ที่วิลล่า ปาร์ค เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา
แต่ไม่ว่าจะมีเจอร์ราร์ด ในสนามหรือไม่ - เกมนี้เป็นเกมที่สำคัญต่อเขาและต่อลิเวอร์พูลอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงว่านี่คือฤดูกาลสุดท้ายของเจอร์ราร์ดในสีเสื้อแดงเพลิง โทรฟี่ลีก คัพ คือความสำเร็จสุดท้ายที่ใกล้เคียง “ความจริง” มากที่สุดสำหรับเขามากกว่าเอฟเอ คัพ ที่ถูกคาดหวังว่าจะเป็นการปิดฉากอย่างสวยงามที่สุดที่เวมบลีย์ เพราะตรงกับวันเกิดอายุครบ 35 ปีพอดี ซึ่งจะเป็นการปิดฉากแบบ “ความฝัน”
ดังนั้นไม่ว่าเจอร์ราร์ด จะลงสนามไหวหรือไม่ ลิเวอร์พูล ต้องพยายามให้ถึงที่สุดเพื่อเก็บชัยชนะให้ได้ หรืออย่างน้อยต้องรักษาความหวังในการลุ้นเข้าชิงชนะเลิศที่เวมบลีย์ให้ได้
แน่นอนครับว่ามันไม่ง่าย เมื่อคู่แข่งคือเชลซี ทีมที่แข็งแกร่งและใกล้เคียงคำว่าสมบูรณ์แบบมากที่สุดในอังกฤษเวลานี้ ในขณะที่พวกเขายังพยายามกลับสู่เส้นทางของความสำเร็จอีกครั้ง
สถานการณ์มันจึงคล้ายกับเมื่อ 10 ปีก่อน ที่พวกเขาพบกันในรอบชิงชนะเลิศของรายการนี้ ก่อนจะพบกันอีกครั้งในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลิเวอร์พูล และเชลซี พบกันบ่อยจนแทบจะเบื่อไปข้างหนึ่ง
ในรอบชิงชนะเลิศในปีนั้นจัดขึ้นที่มิลเลนเนียม สเตเดี้ยม ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายเริ่มต้นได้เหมือนฝันเมื่อ ยอห์น อาร์เน รีเซ่ ทำประตูขึ้นนำได้ก่อนตั้งแต่นาทีแรก แต่สุดท้ายพวกเขาต้านทานไม่ไหว พลาดโดนตีเสมอในนาทีที่ 79 จากการโหม่งเข้าประตูตัวเองของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษกัน
สุดท้าย เชลซี ได้อีก 2 ประตูจาก ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา และมาเตยา เคซมัน ซึ่งแม้อันโตนิโอ นูนเญซ จะตีตื้นให้ลิเวอร์พูล ได้หลังจากเสียประตู 3-1 แค่นาทีเดียว แต่สุดท้ายเกมจบลงด้วยชัยชนะของเชลซี 3-2 และเป็นแชมป์แรกของ มูรินโญ่ บนแผ่นดินอังกฤษ
ขณะที่รอบรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก 2 นัดในปีนั้น ลิเวอร์พูล สู้ขาดใจโดยยันเสมอที่ “เดอะ บริดจ์” ได้ 0-0 ก่อนจะกลับมาเฉือนเอาชนะได้ 1-0 ในเกมที่แอนฟิลด์จากประตู “ผีหลอก” ของหลุยส์ การ์เซีย และท้ายที่สุด เจอร์ราร์ด ได้ชูถ้วยโทรฟี่บิ๊กเอียร์
การหวนกลับมาพบกันในครั้งนี้ ลิเวอร์พูล ยังอยู่ระหว่างเส้นทางของการคืนสู่ความยิ่งใหญ่ ที่คล้ายจะพบในปีที่แล้วแต่พวกเขาบรรจบกับความจริงที่โหดร้ายในฤดูกาลนี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในฤดูกาลของความฝัน 2013-14 เป็นเพียงภาพลวงตา
เชลซี ต่างหากที่เป็นของจริงเมื่อ มูรินโญ่ ได้ 2 ขุนพลเอกอย่าง เซสก์ ฟาเบรกาส และดีเอโก้ คอสต้า เข้ามาเสริมทัพทำให้จิ๊กซอว์ทีมของมูรินโญ่ ถ้าไม่เรียกว่าสมบูรณ์แบบก็นับว่าใกล้เคียงกับสถานะนั้นอย่างมาก และนั่นทำให้พวกเขายังรักษาความหวังทั้ง 4 รายการได้ในเวลานี้ แบบมีความหวังที่จะพิชิตได้ทั้งหมดด้วย
แน่นอนว่าทีมของมูรินโญ่ ไม่มีคำว่า “เมตตา” ให้กับคู่แข่ง และพร้อมจะเอาจริงเสมอไม่ว่าจะเป็นรายการใด เพียงแต่ด้วยความที่ยังมีเกม “วัดแชมป์” กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในสุดสัปดาห์นี้ อาจทำให้ความจริงจังนั้นลดลงไปบ้าง เพราะยังสามารถเน้นผลการแข่งไม่ให้แพ้แล้วรอเผด็จศึกที่เดอะ บริดจ์ ในเกมที่ 2 ได้
แต่นั่นไม่ได้หมายถึงการอ่อนข้อให้แต่อย่างใด
คำถามใหญ่ของเกมจึงอยู่ที่ ลิเวอร์พูล ในเวอร์ชั่นที่เริ่มลงตัวมากขึ้นกว่าการพบกันครั้งสุดท้ายที่แอนฟิลด์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน จะสามารถต่อกรกับเชลซี ที่อาจไม่เต็มร้อยนักในเกมนี้ได้มากหรือน้อยแค่ไหน
เชลซี จะเป็นคำตอบให้ได้ว่าลิเวอร์พูล ของเบร็นแดน ร็อดเจอร์ส กลับมาเป็นทีมเดิมในฤดูกาลที่แล้ว หรือหลายนัดที่ผ่านมาในรอบเดือน - ซึ่งไม่มีโปรแกรมกับทีมใหญ่เลย - เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
และคงเป็นเกมที่เราจะได้รู้ว่า เจอร์ราร์ด จะมีความหวังที่จะได้ชูโทรฟี่สุดท้ายในชีวิตหรือไม่
หรือจะได้เพียงแค่จับมือกับมูรินโญ่หลังจบเกม ด้วยความรู้สึก “เสียดาย” เล็กๆ ที่ไม่ได้ย้ายไปร่วมทีมเชลซี ทีมที่อาจทำให้เขาได้สัมผัสโทรฟี่มากกว่านี้อีกหลายเท่านัก
"ดังนั้นไม่ว่าเจอร์ราร์ด จะลงสนามไหวหรือไม่ ลิเวอร์พูล ต้องพยายามให้ถึงที่สุดเพื่อเก็บชัยชนะให้ได้ หรืออย่างน้อยต้องรักษาความหวังในการลุ้นเข้าชิงชนะเลิศที่เวมบลีย์ให้ได้"
สถิติของสตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ในการพบเชลซี (ทุกรายการ)
จำนวนนัด 36
ลงตัวจริง 35
จำนวนนาที 3,139
ชนะ 11
เสมอ 9
แพ้ 16
ประตู 1
เรื่องโดย : ลูกแม่กิ่ง