ตำนาน เดนิช ไดนาไมต์ : 1992 ปาฏิหาริย์ครั้งแรกของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป

ตำนาน เดนิช ไดนาไมต์ : 1992 ปาฏิหาริย์ครั้งแรกของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป

ตำนาน เดนิช ไดนาไมต์ : 1992 ปาฏิหาริย์ครั้งแรกของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่คาดเดาผลการแข่งขันได้ยาก หลายครั้งทีมที่เป็นรองสามารถเอาชนะทีมที่เป็นต่อได้หลังจากการแข่งขัน 90 นาทีจบลง

อย่างไรก็ตาม มีเพียงแค่ไม่กี่ครั้งที่ทีมระดับมวยรองบ่อนสามารถไปได้ตลอดรอดฝั่งในการต่อสู้ชิงแชมป์ลีกหรือทัวร์นาเมนต์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ความพยายาม ความสามารถ และความสม่ำเสมอ จนพวกเขากลายเป็นแชมเปี้ยน 

เลสเตอร์ ซิตี้ กับแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2015-16, กรีซ กับแชมป์ยุโรป ปี 2004 หรือแม้แต่ ลีลล์ ที่เป็นแชมป์ลีกฝรั่งเศสเมื่อฤดูกาล 2020-21 คือตัวอย่างของทีมที่สามารถใช้คำว่า "เทพนิยาย" ได้เต็มปาก

 

แต่นี่คือเรื่องราวของต้นฉบับเทพนิยายโลกฟุตบอลครั้งแรก เรื่องราวของทีมชาติ เดนมาร์ก ที่เข้าแข่งขันในฐานะมวยแทนในรายการยูโร 1992 ... และพวกเขาจบทัวร์นาเมนต์ด้วยการเป็นแชมเปี้ยน 

Main Stand จะมาเล่าถึงเรื่องราวเทพนิยายเดนส์ให้ได้ฟังกันที่นี่

ปาฏิหาริย์ของจริง ... 

เทพนิยายเดนส์ เป็นเรื่องราวที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้เลย เพราะก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มแข่งขัน เดนมาร์ก ทำได้ไม่ดีนักในการแข่งรอบคัดเลือก เพราะทีมในกลุ่มของพวกเขาคือ ยูโกสลาเวีย, ไอร์แลนด์เหนือ, ออสเตรีย และหมู่เกาะแฟโร 

ทีมชาติเดนมาร์กอยู่ภายใต้การคุมทีมของ ริชาร์ด โมลเลอร์ นีลเซ่น ที่มีปัญหาภายใน เนื่องจากตัวของโค้ชกลับไม่ลงรอยกับกลุ่มนักเตะระดับสตาร์ของทีมอย่าง ไมเคิล เลาดรู๊ป ตัวรุกจากสโมสร บาร์เซโลน่า และ ไบรอัน เลาดรู๊ป น้องชายของเขาที่เล่นให้กับ บาเยิร์น มิวนิค จนถึงขั้นที่ว่า 2 พี่น้องเลาดรู๊ป เคยประกาศเลิกเล่นทีมชาติมาแล้ว ซึ่งนั่นเป็นเหตุให้ความวุ่นวายในแคมป์เกิดขึ้น จนทำให้ผลงาน 3 เกมแรกของ เดนมาร์ก ย่ำแย่มาก ชนะ หมู่เกาะแฟโร แค่ทีมเดียว มองไม่เห็นโอกาสเข้ารอบเลยแม้แต่น้อย

 

อย่างไรก็ตามการประกาศเลิกเล่นของ 2 พี่น้อง เลาดรู๊ป กลับนำมาซึ่งทีมเวิร์กที่ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ 5 เกมหลังจากนั้น เดนมาร์ก ชนะทุกนัด แต่มันก็ยังไม่พอสำหรับการเข้ารอบ เพราะในยูโรครั้งนั้นทีมที่จะได้ไปเล่นในรอบสุดท้ายต้องเป็นแชมป์กลุ่มในรอบคัดเลือกเท่านั้น ซึ่งตำแหน่งดังกล่าวตกเป็นของยูโกสลาเวีย 

หลังจากเส้นทางถูกตัดตอนตั้งแต่รอบคัดเลือก โค้ช  ริชาร์ด โมลเลอร์ นีลเซ่น ที่เริ่มได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารและแฟนบอลมากขึ้น มองไปถึงการทำทีมเลือดใหม่โดยไร้ 2 พี่น้อง เลาดรู๊ป ไปแล้ว ทว่าช่วงเวลาแห่งปาฏิหาริย์ก็ได้เริ่มถูกนับ 1 ขึ้นมาใหม่ เมื่ออยู่ดี ๆ พวกเขาก็ถูกเชิญให้เข้าแข่งขัน ยูโร 1992 รอบสุดท้าย ที่ประเทศสวีเดนเป็นเจ้าภาพ ก่อนการแข่งขันจะเริ่มเพียงแค่ 1 อาทิตย์เท่านั้น 

เหตุผลเนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าว ยูโกสลาเวีย กำลังเกิดปัญหาสงครามกลางเมือง โดยสงครามครั้งนี้กินเวลาลากยาวถึง 10 ปี (1991-2001) และมีความซับซ้อนอย่างมาก เพราะมีสงครามซ้อนสงครามอย่างต่อเนื่อง จากการที่กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ทั้ง สโลวีเนีย, โครเอเชีย, บอสเนีย (ก่อน ยูโร 1992) รวมถึง โคโซโว (หลัง ยูโร 1992) ต้องการแยกตัวเป็นเอกราช นำมาซึ่งการสังหารหมู่ จนมีผู้เสียชีวิตรวมกันทั้งหมดกว่า 100,000 คน

ซึ่งในช่วงที่กำลังจะมีศึกยูโร 1992 นั้น ยูโกสลาเวีย ได้เปิดศึก 2 ด้าน ทั้งสงครามกับโครเอเชีย และบอสเนีย จนทำให้ ฟีฟ่า และ ยูฟ่า สั่งคว่ำบาตร ตัดสิทธิ์ในการเข้าแข่งขันในยูโร 1992 ไปโดยปริยาย

 

"สงครามกลางเมืองในยูโกสลาเวียร้อนแรงขึ้น มันทำให้มีนักเตะทีมชาติของเราหลายคนแอบหวัง และเตรียมพร้อมว่าเราจะถูกส่งชื่อเข้าไปแข่งขันแทน เรารู้หลังจากได้ข่าวว่าเริ่มมีตัวแทนฝ่ายเราเข้าไปเจรจาเรื่องนี้กับ ยูฟ่า สุดท้ายมติการตัดสิทธิ์ ยูโกสลาเวีย ก็เกิดขึ้นจริง และเมื่อเป็นแบบนี้ เดนมาร์ก ไม่มีทางปฏิเสธ ... เราไปแน่นอน" คิม วิลฟอร์ด นักเตะกองกลางในทีมชุดนั้นกล่าวกับ BBC 

"เรามีทีมที่ดี เรารู้เพราะเราเคยเอาชนะ ยูโกสลาเวีย ในรอบแบ่งกลุ่มมาแล้ว และเราไม่กลัวแม้จะถูกจัดให้แข่งกับ สหภาพโซเวียต โดยรู้ก่อนแข่งแค่ 1 สัปดาห์ ... เราไม่มีทางล้มเหลว เพราะเราไม่ได้ถูกคาดหวังอะไรเลย ต่อให้แพ้ 0-5 ทั้ง 3 นัด ก็ช่างมัน ไม่สำคัญอะไรเท่ากับการได้รับโอกาสนี้" เขากล่าวต่อ 

งานหนักคือหน้าที่ของโค้ช นีลเซ่น ที่จะต้องรวมทีมกลับมาให้ได้ทันเวลา หนนี้เขาได้เปิดห้องจับเข่าคุยกับ 2 พี่น้อง เลาดรู๊ป เพื่อเคลียร์ใจกับเรื่องในอดีตที่ผ่านมา


Photo : www.worldsoccer.com

แม้สุดท้ายการสมานฉันท์ได้เกิดขึ้น ทว่าสองพี่น้องมีความคิดไม่ตรงกัน ไบรอัน น้องชายโอเคที่จะมารับใช้ชาติ ทว่า ไมเคิล พี่ชาย กลับมองว่าโอกาสประสบความสำเร็จจากการเข้ามาเป็นมวยแทนในวินาทีสุดท้ายนั้นต่ำต้อยเหลือแสน นั่นทำให้ ไมเคิล ปฏิเสธการรับใช้ชาติใน ยูโร 1992 เพื่อไปพักร้อนต่อ เหลือเพียง ไบรอัน คนเดียวในทีมชุดดังกล่าว

 

"ผมไม่เคารพ ริชาร์ด โมลเลอร์ นีลเซ่น ในฐานะโค้ชเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นการหยุดลงเล่นให้ทีมชาติไปเลยคงจะดีกว่า ผมไม่สามารถแสดงความเป็นตัวเองออกมาได้เมื่อมีเขาเป็นผู้ฝึกสอน เเละเขาเองก็ไม่ชอบผมในฐานะนักเตะคนหนึ่งเหมือนกัน" ไมเคิล เลาดรู๊ป กล่าว

การไร้ดาวเตะอันดับ 1 ของชาติ คือความเสียหายครั้งสำคัญ ไมเคิล คิดแบบนั้นก็ไม่ผิดนัก เพราะคงไม่มีใครกล้าคิดว่า เดนมาร์ก ที่ต่อให้มีเขา จะไปได้ไกเกินกว่ารอบแบ่งกลุ่ม ภายใต้เพื่อนร่วมสายที่แข็งโป๊กครบถ้วนนี้ ... แต่ที่สุดเเล้วชีวิตต้องเดินต่อไป ฟุตบอลคือกีฬาที่เล่นเป็นทีม ต่อให้ไม่มี ไมเคิล เลาดรู๊ป ก็ไม่ใช่เหตุผลที่พวกเขาจะถอดใจ จนปอดแหกไม่กล้าสู้ 

นีลเซ่น เรียกนักเตะทั้งหมดเข้าร่วมแคมป์ ทั้ง 20 คน เข้ารับฟังคำกล่าวของเฮดโค้ชครั้งแรกในช่วงการซ้อม เพื่อเข้าใจว่า "พวกเขาจะเข้าแข่งขันในฐานะไหน ?" ซึ่งโค้ชนีลเซ่น ทำให้ทุกคนต้องขำก๊าก เพราะเขาพูดว่า "ฟังนะเด็ก ๆ เราจะไปที่สวีเดนและลงเล่นด้วยความคาดหวังที่จะเป็นแชมป์เท่านั้น"

มาเนิบ ๆ แต่เล่นแน่น ๆ 

ฟุตบอลยูโร 1992 มีเพียง 8 ทีมเท่านั้น ในรอบสุดท้าย แตกต่างจากปัจจุบันที่มี 24 ทีม โดยรอบแบ่งกลุ่ม แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มเอ และกลุ่มบี นั่นหมายความว่าหากติด 1 ใน 2 อันดับแรกของกลุ่ม ก็จะทะลุเข้ารอบรองชนะเลิศทันที

 

แต่ เดนมาร์ก ต้องอยู่กลุ่มเอ กลุ่มเดียวกับ สวีเดน, อังกฤษ และ ฝรั่งเศส ... แข็งโป๊กทั้งนั้น ไม่แปลกที่นักเตะหลายคนจะหัวเราะกับสิ่งที่โค้ชนีลเซ่นบอก พวกเขาไม่น่าจะมีแววเข้ารอบเลยด้วยซ้ำหากฟังจากชื่อทีมทั้งหมดที่กล่าวมา 


Photo : cultofcalcio.com

โค้ชนีลเซ่น สั่งให้ทีมเล่นแบบระมัดระวังและซื้อเกมรับไว้ก่อนเป็นอันดับแรก พวกเขามี ปีเตอร์ ชไมเคิล เป็นผู้รักษาประตู และมีกองหลังทั้งหมดถึง 5 ตัว ในแผนการเล่นระบบ 5-3-2 เรียกได้ว่าขอแค่ไม่เสียไว้ก่อนเป็นใช้ได้ 

แผนนี้ทำได้ดีในเกมกับอังกฤษ ที่นำโดย แกรี่ ลินิเกอร์, เดวิด แพล็ตต์ และ อลัน สมิธ เพราะ เดนมาร์ก ต้านสุดชีวิต ไม่ใช้ตัวสำรองเลยแม้แต่ตัวเดียว จนสามารถยันสกอร์ไว้ได้ที่ 0-0 ในท้ายที่สุด พวกเขาได้แต้มแรกและกำลังมั่นใจ จนกระทั่งมาถึงนัดที่ 2 พวกเขาต้องมาเจอกับเพื่อนบ้านที่เป็นเจ้าภาพในการแข่งขันครั้งนี้ 

สวีเดน คือพี่ใหญ่ในวงการฟุตบอลแห่งย่านนอร์ดิก พวกเขามีนักเตะเก่ง ๆ ไม่น้อย มาร์ติน ดาห์ลิน จาก กลัดบัค, โทมัส โบรลิน จาก ปาร์ม่า, อันเดอร์ส ลิมปาร์ จาก อาร์เซน่อล และ สเตฟาน ชวาร์ซ จาก เบนฟิก้า คือชื่อต้น ๆ ของพวกเขา

 

สวีเดน นั้นใช้ความเป็นเจ้าภาพและพี่ใหญ่ที่ผูกปีชนะ เดนมาร์ก (สถิติการเจอกันของทั้ง 2 ชาติ นับถึงปี 2021 พบกัน 107 ครั้ง สวีเดน ชนะ 46 เดนมาร์ก ชนะ 21 เสมอ 20) ได้อย่างยอดเยี่ยม พวกเขาเอาชนะ เดนมาร์ก ไป 1-0 จากประตูของ โทมัส โบรลิน และปล่อยให้ เดนมาร์ก ต้องมาชิงตั๋วเข้ารอบในนัดสุดท้ายที่ต้องพบกับฝรั่งเศส ที่นำทัพโดย เอริค คันโตน่า และ ฌอง ปิแอร์ ปาแป็ง 2 ดาวยิงแห่งยุค

แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ เดนมาร์ก จะหวังเป็นผู้ชนะ เพราะหลังผ่าน 2 เกมแรก พวกเขามีเกมรุกที่แย่ที่สุดในกลุ่ม ยิงประตูใครไม่ได้เลย อีกทั้งครั้นจะให้เกมรับยันนักเตะตัวรุกอย่าง คันโตน่า และ ปาแป็ง ก็ดูจะเป็นไปได้ยากมาก ... กับสถานการณ์ที่ต้องชนะ 

"เรารู้ว่าการที่เราจะชนะฝรั่งเศสได้เราต้องทำอะไรที่พิเศษกว่าที่เคย ฝรั่งเศสนักเตะเก่งเพียบ แค่บอกชื่อ ปาแป็ง กับ คันโตน่า คนอื่นก็ขาสั่นแล้ว พวกเขาจะบุกใส่เราแน่ เพราะพวกเขาอยากจะเข้ารอบและต้องกดดันมากกว่าเรา ดังนั้นเราต้องเซอร์ไพรส์พวกเขา เราจะเล่นเกมรุกให้พวกเขาดูและเราจะทำมันตั้งแต่ช่วง 10 นาทีแรกของ ถ้ายิงได้ก่อน พวกเขาจะต้องช็อกแน่นอน" ไบรอัน เลาดรู๊ป กล่าว   

นักเตะ เดนมาร์ก ถูกกุนซือ นีลเซ่น วางแผนมาให้เล่นบอลคอนโทรลโดยเฉพาะ และพวกเขาทำได้ตามแผนจริง ๆ ฝรั่งเศส ช็อกกับสถานการณ์ที่อยู่ ๆ เดนมาร์ก ที่เล่นเกมรับมาตลอด 2 เกมแรก เดินหน้าบุกใส่ตั้งแต่นกหวีดดัง และเพียง 8 นาที เฮนริก ลาร์เซ่น ก็ทำประตูได้ จากการเล่นลูกเซ็ตพีซ ที่โยนยาวตั้งแต่ครึ่งสนามและวัดกันในกรอบเขตโทษด้วยความแข็งแกร่ง 


Photo : www.goal.com

"ลาร์เซ่น ยิงได้เหลือเชื่อ พวกเขาช็อก ขณะที่เรามั่นใจในตัวเองขึ้นอีกเป็นกอง จังหวะนั้นเปลี่ยนทุกอย่างเลย เราทะลุไปถึงรอบรองชนะเลิศทันที (ชนะ 2-1) และ ริชาร์ด โมลเลอร์ นีลเซ่น ก็เริ่มเป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง เพราะในตอนแรกไม่มีใครคิดด้วยซ้ำว่าเราจะได้สักแต้มในรอบแบ่งกลุ่ม" เลาดรู๊ป ผู้พี่กล่าว 

เส้นทางที่รออยู่ เดนมาร์ก ต้องพบกับ เนเธอร์แลนด์ ที่นำโดยด้วยกลุ่มนักเตะชุดคว้าแชมป์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว  อาทิ มาร์โก ฟาน บาสเท่น และนักเตะดาวรุ่งที่กำลังเล่นได้ดีสุด ๆ อย่าง เดนนิส เบิร์กแคมป์ 

หากไม่ผ่านทีมอย่าง ฝรั่งเศส และ อังกฤษ มาก่อน โอกาสที่นักเตะเดนมาร์กจะถอดใจมีสูงมาก พวกเขาไม่น่าสู้แชมป์เก่าได้ ... แต่ตอนนี้ เดนมาร์ก ไม่จำเป็นต้องกลัวใครแล้ว ชัยชนะอีก 2 นัด จะทำให้พวกเขากลายเป็นแชมป์ ตอนนี้พวกเขามั่นใจสุดขีดว่าถ้าพวกเขาทำตามแผนที่วางไว้ อดทนตั้งรับ เล่นเกมยาว และสวนให้แม่น ... พวกเขามีโอกาสชนะได้ทุกทีม

บอลรับตำรับน็อกเอาต์

การเล่นฟุตบอลทัวร์นาเมนต์มีเสน่ห์อยู่อย่างหนึ่ง คือเมื่อถึงรอบน็อกเอาต์แล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ทีมที่รู้จักตัวเองและรู้จักคู่แข่งดีที่สุด คือทีมที่อันตรายที่สุด ซึ่ง เดนมาร์ก น่าจะเป็นทีมแบบนั้น

พวกเขารู้ว่าพวกเขาจะใช้อาวุธลับด้วยการเล่นเกมบุกใส่เหมือนกับเกมปะทะฝรั่งเศสไม่ได้อีกแล้ว เพราะ เนเธอร์แลนด์ ได้เห็นวิธีการเข้าทำแบบ เดนมาร์ก มาแล้ว ดังนั้น เดนมาร์ก ต้องกลับคืนสู่สามัญ นั่นคือการเล่นด้วยเกมรับและความอดทนอีกครั้ง ... ไม่มีนักเตะคนไหนชอบเล่นเกมรับ แต่บางครั้งเพื่อเป้าหมายที่ต้องการ ใช้กลยุทธ์ที่ถูกต้องและเหมาะสมกับศักยภาพของตัวเองที่สุด


Photo : www.bt.dk

"หลังจากชนะฝรั่งเศส เราเริ่มจะรู้จักความกดดันบ้างแล้ว เราจะต้องเจอกับแชมป์เก่า และนั่นทำให้เราประหม่ากันพอสมควร เรากดดันยิ่งกว่าการเล่นกับฝรั่งเศส เราจับเข่าคุยกันอีกครั้งและพบว่าเราต้องกลับสู่สิ่งที่เราถนัดที่สุด คือการเล่นเคาน์เตอร์อีกครั้ง" ไบรอัน เลาดรู๊ป กล่าว 

5 นาทีแรก เดนมาร์ก ทำเซอร์ไพรส์ได้อีกครั้ง เฮนริก ลาร์เซ่น ยิงได้ในต้นเกมอีกแล้ว จากบอลโต้กลับและโยนให้โหม่งแบบเบสิก ๆ พวกเขาพยายามตั้งรับเพื่อให้สกอร์จบแค่นั้น แต่ เนเธอร์แลนด์ นั้นมีเกมรุกดุดัน เบิร์กแคมป์ ตีเสมอได้ในนาทีที่ 23  แต่เดนมาร์ก คุยเรื่องนี้กันมาก่อนแล้ว พวกเขารู้ว่าจะต้องโดนยิงประตู แต่วิธีการคือ พวกเขาจะเล่นเหมือนเดิม โต้กลับและชวนทะเลาะจนนาทีสุดท้าย 

"เบิร์กแคมป์ ยิงได้ แต่เราไม่สะทกทะท้าน เรารู้ว่าเรามีพลังงานมากพอ (จะยื้อจนหยดสุดท้าย) ก่อนพักครึ่งเราก็ทำได้ ลาร์เซ่น ยิงได้อีกแล้ว เราคิดว่าจะเอาสกอร์นี้แหละ แต่ เนเธอร์แลนด์ นั้นไม่เคยถอดใจเหมือนกัน ก่อนหมดเวลา 4 นาที แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด ยิงตีเสมอ 2-2 แล้วเราก็เล่นกันจนถึงต่อเวลาพิเศษ ก่อนจะจบลงด้วยสกอร์นั้น"  

"ตอนแรกเราคิดว่าเราผิดหวังนะที่โดนยิงท้ายเกมจนพลาดชัยชนะ แต่ผมก็ย้อนมาถึงช่วงก่อนที่จะแข่ง ... ตอนนั้นเราคิดว่าแค่ไม่แพ้ก็ดีแล้ว ยันเสมอจนมาถึงการดวลจุดโทษคือเป้าหมายของเรา เพราะเรารู้ว่า ปีเตอร์ ชไมเคิล จะต้องทำได้" เลาดรู๊ป เล่าต่อ 


Photo : www.bt.dk

ชไมเคิล ปัดป้องลูกยิงของ มาร์โก ฟาน บาสเท่น ได้ในการยิงคนที่ 2 ของ เนเธอร์แลนด์ ขณะที่ เดนมาร์ก ซ้อมยิงจุดโทษมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ มือยิงของพวกเขาทั้ง 5 ไม่พลาดเป้าเลยแม้แต่คนเดียว นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ เดนมาร์ก เอาชนะและเข้ารอบชิงชนะเลิศได้แบบช็อกโลก

เดนมาร์ก ที่ทุกคนไม่กล้ามองข้าม 

จากทีมรับเชิญ ตอนนี้พวกเขาไล่เก็บทีมใหญ่ ๆ มาแล้ว 2 นัดติดต่อกันและได้ฉายาว่า "เดนิช ไดนาไมต์" และคู่แข่งในนัดชิงชนะเลิศของพวกเขาคือ เยอรมัน ... ทีมอินทรีเหล็กเพิ่งคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1990 มา (ในฐานะ เยอรมันตะวันตก ก่อนรวมชาติเป็นหนึ่งใน ยูโร 1992 เป็นรายการแรก) และแกร่งทั่วแผ่น แนวรับมี อันเดรียส เบรห์เม่ กับ เยอร์เก้น โคห์เลอร์ ขณะที่แดนกลางเป็น สเตฟาน เอฟเฟนแบร์ก และ โทมัส เฮสเลอร์  

รูปเกมเป็นไปตามที่ทุกคนคาด เยอรมัน เปิดเกมบุกเต็มพิกัด ยิงแล้วยิงอีก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงไม่ได้ประตูขึ้นนำ ... พวกเขาไม่มีโชค เดนมาร์กโชคดี หรือ ปีเตอร์ ชไมเคิล โหดเกินมนุษย์มนากันแน่ ? 


Photo : www.fifa.com

"ผมเลือกไม่ถูกเลยว่าเป็นเกมที่ดีที่สุดของพวกเราในนามทีมชาติ หรือเป็นเกมที่เยอรมันโชคร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของเขากันแน่" คิม คริสตอฟต์ กองหลังของ เดนมาร์ก กล่าว 

เดนมาร์ก ถูกโค้ช นีลเซ่น กระตุกจิตกระชากใจ เขาพยายามทำให้ลูกทีมเชื่อว่าเกมนี้เราจะเป็นฝ่ายชนะ อย่ากลัวที่จะโดนบุก อย่ากลัวที่จะเสียประตู อย่ากลัวที่จะเข้าปะทะ ... ซึ่งประตูแรกของพวกเขาเกิดขึ้นจากการที่ จอห์น ซิเวอเบ็ก แบ็คขวาของทีมเข้าปะทะหนักใส่ เยอร์เก้น โคห์เลอร์ ก่อนที่ เดนมาร์ก จะได้บอลที่ริมเส้นฝั่งขวาและปาดเข้ากลางตามสูตรให้กับ จอห์น เยนเซ่น ยิงประตูสุดสวยให้ เดนมาร์ก ขึ้นนำ 1-0 

เยอรมันพยายามมาก แต่ ชไมเคิล ก็ไม่เคยปล่อยให้ใครยิงบอลผ่านมือเขาได้เลย พอเป็นแบบนั้นมาก ๆ เข้า เดนมาร์ก ก็ยิ่งมั่นใจ พวกเขาเล่นแบบเดิมคือชวนทะเลาะและจัดการประตู 2-0 ในนาทีที่ 78 พอได้ประตูนั้น เยอรมัน พร้อมจะยอมรับความพ่ายแพ้ทันที ...

"ผมรู้ได้เลยว่า เยอรมัน กำลังจะยอมแพ้ โดนยิงแบบนี้มันมากเกินไปสำหรับพวกเขาที่ยิงกระหน่ำแทบทั้งเกม เราเอาโชคของคนทั้งโลกมารวมกันที่สนามแห่งนี้ พวกเขาเล่นดีกว่าเรามาก แต่ ปีเตอร์ ชไมเคิล อยู่ในฟอร์มระดับมนุษย์ต่างดาว เขาเก่งหลุดโลกไปแล้ว ลูกโหม่งของ คลิ้นส์มันน์ แรงและพุ่งจะเสียบสามเหลี่ยมอยู่แล้ว แต่เขาปัดออกมาได้ด้วยมือเดียว ทุกคนพูดพร้อมกัน ... โอ้พระเจ้า ปีเตอร์ มันไปกินอะไรมาวะเนี่ย" เลาดรู๊ป กล่าว


Photo : www.givemesport.com

เดนมาร์ก จบการแข่งขันครั้งนั้นด้วยการเป็นแชมป์ยุโรป และเป็นแชมป์ครั้งประวัติศาสตร์ พวกเขาให้เครดิต ริชาร์ด โมลเลอร์ นีลเซ่น ที่รวมทีมในเวลาแค่ 1 สัปดาห์ และยัดทุกอย่างที่ทำให้ลูกทีมของเขาไม่ได้ลงแข่งขันไปแบบไม่คาดหวังอะไร พวกเขาลงเล่นเพื่อเป็นแชมป์ และทำได้จริง ๆ 

“นี่คือผลงานของทั้งทีมอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้เล่นหลายคนมาจาก บรอนด์บี้ สโมสรที่เป็นรากฐานของทีมชาติ พวกเราบางคนอาจจะไปเล่นในต่างประเทศแล้ว แต่เราเอาประสบการณ์ตรงนั้นมาช่วยทุกคน สิ่งสำคัญจริง ๆ โมลเลอร์ นีลเซ่น ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม”

"เขาคือสุดยอดนักจิตวิทยา เขาหลอกล่อ ล่อลวง และกระตุ้นเราทั้งทางตรงและทางอ้อม เขาพยายามมาก ๆ ที่จะทำให้ทุกคนเชื่อว่าเราจะชนะได้จริง ๆ ทำใหทุกคนเชื่อว่าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สามารถเป็นไปได้" เลาดรู๊ป กล่าว

เดนมาร์ก ขนโทรฟี่แชมป์จาก สวีเดน เดินทางกลับบ้าน จากทีมที่ไม่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย, ไม่ฟิต 100% กลายเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ถึงขั้นเป็นแชมเปี้ยน หน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับบอกเล่าเรื่องราวความมหัศจรรย์ระดับปาฏิหาริย์ครั้งแรกของโลกฟุตบอล 


Photo : optus.com.au

"เราเริ่มต้นด้วยความพยายามก่อน ทุกคนรู้ว่านี่คือรายการที่จะไม่มีที่ว่างให้ความผิดพลาด คุณต้องแสดงออกตั้งแต่วันแรกที่การแข่งขันเริ่มขึ้น พวกเราทุกคนลงเล่นพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า เราสามารถคว้าแชมป์ และบรรลุผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ... มันสุดยอดเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริง แน่นอนว่ามันจะฝังใจเราไปจนวันสุดท้ายของชีวิต" ไบรอัน เลาดรู๊ป กล่าวทิ้งท้าย 

ผู้ชนะทำอะไรก็ดูดี ... เมื่อถึงวันเป็นแชมป์ คำด่าจากคนทั่วประเทศที่กล้าตัดชื่อ ไมเคิล เลาดรู๊ป ออกจากทีม เปลี่ยนแปลงเป็นการยกย่องว่าคือสุดยอดการตัดสินใจที่ทำให้ทีม ๆ นี้เต็มไปด้วยผู้เล่นที่เคยเป็นลูกทีมของเขาในอดีต ทำให้ทุกคนพร้อมจะเล่นเพื่อโค้ชและสุดท้ายพวกเขาไปถึงตำแหน่งแชมป์ 

สำหรับ โมลเลอร์ นีลเซ่น เขาเป็นสุภาพบุรุษมากพอที่จะไม่ออกอาการสะใจหรือพาดพิง ไมเคิล เลาดรู๊ป หลังจากที่ทีมสร้างประวัติศาสตร์ "เดอะ เกรท เดนส์" เขาไม่พูดอะไรในแง่ลบเลย บทสัมภาษณ์ของ นีลเซ่น ส่วนใหญ่พูดถึงความสามัคคี ความมุ่งมั่น และทัศนคติของนักเตะทั้ง 20 คนที่เขาเลือกมาร่วมทีมทั้งสิ้น 


Photo : thesefootballtimes.co

"เราจะทำยังไงกับทัวร์นาเม้นต์แบบนี้ ? เรามาถึงสวีเดนวันอังคาร และต้องแข่งกับ อังกฤษ ในวันศุกร์ ในช่วงเวลาสั้น ๆ สิ่งสำคัญคือการสอนให้ทีมรู้ว่านี่ไม่ใช่ทริปการท่องเที่ยวของคนที่รับรางวัลแจ็คพ็อต" นีลเซ่น กล่าว 

"เราต้องมีสมาธิเต็ม 100% ในเกมการแข่งขัน แน่นอนลูกทีมของผมทำได้ ทีมชุดนี้เต็มไปด้วยนักเตะที่มีหัวจิตหัวใจเป็นผู้ชนะ ... ถ้าคุณคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของโชคชะตา เราโชคดี เยอรมันโชคร้าย ผมว่าอย่าคิดแบบนั้นเถอะมันโคตรจะดูงี่เง่า"

"ผมอยากได้แชมป์ยุโรปตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าเราจะได้มาแข่ง ... และผมไม่พูดถึงอะไรที่มันงี่เง่า ๆ เหมือนกับเรื่องโชคชะตาอีก" ริชาร์ด โมลเลอร์ นีลเซ่น ผู้ล่วงลับกล่าวทิ้งท้าย 

อัลบั้มภาพ 15 ภาพ

อัลบั้มภาพ 15 ภาพ ของ ตำนาน เดนิช ไดนาไมต์ : 1992 ปาฏิหาริย์ครั้งแรกของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook