ดีลมหากาพย์ : ทำไมแมนฯ ยูไนเต็ด จึงใช้เวลาเจรจาซื้อ "เจดอน ซานโช่" ถึง 2 ปี ?

ดีลมหากาพย์ : ทำไมแมนฯ ยูไนเต็ด จึงใช้เวลาเจรจาซื้อ "เจดอน ซานโช่" ถึง 2 ปี ?

ดีลมหากาพย์ : ทำไมแมนฯ ยูไนเต็ด จึงใช้เวลาเจรจาซื้อ "เจดอน ซานโช่" ถึง 2 ปี ?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ประกาศยืนยันชัดเจนแล้วว่า พวกเขาได้ขาย เจดอน ซานโช่ ให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

นี่คือดีลที่กินเวลาและบั่นทอนความรู้สึกของแฟนปีศาจแดงมาอย่างยาวนาน ร่วม ๆ 2 ปีที่ต้องอ่านข่าวต่าง ๆ แต่ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนจริง ๆ สักที จนกระทั่งท้ายที่สุด 1 กรกฎาคม 2021 ทุกอย่างลุล่วงจนได้ ... 

ก่อนจะถึงวันนี้ เกิดอะไรขึ้นบ้าง และสิ่งใดที่ทำให้ดีลระหว่าง ซานโช่, ดอร์ทมุนด์ และ ยูไนเต็ด กินเวลานานได้ขนาดนี้ ? 

ติดตามที่ Main Stand

ทำไมต้อง ซานโช่ ? 

ทำไมทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องตามง้อนักเตะคนเดียว ? นอกจาก เจดอน ซานโช่ ไม่มีปีกขวาหรือตัวรุกริมเส้นอื่น ๆ แล้วหรือที่พวกเขาสามารถหามาทดแทนได้ ? ... เรื่องนี้มีคำตอบ 

เรื่องทั้งหมดคือปรัชญาสโมสร และปรัชญาของการซื้อตัวของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ... สื่ออังกฤษอย่าง The Mirror เคยเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า กฎของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในแต่ละปีนั้นง่ายมาก คือทุกปีการแข่งขัน พวกเขาจะต้องมีถ้วยแชมป์ติดไม้ติดมือสักถ้วย ถ้วยใดก็ได้ จะ เอฟเอ คัพ หรือ ลีก คัพ ที่เป็นถ้วยเล็ก นั่นก็ถือว่าเป็นปีที่ประสบความสำเร็จแล้ว 

หลังหมดยุค เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และก่อนมาถึงการคุมทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา มีเพียง เดวิด มอยส์ รายเดียวเท่านั้นที่ไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ได้ (หมดลุ้นทุกถ้วยในฤดูกาล 2013-14 ตั้งแต่ไก่โห่จนคุมทีมไม่จบฤดูกาล) ที่เหลืออีก 2 คน อย่าง หลุยส์ ฟาน กัล และ โชเซ่ มูรินโญ่ แม้จะเป็นกุนซือที่แฟนบอลไม่รักสักเท่าไหร่ เพราะทำทีมด้วยสไตล์ที่น่าเบื่อ เล่นเกมรับ ผิดจากธรรมชาติที่แฟน ๆ คุ้นชิน แต่พวกเขาก็ยังทำตามปรัชญาความสำเร็จของสโมสรได้ด้วยโทรฟี่แชมป์เมื่อจบฤดูกาล  

จนกระทั่งมาถึงยุคของ โซลชา ที่แฟนบอลรักตั้งแต่ยังเป็นนักเตะของทีม เพราะเคยฝากประตูสำคัญ ๆ จนบันดาลแชมป์ให้ทีมได้มากมาย เมื่อเขาได้เข้ามาคุมบังเหียน ทีมปีศาจแดงที่แฟนบอลแทบหมดศรัทธาจากยุคของ ฟาน กัล และ มูรินโญ่ กลายมาเป็นทีมที่เล่นสนุก และได้อรรถรสในการรับชมเหมือนย้อนยุคกลับไปเมื่อสัก 10 ปีก่อน  

เชื่อว่าหากใครที่เป็นแฟนบอลของ ยูไนเต็ด คงรู้สึกถึงความแตกต่างของทีมในยุค โซลชา กับยุค ฟาน กัล และ มูรินโญ่ ได้ดี นี่คือทีมที่เล่นเกมรุกได้สนุกขึ้นชัดเจน แต่สิ่งเดียวที่ยังทำให้แฟนบอลเสียงแตกภายใต้การคุมทีมของ โซลชา คือ "สวยแต่รูปจูบไม่หอม" กล่าวคือเขาไม่สามารถจบฤดูกาลด้วยการเป็นแชมป์ได้ ... และนี่คือผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดของฟุตบอล ถ้าคุณทำทีมไม่ได้แชมป์ ไม่แปลกเลยที่คุณจะโดนวิจารณ์ 

ดังนั้นสิ่งที่ โซลชา ต้องการ คือการร้องขอทรัพยากรที่เหมาะสมกับทีม ไม่ใช่แค่นักเตะใหม่ แต่รวมถึงการเลือกสรรบุคลากรให้เหมาะสมกับงานทั้งในตำแหน่งสตาฟฟ์โค้ช ทีมวิเคราะห์การซื้อขาย และทีมงานที่ทำงานในระบบอคาเดมี เพื่อให้ปัจจัยทั้งหมดนี้เปลี่ยนเป็นผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดของโลกฟุตบอลนั่นคือ "ถ้วยแชมป์" 

"เรามีวิสัยทัศน์และปรัชญาในการสรรหานักเตะอย่างชัดเจน เราพร้อมลงทุนครั้งสำคัญ และทำมาแล้วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เช่นการแต่งตั้งบุคลากรด้านทีมวิเคราะห์ การสร้างเพิ่มผู้เชี่ยวชาญในระบบอคาเดมี่ ซึ่งผมคิดว่ามันเริ่มได้เห็นผลชัดขึ้นแล้ว" เอ็ด วู้ดเวิร์ด ซีอีโอ ของทีมกล่าว 

"เราได้เห็นทีมที่เล่นเกมเร็ว ลื่นไหล และเป็นฟุตบอลที่เน้นเรื่องเกมรุกโดยเชื่อมโยงกับนักเตะที่สร้างจากอคาเดมีของทีม และการเสริมทีมด้วยนักเตะระดับโลก  แน่นอนเป้าหมายสูงที่สุดของเราคือถ้วยรางวัล" 

นี่ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเท่าไรนัก เพราะนักเตะที่ ยูไนเต็ด ซื้อเข้ามาในยุคของ โซลชา ประกอบด้วยนักเตะที่สามารถใช้งานได้และส่งผลกระทบในแง่บวกกับทีมทั้งสิ้น แดเนี่ยล เจมส์, แอรอน วาน บิสซาก้า และ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ในตลาดซื้อขายแรกของ โซลชา ตามมาด้วย เอดินสัน คาวานี่ ในตลาดซื้อขายครั้งที่สอง ดูเหมือนจะมีแค่ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค คนเดียวเท่านั้น ที่เป็นนักเตะซึ่งไม่ได้ใช้งานเต็มเม็ดเต็มหน่วย 

จะเห็นได้ว่าการซื้อนักเตะเหล่านี้เข้ามาเสริม เมื่อรวมกับปรัชญาการใช้นักเตะท้องถิ่นอย่าง ดีน เฮนเดอร์สัน, สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์, อักเซล ทวนเซเบ้, เมสัน กรีนวู้ด และ มาร์คัส แรชฟอร์ด คือสิ่งที่สอดคล้องกับปรัชญาการทำทีมของยูไนเต็ดทั้งหมด ติดอยู่อย่างเดียว มันยังไม่ดีพอที่จะทำให้ทีมเป็นแชมป์ได้ และในตำแหน่งริมเส้นฝั่งขวาคือจุดบอดครั้งใหญ่ที่พวกเขาตามหามานาน และคน ๆ นั้นต้องเป็น เจดอน ซานโช่ ... ทำไมต้องเป็นเขาเท่านั้น ? 

ซานโช่ คือนักเตะที่ตรงตามปรัชญาของการเสริมทัพของ แมนฯ ยูไนเต็ด หลายข้อมาก อายุยังน้อย พัฒนาได้อีกมาก มีสัญชาติอังกฤษ และเป็นนักเตะที่ทัศนคติดี มีความทะเยอทะยาน 

และสำคัญที่สุดคือ จากสิ่งที่ ซานโช่ แสดงให้เห็นตอนเล่นให้กับ ดอร์ทมุนด์ มันชัดเจนว่าเขาเป็นคนที่โซลชาต้องการให้มาอยู่ในทีม "เร็ว และ ทรงพลัง (Pace & Power) เราเล่นเกมบุกด้วยความรวดเร็ว นี่คือปรัชญาการทำทีมของผม" นี่คือสิ่งที่ โซลชา เคยบอก

นับตั้งแต่ย้ายจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปอยู่กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในปี 2017 ซานโช่ ยิงไป 50 ประตู และทำไปอีก 64 แอสซิสต์ เรียกได้ว่าเขาคือนักเตะที่มีประสิทธิภาพทั้งในแง่ของวิธีการเล่นและผลลัพธ์ ดังนั้นมันจึงสำคัญมาก ๆ ที่ ยูไนเต็ด ในมือของ โซลชา ต้องการนักเตะที่บันดาลผลลัพธ์ได้ เพื่อให้ทีมกลับมาสู่ปรัชญาของสโมสรอีกครั้งนั่นคือ "ถ้วยแชมป์" 

อย่างไรก็ตาม อย่างที่ทุกคนรู้กัน 2 ปี ที่ ยูไนเต็ด ไล่ล่า ซานโช่ นี่คือเวลาที่นานมาก ๆ สำหรับการซื้อขายสักดีล จนถึงขนาดที่ว่า โซลชา และ แมนฯ ยูไนเต็ด มักจะโดนล้อเลียนถึงความต้องการที่เขามีต่อซานโช่อย่างยาวนานแต่ไม่ประสบความสำเร็จสักที 

ถ้าพวกเขาอยากได้จริง ทำไม่ทุ่มซื้อแต่แรกให้จบ ๆ ไป จะได้วัดกันให้รู้ดำรู้แดงว่าเขาจะช่วยสร้างผลลัพธ์ที่ทีมรอคอยได้หรือไม่ ? คำตอบคือเรื่องมันยากและซับซ้อนกว่าที่หลายคนเข้าใจ และนี่คือเบื้องหลังบางขั้นตอน เท่าที่มีการเปิดเผย

พร้อมขาย ถ้าได้ราคามากพอ 

“การย้ายทีมควรเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและความตื่นเต้น แต่ผมไม่เคยเบื่อหน่ายกับการย้ายทีมในชีวิตมากขนาดนี้เลย มันมาถึงจุดที่ผมรู้สึกว่าเขาเซ็นสัญญาไปแล้วด้วยซ้ำ และผมต้องการรู้ว่าใครจะเป็นรายต่อไปแล้ว" แกรี่ เนวิลล์ บอกแบบนี้เมื่อหลายวันก่อน ก่อนที่ ฟาบริซิโอ โรมาโน่ เหยี่ยวข่าวมือ 1 แห่งยุคจะใช้คำว่า Here We Go ในดีลนี้ ซึ่งแปลว่า "จบดีลเรียบร้อย"  

ไม่ใช่แค่ แกรี่ เนวิลล์ ที่เบื่อ หลายคนก็รู้สึกแบบนั้น เพราะเรื่องราวระหว่าง ซานโช่ และ ยูไนเต็ด มันยืดเยื้อเกินไป ทว่าเหตุทั้งหมดมันก็เกี่ยวข้องกับสถานการณ์บ้านเมือง และสถานการณ์ของโลกฟุตบอลที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย 

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คือทีมที่พร้อมจะขายนักเตะที่ดีที่สุดของทีมเสมอเพื่อรักษาตัวเลขในบัญชีของพวกเขาให้เป็นสีเขียวต่อไป พวกเขาเป็นทีมที่รักษาสมดุลตัวเลขในบัญชีของสโมสรได้ดีมาก ๆ แต่ความจริงลึกไปกว่านั้น คือ พวกเขาเขี้ยวลากดิน และจะไม่ยอมปล่อยให้นักเตะ ซึ่งเปรียบเสมือนสินค้าหลักของพวกเขาให้ใครถูก ๆ นอกเสียจากจะได้ราคาที่เหมาะสม หรือจนกระทั่งที่นักเตะคนนั้นออกปากและแสดงอาการ "ไม่อยากอยู่กับทีมแล้ว" ให้เห็น 

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คือสมัยที่เสีย มาริโอ เกิตเซ่ เพชรเม็ดงามของพวกเขาให้กับคู่ปรับอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ในปี 2013 ตอนนั้น ดอร์ทมุนด์ อยากจะได้ราคามากกว่า 40 ล้านยูโร แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้ เพราะนักเตะออกอาการชัดเจนแล้วว่า "อยากย้ายทีม" สุดท้ายพวกเขาก็จำยอมปล่อยไปในราคาถูกกว่าที่คิดไว้ในตอนแรก 

“เขาย้ายออกเพราะเขาเป็นนักเตะคนโปรดของ (เป๊ป) กวาร์ดิโอล่า ถ้าจะหาคนผิด ก็คงเป็นผมเอง ผมทำตัวเตี้ยลง และพูดภาษาสเปนไม่ได้” นี่คือสิ่งที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือของทีมในเวลานั้นยอมรับความจริง 

ขณะที่หลังจากนั้นไม่นาน และเป็นดีลที่สามารถยกเอาเทียบในเคสของ ซานโช่ กับ ยูไนเต็ด ได้ คือการซื้อ-ขาย เฮนริค มคิตาร์ยาน กองกลางชาวอาร์เมเนียนของ ดอร์ทมุนด์ ที่ ยูไนเต็ด สามารถปิดดีลได้ในราคาสุดถูกแค่ 26 ล้านปอนด์เท่านั้น โดยการซื้อขายของ มคิตาร์ยาน เองก็เกิดจากตัวนักเตะคิดว่าถึงเวลาที่เขาจะย้ายออกจากทีมแล้ว เพราะต้องการโตกว่านี้ ทั้งในแง่ของฟุตบอล และด้านรายรับที่ ยูไนเต็ด มอบให้เขามากกว่าสมัยที่อยู่กับ ดอร์ทมุนด์ ถึง 3 เท่า 

แต่กับ ซานโช่ ไม่ใช่แบบนั้น ตัวนักเตะแฮปปี้กับสถานการณ์ในทีมดอร์ทมุนด์ สนุกที่ได้เล่นฟุตบอลในฐานะ "คนสำคัญของทีม" หลังจากย้ายมาจากทีมเยาวชนของ แมนฯ ซิตี้  คุณจะสังเกตได้เลยว่า นับตั้งแต่ ยูไนต็ด มีข่าวมหากาพย์การย้ายทีมกับ ซานโช่ ตัวนักเตะไม่เคยออกมาให้สัมภาษณ์ในแง่ลบ หรือแม้กระทั่ง อีเมกา โอบาซี่ เอเยนต์ของเขาก็ไม่เคยออกข่าวยุยงปลุกปั่นให้ ดอร์ทมุนด์ ต้องลำบากใจเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ ซานโช่ ก็ย้ำมาตลอดว่าเขาสนุกกับชีวิตที่เยอรมันเป็นอย่างมาก 

"ผมรักที่จะเล่นกับทีมนี้ (ดอร์ทมุนด์) เป็นอย่างมาก มันเป็นกลุ่มก้อนที่พิเศษมาก ๆ พวกเรามีเหล่าดาวรุ่งเก่ง ๆ หลายคนที่กำลังจะก้าวขึ้นมา ผมมีความสุขมาก ๆ ที่ได้ใช้เวลาร่วมกับพวกเขาในสนาม และ ให้คำแนะนำกับพวกน้อง ๆ ผมก็เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน ได้เล่นร่วมกับรุ่นพี่ ฉะนั้นผมจึงมีความสุขกับน้อง ๆ ทุกคน” ซานโช่ กล่าว และนั่นแสดงถึงจุดยืนของการ "ไม่ย้ายก็ไม่ตาย" ของเขาได้เป็นอย่างดี 

เมื่อนักเตะออกอาการแบบนี้ ดอร์ทมุนด์ ก็สามารถเล่นเกมซื้อ-ขายแบบ "แข่งความอดทน" ได้ตามเป้า พวกเขารู้ว่า ยูไนเต็ด ไม่มีตัวเลือกริมเส้นฝั่งขวาที่เหมาะสมเท่ากับ ซานโช่ อีกแล้ว อย่างไรเสีย ทีมก็จะต้องสู้ทุกราคาเพื่อให้ได้นักเตะที่พวกเขาต้องการอยู่แล้ว 

ซัมเมอร์ปี 2020 ยูไนเต็ด ยื่นราคาไปที่ราว ๆ 100 ล้านยูโร แต่ ดอร์ทมุนด์ ขอราคา 120 ล้านยูโร และร้องขอให้จ่ายแบบ "เงินก้อนใหญ่" เท่านั้น ... หากเป็นช่วงเวลาปกติ ยูไนเต็ด อาจจะสู้ไปแล้ว แต่พวกเขาต้องผงะเมื่อ ณ เวลาเวลานั้นโลกเข้าสู่สถานการณ์ไม่ปกติ นั่นคือการระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้ทุกสโมสรได้รับผลกระทบในด้านรายได้ 

120 ล้านยูโรแบบจ่ายก้อนใหญ่ คือราคาที่ยูไนเต็ดดีดลูกคิด และพบว่านี่ไม่ใช่ตัวเลขที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ดังนั้น จึงยื้อกันไปยื้อกันมาหลายต่อ ไม่ว่าจะเป็นการพยายามทยอยจ่ายเป็นงวด การเพิ่มเงินในรูปแบบของแอดออน (ออปชั่นเสริม) ทว่า ดอร์ทมุนด์ ชัดเจนกับการเจรจาซื้อขายครั้งนี้ว่า หากไม่ได้ตัวเลขที่พวกเขาต้องการ อย่างไรเสียการซื้อ-ขายก็ไม่เกิดขึ้นแน่นอน

เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ 

เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ คือเรื่องใหญ่ที่สุดในดีลนี้ การตกลงระหว่าง ดอร์ทมุนด์ และ ยูไนเต็ด เคลียร์กันไม่ได้ เพราะต่างฝ่ายต่างมีจุดยืนในการเจรจาที่ชัดเจน ยิ่งนักเตะไม่เล่นด้วย ไม่ช่วยกดดัน ทำให้ที่สุดแล้ว การซื้อขายก็ไม่เกิดขึ้น ในตลาดซัมเมอร์ปี 2020

แต่นอกจากเรื่องของเจรจากันระหว่าง 2 สโมสร ยังมีเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่ทำให้ ซานโช่ ไม่เดือดร้อน จนเขาต้องช่วยกดดันสโมสรเพื่อขอย้ายออกด้วย 

เอียน แม็คแกร์รี่ นักข่าวชาวอังกฤษบอกว่า เหตุผลที่ ซานโช่ เป็นทองไม่รู้ร้อนได้ ก็เพราะเขาไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนกับเรื่องนี้ เงื่อนไขในสัญญาของเขากับ ดอร์ทมุนด์ มีสิ่งที่เขารออยู่หากเขายังอยู่กับทีมจนจบฤดูกาล 2020-21 นั่นคือ "โบนัส" 

"เจดอน ซานโช่ จะได้รับโบนัสจากสโมสรเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หากอยู่กับ ดอร์ทมนุด์ จนครบฤดูกาล 2020-21 เขาจะได้เงินโบนัสเพิ่ม 1.5 ล้านยูโร ซึ่งเงื่อนไขนี้เริ่มขึ้นเมื่อเขาต่อสัญญากับทีมเมื่อฤดูกาลที่แล้ว นอกจากนี้ยังมีโบนัสอีก 1 ส่วนที่เขาตกลงกับดอร์ทมุนด์ไว้ด้วย โบนัสก้อนนี้จะได้เพิ่มก็ต่อเมื่อเขาติดทีมชาติอังกฤษมากกว่า 10 นัด ซึ่งมันเกิดขึ้นแน่นอนหลังจากนี้"  แม็คแกร์รี่ กล่าว

"นี่คือจุดเริ่มต้นของการเจรจาที่ยาวนาน ซานโช่, เอเยนต์ และครอบครัวของเขา กำลังรอคอยเพื่อเก็บโบนัสจาก ดอร์ทมนุด์ ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย"

แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่อยากจ่ายเงินเยอะ, ดอร์ทมุนด์ ได้ประโยชน์ในแง่ความแข็งแกร่งของทีม หากนักเตะยังอยู่ต่อ ขณะที่ตัวนักเตะเองต่อให้ไม่ต้องย้ายทีมก็เตรียมรับเงินโบนัสก้อนโตเข้ากระเป๋า ... ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลที่ไม่ต้องเหยียบคันเร่งให้ดีลนี้เกิดขึ้น ทุกคนก็ วิน-วิน ในท้ายที่สุด 

อย่างไรก็ตาม การไม่เกิดขึ้นตอนนี้ ไม่ได้แปลว่า ยูไนเต็ด จะยอมแพ้ สำนักข่าวหลายเจ้าบอกว่า แม้พวกเขาจะยอมแพ้กับราคาที่ ดอร์ทมุนด์ ตั้งมา และไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดในซัมเมอร์ปี 2020 อีกต่อไป แต่ที่สุดแล้วมันก็ยังมีทางที่ทำให้ดีลนี้สำเร็จในอนาคต 

วิธีการคือ การตกลงกับนักเตะและเอเยนต์ถึงความเป็นไปได้ในตลาดซื้อขายครั้งต่อไป ทั้งเรื่องของค่าเหนื่อยในอนาคตหากการย้ายทีมเกิดขึ้น หรือแม้กระทั่งความต้องการของนักเตะอื่น ๆ ยูไนเต็ด ตัดสินใจว่าพวกเขาจะรอจนกว่า ซานโช่ ได้รับโบนัสตามสัญญากับ ดอร์ทมุนด์ และนั่นทำให้ต่างฝ่ายต่างได้ข้อสรุปว่า "รอปีหน้า" แล้วว่ากันใหม่

ตอนจบ 2021

การเจรจาซื้อขายเดินทางลากยาวมาจนกระทั่งซัมเมอร์นี้ ทันทีที่ฤดูกาลแข่งขันจบลง ข่าว ซานโช่ ก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้กระแสข่าวแตกต่างไปจากเดิม 

หลังจากที่ซัมเมอร์ก่อน ต่างฝ่ายต่างมีจุดยืนในดีลนี้ที่ชัดเจนไม่มีความรีบร้อนอะไร แต่ในซัมเมอร์นี้สถานการณ์เปลี่ยน ... 

ยูไนเต็ด จบฤดูกาลด้วยการไร้แชมป์ติดมือ ดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล และได้นักเตะดาวรุ่งอย่าง จิโอวานนี่ เรย์น่า และ ยูซูฟฟา มูโกโก้ ตัวริมเส้นที่โดดเด่นขึ้นมาจากโอกาสการลงสนามในปีนี้ ขณะที่ ซานโช่ ได้เวลามูฟออนหลังจากคว้าแชมป์ เขาไม่มีโบนัสอะไรให้เหลือลุ้นแล้ว แม้กระทั่งการลุ้นความสำเร็จอย่างแชมป์บุนเดสลีกา ก็น่าจะพอมองออกว่ามันยากเกินไป เพราะ บาเยิร์น มิวนิค คือทีมที่จะไม่ปล่อยให้ใครแซงหน้าง่าย ๆ  

การย้ายทีมครั้งนี้ของ ซานโช่ จะทำให้เขาได้รับเงินก้อนโต ด้วยค่าเหนื่อยระดับใกล้ ๆ 3 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ (รับกับ ดอร์ทมุนด์ ที่ราว ๆ 1.6 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์) นี่คือความท้าทายที่มาพร้อมกับเงินที่ใครก็ยากจะปฏิเสธ

ฝั่ง ดอร์ทมุนด์ ได้เห็นทิศทางของโลกฟุตบอลเมื่อ COVID-19 ลุกลามชัดเจนขึ้น แต่ละสโมสรต้องรัดเข็มขัดและยากที่จะมีทีมไหนกล้าทุ่มซื้อนักเตะระดับ 100 ล้านปอนด์ขึ้นไปตามที่พวกเขาต้องการ ดังนั้นข้อเสนอราว 80 ล้านปอนด์ ที่ยูไนเต็ด มอบให้ก็ไม่เลวนัก ... แม้จะน้อยกว่าที่พวกเขาร้องขอในซัมเมอร์ที่แล้ว ก็เป็นราคาที่รับได้ ประกอบกับนักเตะอยากจะย้ายทีมแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่พวกเขาจะรั้งไว้ 

สถานการณ์ในปี 2021 ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะลงตัวที่สุด ยูไนเต็ด ต้องการเปลี่ยนแปลงเพื่อความสำเร็จที่รอคอย, ดอร์ทมุนด์ พร้อมจะขายในราคาที่เหมาะสมเพราะได้ตัวแทนนักเตะแล้ว ขณะที่ ตัวของ ซานโช่ ก็ได้ทั้งเงินและโอกาสพิสูจน์ตัวเอง ว่าเป็นสตาร์ระดับโลกกับสโมสรที่มีคนจับตามองมากที่สุดทีมหนึ่ง

"เราบรรลุข้อตกลงในหลักการกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้ว แม้เราอยากจะเก็บเขาไว้ แต่มันเป็นความปรารถนาของเจดอนที่จะย้ายทีม" ฮันส์ โยอาคิม วัตซ์เก้ ซีอีโอ ของ ดอร์ทมุนด์ กล่าว ซึ่งเป็นการบอกได้ว่า ถึงเวลาอันสมควรที่มหากาพย์ดีล ซานโช่ มาถึงตอนจบเเล้ว 

เมื่อทุกอย่างมาเจอกันแบบถูกที่ถูกเวลา ในที่สุด เจดอน ซานโช่ จึงกลายเป็นนักเตะของ แมนฯ ยูไนเต็ด เหมือนกับที่พวกเขาได้รับทราบกันในวันนี้ 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook