ถ้วยนี้ยังไง? ก็ต้องสมศักดิ์ศรี
ตอนนี้เชื่อเหลือเกิน..ไม่ว่าทีมชาติไทยภายใต้การคุมทัพของ"ซิโก้"เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง จะลงเตะรายการไหนๆ แฟนบอลชาวสยามประเทศคงจะไม่พลาดที่ติดตามอย่างแน่นอน!!
และที่กำลังจะมาถึง ก็ถือว่าเป็นศึกลูกหนังรายการหนึ่งที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของประเทศไทยก็ว่าได้..กับศึกฟุตบอล "คิงส์ คัพ ครั้งที่ 43" ที่จะลงฟาดแข้งกันะหว่างวันที่ 1-7 กุมภาพันธ์ ที่สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.นครราชสีมา
ไหนๆ ก็ไหนแล้วขอพูดถึงประวัติความเป็นมาใว้หน่อยแล้วกัน ซึ่งในพ.ศ. ๒๕๑๑ คือ “ยุครุ่งเรืองของวงการฟุตบอลไทย” ภายใต้การนำของ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ยมนาค นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงมีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ให้ดำเนินการจัดแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติขึ้นในประเทศ เพื่ออุดมการณ์ ดังนี้
๑. เทิดทูนพระเกียรติบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๒. กระชับสัมพันธ์ภาพกับนานาชาติในเครือสมาชิก
๓. ยกระดับมาตรฐานกีฬาฟุตบอล
๔. เผยแพร่ความนิยมกีฬาฟุตบอลแก่นักกีฬา และประชาชน
๕. หารายได้ถวายโดยเสด็จพระราชกุศล
ภายหลังจากสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย มีหนังสือถึงราชเลขาธิการขอให้นำความขึ้นกราบบังคมทูล พระมหากรุณาธิคุณขอรับพระราชทานพระบรมราชานุญาต ดำเนินการจัดแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพขึ้นในปลายปีพุทธศักราช ๒๕๑๑
เมื่อความได้ทรงทราบใต้เบื้องพระยุคลบาท จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตพร้อมทั้งพระราชทานถ้วยถมทองคำสำหรับเป็นรางวัลแก่ทีมชนะเลิศในการแข่งขัน แต่จะต้องมีการแข่งขันเป็นประจำปี
เท่าที่จำได้ขุนพลนักเตะแดนโคนม “ทีมชาติเดนมาร์ก” ก็เคยเข้ามากระชากแชมป์ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ ๑๙ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๑ แต่ภายใต้การทำทีมของ ริชาร์ด โมลเลอร์ นีลเซ่น โดยมีดาวดังอย่าง ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล, เคนท์ นีลเซ่น, คิม วิลฟอร์ด, ไบรอัน เลาดรู๊ป และเฮนรีค ลาร์เซ่น ยอดดาวยิงของทีม
และอีก4ปี ต่อมา ก่อนที่ชุดนี้จะสร้างเรื่องช็อกโลก ด้วยการไปคว้าแชมป์ยูโรฯ1992 ที่สวีเดน ทั้งๆที่ไปในฐานะทีมที่ถูกเรียกไปเตะแทนทีมชาติสหภาพโซเวียต ที่ถูกแบนเพราะสงครามกลางเมือง ทำให้ทีม "เทพนิยายเดนส์" เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
ต่อจากนั้น ในปี ๒๕๔๒ ครั้งที่ ๓๐ ทีมชาติบราซิล ชุดเยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปี ที่มีนักเตะดาวรุ่งอย่าง โรนัลดินโญ่ ก็เคยนำทีมมาคว้าแชมป์ และปีถัดมา "เหยินน้อย" กลับมาอีกครั้งพร้อมกับทีมชาติบราซิลชุดผสมที่มีทั้ง ริวัลโด้, โรแบร์โต้ คาร์ลอส, คาร์ฟู ฯลฯ
"แต่มันก็เป็นแค่อดีตไปแล้ว ที่ทีมไหนๆก็อยากมาโม่แข้งในรายการนี้"
และมาถึงหนนี้ ก็วุ่นวายอยู่ไม่น้อย กว่าจะได้ครบ4ทีมที่ ก็จะมีเจ้าภาพทีมไทย(อันดับโลก144), เกาหลีใต้(อันดับ69ของโลก) ที่ประกาศจะส่งชุด U-23 ตั้งแต่แรก ส่วนทางด้านอุซเบกิสถาน(อันดับ71ของโลก) ก็น่าจะส่งชุดอายุไม่เกิน22ปี ที่เตรียมไว้คัดโอลิมปิก ขณะที่ฮอนดูรัส(อันดับ72ของโลก) มีข่าวว่าจะไม่ส่งชุดใหญ่เช่นกัน และอาจเป็นชุดอายุไม่เกิน20ปีมาแทน
เห็นมั้ยครับว่าเดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปหมด เนื่องจากฟุตบอลทุกวันนี้มีหลายๆ รายการที่จัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในประเทศ หรือในโซนทวีปรวมถึงระดับชาติ ก็ต้องคิดกันยาวๆ เลยทีเดียว ว่าจะส่งชุดไหนให้เหมาะสมกับรายการนั้นๆ
และถ้ามองให้ลึกลงไปอีก ถึงตัวนักเตะที่จะดึงใช้งานก็แสนจะลำบาก เพราะไหนจะประสบกับผู้เล่นที่ไม่พร้อม เช่นทางด้านร่างกายบ้างละ ด้านเงื่อนไขของสังกัดนักเตะบ้างละ รวมทั้งความประพฤติและระเบียบวินัย ซึ่งเหล่านี้เป็นผลกระทบต่อการส่งทีมไปแข่งขัน
แต่ปัญหาพวกนี้ทุกชาติก็ต้องเจอเหมือนกันหมด อยู่ที่ว่าชาติใดจะบริหารและวางแผนได้ดีกว่ากัน
ใช่ครับ!! ผมกำลังมองไปถึงสมาคมครับ หากสมาคมมีระบบการจัดการที่ดี ก็ช่วยให้ปัญหาเหล่านี้จะลดลงไป หรือเอาง่ายๆ จัดระบบตามญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ ไปเลยก็ได้
ยังไงก็แล้วแต่ อย่างที่ได้พูดถึงไปเมื่อตอนต้น กับถ้วยใบนี้ เนื่องจากเป็นถ้วยพระราชทานจึงเป็นรายการที่มีความสำคัญ มีศักดิ์ศรีมากที่สุดรายการหนึ่งของประเทศไทย
ไม่ว่าเราจะเล่นกับทีมไหนหรือชุดไหน "เราก็ต้องเล่นให้เต็มที่ทำให้ดีที่สุด" และไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง?
ก็เชื่อว่าแฟนบอลชาวไทย ยังคงติดตามเชียร์และส่งกำลังใจในทุกๆนัดที่ทัพ "ช้างศึก" ลงเตะอย่างแน่นอน..ฟันธง!!
ตามกระแสที่ว่า"บอลไทยกลับมาฟีเวอร์อีกครั้ง"
เรื่องโดย : มิดไนท์
ภาพจาก : บริษัท สปอร์ต ฮีโร่ จำกัด