เบื้องหลังเทพนิยาย 2004 : ตำนานแชมเปี้ยนครั้งสุดท้ายของกรีซ ก่อนฟุตบอลในชาติพังพินาศ
"อันเดอร์ด็อกเพียงทีมเดียวในประวัติศาสตร์ฟุตบอล ที่ทุกคนอยากเห็นพวกเขาตกรอบ"
ย้อนกลับไปวันที่ 4 กรกฎาคม ปี 2004 ขุนพลลูกหนังทีมชาติกรีซ เขียนประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าแชมป์ฟุตบอลทีมชาติยุโรปมาครอง ทั้งที่ก่อนหน้านั้น พวกเขาไม่เคยชนะการแข่งขันในทัวร์นาเมนต์นานาชาติ แม้แต่นัดเดียว
แม้จะถูกแซะว่าคว้าแชมป์ด้วยฟุตบอลน่าเบื่อ แต่การเดินทางของนักเตะกรีซในปี 2004 ยังถูกจดจำถึงปัจจุบัน และเป็นแรงบันดาลใจสำคัญแก่นักเตะรุ่นหลัง ในวันที่ฟุตบอลทีมชาติกรีซใกล้กับคำว่า หายนะ
นี่คือเรื่องราวเบื้องหลังเทพนิยาย 2004 เมื่อทีมชาติกรีซคว้าแชมป์ยูโร ในฐานะแชมเปี้ยนครั้งแรก, ครั้งเดียว และอาจเป็นครั้งสุดท้ายของพวกเขา
สร้างทีมจากเกมรับ และความสามัคคี
ก่อนจะก้าวไปสร้างตำนานในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 2004 ทีมชาติกรีซเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ในวงการลูกหนังโลก พวกเขาเคยเข้าร่วมทัวร์นาเมนต์ระดับนานาชาติเพียง 2 ครั้ง ฟุตบอลยูโร 1980 ที่ตกรอบแรก โดยไม่สามารถคว้าชัยชนะสักนัด ส่วนอีกครั้งคือฟุตบอลโลก 1994 ซึ่งพวกเขาไปไม่ถึงไหน ตกรอบแรกอีกตามเคย
ผลงานล้มเหลวไม่เป็นท่าในอดีต ส่งผลให้สมาพันธ์ฟุตบอลกรีก เอาจริงเอาจังกับการยกระดับผลงานฟุตบอลทีมชาติในยุค 2000s เริ่มต้นด้วยการว่าจ้าง อ็อตโต้ เรห์ฮาเกิล โค้ชจอมเฮี้ยบชาวเยอรมันเข้ามาคุมทัพในปี 2001 เพื่อปลูกฝังแนวคิดสำคัญแก่นักเตะกรีซ
"สิ่งแรกที่พวกเขาสอนเราคือ ทีมชาติต้องมาก่อน" ทาคิส ไฟส์ซาส กองหลังทีมชาติกรีซชุดแชมป์ยูโร 2004 กล่าวถึงแนวคิดสำคัญของเรห์ฮาเกิล
"พวกเราเป็นเหมือนกับครอบครัว กรีซไม่เหมือนทีมชาติอื่นที่มีนักเตะ 55 คน แย่งชิงพื้นที่ในทีมชาติ เรามีกันอยู่ราว 20 คน ที่จะอยู่ในทีมตลอด เพราะฉะนั้น พวกเราสนิทกันมาก เราพร้อมเสียสละทุกอย่างเพื่อกันและกัน"
ย้อนกลับไปดูขุนพลทีมชาติกรีซในเวลานั้น พวกเขาไม่มีซูเปอร์สตาร์ระดับโลกแม้แต่คนเดียว นักเตะที่คนทั่วไปพอจะรู้จักบ้าง ได้แก่ สเตลิออส จิอันนาโคปูลอส ปีกขวาจาก โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส, จอร์จอส คารากูนิส มิดฟิลด์จาก อินเตอร์ มิลาน และ ทีโอ ซาโคราคิส กัปตันทีมที่เคยย้ายมาโลดแล่นในพรีเมียร์ลีก กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ช่วงปี 1998-2000
จุดเด่นของกรีซชุดแชมป์ยูโรจึงไม่ใช่ความสามารถเฉพาะตัว แต่เป็นความสามัคคี และการเล่นตามแทคติกทุกกระเบียดนิ้ว แผน 4-3-3 ของเรห์ฮาเกิล ถูกสร้างขึ้นโดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่เกมรับ คอสตาส คัตซูรานิส มิดฟิลด์ตัวรับทำหน้าที่ตัดเกมหน้ากองหลัง ส่วน แอนเจลอส บาสินาส และ ซาโคราคิส คอยปัดกวาดคู่แข่งที่เหลือในแดนกลาง กล่าวง่าย ๆ ไม่มีกองกลางคนใดของกรีซ ทำหน้าที่เป็นตัวสร้างสรรค์เกม หรือ เพลย์เมคเกอร์
การโจมตีของกรีซจึงมาจากเกมสวนกลับ เปลี่ยนรุกเป็นรับอย่างรวดเร็ว พวกเขากดดันคู่แข่งจากการโจมตีด้วยปีกสองข้าง ซึ่งไม่ทำอะไรนอกจากเปิดเข้าไปในกรอบเขตโทษ แล้วปิดบัญชีฝ่ายตรงข้ามด้วยลูกโหม่ง ... ใช่แล้ว มันคือฟุตบอลที่น่าเกลียด แต่ในยามเลือดเข้าตา การคว้าชัยชนะย่อมไม่เกี่ยงวิธี
ทีมชาติกรีซแบกความมุ่งมั่น และแทคติกตีหัวเข้าบ้านลงเล่นรอบคัดเลือกยูโร 2004 โดยอยู่ร่วมสายกับทีมใหญ่อย่าง สเปน และ ยูเครน พวกเขาแพ้แก่ทั้งสองทีม โดยยิงไม่ได้สักประตูในสองนัดแรก ก่อนพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นทีมแข็งแกร่งที่สุด คว้าชัยชนะ 6 นัดรวด โดยไม่เสียแม้แต่ประตูเดียว
ผลสรุป กรีซจบอันดับหนึ่งของกลุ่ม 6 รอบคัดเลือก ลงเล่น 8 นัด ชนะ 6 แพ้ 2 ตีตั๋วไปเล่นยูโร 2004 ที่ประเทศโปรตุเกส ซึ่งถือเป็นทัวร์นาเมนต์นานาชาติครั้งแรกของพวกเขาในรอบ 20 ปี
ม้ามืดแห่งยูโร 2004
แม้ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจในรอบคัดเลือก แต่การอยู่กลุ่มเดียวกับ โปรตุเกส ผู้เป็นเจ้าภาพ, อริเก่าจากรอบคัดเลือก สเปน และรัสเซีย หมายความว่า กรีซ อยู่ในกลุ่มที่แข็งพอสมควร และมีโอกาสสูงมากที่พวกเขาจะตกรอบแรก เห็นได้จากการวางตำแหน่งเต็งแชมป์ลำดับรองสุดท้ายของทัวร์นาเมนต์ จากราคาแทง 1 จ่าย 150
หนึ่งในกลุ่มคนที่ไม่คิดว่าพวกเขาจะไปได้ไกลกว่านี้ คือ นักเตะทั้ง 23 คนของทีมชาติกรีซ เป้าหมายของพวกเขาในทัวร์นาเมนต์นี้ จึงไม่ใช่การคว้าแชมป์ แต่เป็นการคว้าชัยชนะกลับไปฝากแฟนบอลบ้านเกิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ขุนพลฟุตบอลทีมชาติกรีซ ไม่เคยทำได้มาก่อน
"เป้าหมายของเราก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ คือการคว้าชัยชนะสักนัด แค่เกมเดียวก็เพียงพอ เพราะทีมชาติของเราไม่เคยชนะในทัวร์นาเมนต์แบบนี้มาก่อน แม้แต่ทีมที่ได้ไปบอลโลก 1994 ก็ไม่สามารถชนะใครได้เลย ผมคิดว่า การคว้าชัยชนะเพียงนัดเดียว ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับเรา" วาซิลิออส ซิอาร์ตัส ปีกซ้ายชุดแชมป์ยูโร 2004 กล่าว
เกมแรกของพวกเขาในยูโร 2004 คือการลงเล่นนัดเปิดสนามกับทีมชาติโปรตุเกส ท่ามกลางแฟนบอลเจ้าถิ่นเกือบห้าหมื่นคน ใน เอสตาดิโอ โด ดราเกา ขุนพลทีมชาติกรีซสร้างเซอร์ไพร์สด้วยการเอาชนะเจ้าภาพ 2-1 คว้าชัยชนะเกมแรกในทัวร์นาเมนต์นานาชาติมาครองได้สำเร็จ
"ชัยชนะจากแมตช์แรกปลดปล่อยเรา ทุกคนรู้สึกเป็นอิสระ" ซิอาร์ตัส กล่าวถึงความรู้สึก หลังคว้าชัยชนะเหนือโปรตุเกสในรอบแรก
เมื่อประสบความสำเร็จตามเป้าหมายแรกที่ตั้งไว้ ทีมชาติกรีซจึงเล่นอย่างสบายใจไร้ความกดดัน และนั่นทำให้ฟอร์มของพวกเขาดิ่งลงเหว พวกเขาเสมอกับสเปน 1-1 ในเกมที่นักเตะกรีซพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ยากที่สุดในทัวร์นาเมนต์" เพราะเคยเจอกันมาก่อนหน้านี้ในรอบคัดเลือก ก่อนปิดท้ายด้วยการแพ้รัสเซีย 1-2 ทั้งที่ทัพหมีขาวแพ้รวดสองนัด และตกรอบจากการแข่งขันไปแล้ว
เหตุผลเดียวที่กรีซสามารถผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้ คือประตูได้เสียที่ดีกว่าสเปนแบบฉิวเฉียด เพราะทั้งสองต่างมีผลต่างประตูได้เสียเท่ากันที่ 0 จึงต้องตัดสินว่าทีมไหนยิงประตูได้มากกว่า กรีซที่ยิงไป 4 ประตูในรอบแรก จึงผ่านเข้ารอบไปแบบหวุดหวิด โดยมีทีมชาติฝรั่งเศสรอพวกเขาอยู่ในรอบต่อไป
"ฝรั่งเศสมีทั้ง ซีเนดีน ซีดาน, เธียร์รี อองรี, โรแบร์ ปิแรส, ลิลิยอง ตูราม, บิเซนเต ลิซาราซู พวกเขามีนักเตะที่น่ามหัศจจรย์เต็มไปหมด" ไฟส์ซาส กล่าวความรู้สึกของเขา ก่อนลงเล่นเกมกับทีมชาติฝรั่งเศส
ไม่มีใครคิดว่ากรีซจะผ่านทัพตราไก่สู่รอบรองชนะเลิศ ทั้ง ชื่อชั้นนักเตะที่ห่างกันราวฟ้ากับเหว หรือ ผลงานในรอบแรกที่สวนทางกัน (ฝรั่งเศสคว้า 7 คะแนน จบตำแหน่งแชมป์กลุ่มเหนืออังกฤษ) หลายคนมั่นใจว่า เจ้าของตำแหน่งแชมป์เก่าจากยูโร 2000 จะสามารถเอาชนะการแข่งขันนัดนี้ และผ่านเข้ารอบแบบสบาย ๆ
เมื่อนักเตะเสียความมั่นใจ จึงเป็นเวลาของเฮดโค้ชที่ต้องแสดงผลงาน อ็อตโต้ เรห์ฮาเกิล ปรับแผนที่เคยใช้ในรอบแรก เขาสั่งให้ จิออร์คัส เซตาริดิส ปิดตายอองรีออกจากเกม ส่วนนักเตะคนอื่นไม่ต้องประกบใครทั้งสิ้น แค่เพียงคุมโซนอย่างมีระเบียบวินัยก็เพียงพอ
แทคติกของเรห์ฮาเกิลได้ผล ฝรั่งเศสไม่สามารถเจาะเข้าพื้นที่สุดท้ายเพื่อทำประตูได้ กระทั่งนาที 65 กรีซได้โอกาสที่พวกเขาต้องการ ซาโคราคิส รับบอลทางขวาของสนาม เขาเลี้ยงผ่านลิซาราซู ก่อนโยนเข้ากรอบเขตโทษตามสูตร อันเกลอส ชาริสเตอัส โหม่งเข้าไปตุงตาข่าย นี่คือประตูเดียวที่เกิดขึ้นในการแข่งขัน กรีซชนะฝรั่งเศส 1-0 ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปอย่างน่าเหลือเชื่อ
คว้าแชมป์ด้วยฟุตบอล "น่าเบื่อ"
ชัยชนะของกรีซเหนือฝรั่งเศส นับเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางอันเดอร์ด็อกที่กำลังก้าวไปสู่ตำแหน่งแชมป์ ตามปกติแล้ว ทีมในลักษณะนี้มักจะมีกองเชียร์เฉพาะกิจที่คอยให้กำลังใจ ในฐานะม้ามืดประจำทัวร์นาเมนต์ ยกตัวอย่างเช่น เดนมาร์ก ในยูโร 1992 หรือ เวลส์ จากยูโร 2016
แต่สำหรับทีมชาติกรีซ ในยูโร 2004 พวกเขาได้รับความเกลียดชังจากแฟนบอลทั่วโลก เนื่องจากแทคติกเน้นเกมรับจนน่าเกลียด แถมยังเอาชนะทีมที่เล่นเกมรุก เขี่ยฟุตบอลสวยงามออกไปจากทัวร์นาเมนต์เรื่อย ๆ กรีซถูกโจมตีว่า กำลังทำลายความสนุกของยูโร 2004 ด้วยความน่าเบื่อ โดยหลายคนมองว่า ทีมที่ดีกว่าในการแข่งขัน ไม่ได้เป็นฝ่ายคว้าชัยชนะ
"อันเดอร์ด็อกเพียงทีมเดียวในประวัติศาสตร์ฟุตบอล ที่ทุกคนอยากเห็นพวกเขาตกรอบ" The Guardian กล่าวถึงทีมชาติกรีซในยูโร 2004
ยิ่งมีคนเกลียดมากเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าทีมชาติกรีซจะเก่งมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขาเขี่ยสาธารณรัฐเช็ก ตกรอบรองชนะเลิศจากเกมรับตลอด 90 นาที ก่อนซัดเปรี้ยงเดียวในช่วงต่อเวลาพิเศษ นาที 105+1 จากประตูของ ทราเอียนอส เดลลาส
ลูกยิง "Silver Goal" ส่งผลให้สาธารณรัฐเช็กหมดสิทธิ์แก้ตัว เกมจบลงทันทีหลังผู้ตัดสินเป่านกหวีดหมดเวลาครึ่งแรกของช่วงต่อเวลา กรีซเอาชนะด้วยสกอร์ 1-0 ทีมที่เล่นเกมรุกเร้าใจตลอดทัวร์นาเมนต์กลับบ้านไปอีกทีม ขณะที่ฟุตบอลน่าเบื่อของกรีซ ทะยานเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ
วินาทีนั้น ขุนพลทีมชาติกรีซไม่สนใจแล้วว่า เสียงจากแฟนบอลทั่วโลกจะชื่นชอบพวกเขาหรือไม่ ? เป้าหมายเดียวของพวกเขาในตอนนี้คือการคว้าแชมป์ และพวกเขาคิดว่ามันเป็นไปได้ หลังเคยเอาชนะคู่ชิงชนะเลิศ โปรตุเกส มาแล้วในรอบแรกของการแข่งขัน
"เราพูดคุยเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา เราพูดคุยกันว่านี่คือโอกาสเดียวในชีวิตที่จะได้สร้างประวัติศาสตร์ เรารู้ว่าเราคงไม่สามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้อีกครั้ง เราสาบานว่าเราจะทำทุกอย่าง เพื่อคว้าชัยชนะในเกมนี้" ซิอาร์ตัส กล่าว
เหมือนพระเจ้าเขียนบทกำหนดไว้ สองทีมที่ลงเล่นในนัดเปิดสนามกับมาเจอกันอีกครั้งในรอบชิงชนะเลิศ แม่สังเวียนการแข่งขันจะแตกต่างออกไปจากเดิม แต่แฟนบอล 62,865 คนใน เอสตาดิโอ ดา ลุซ ยังคงเป็นบรรยากาศเดิมของนักเตะกรีซ นี่คือเกมที่พวกเขาต้องฝ่าฝันทุกอย่าง เพื่อคว้าแชมป์ต่อหน้าแฟนบอลโปรตุเกสหลายหมื่นคน
เคราะห์ดีที่ชาวกรีซไม่ทอดทิ้งพวกเขาเช่นกัน แฟนบอลราว 15,000 เดินทางจากบ้านเกิด เพื่อให้กำลังใจทีมรักของพวกเขา นักเตะกรีซลงไปเล่นในสนามด้วยความมั่นใจ นักเตะทุกคนทำทุกอย่างที่เคยทำตลอดทัวร์นาเมนต์ คือ เล่นฟุตบอลน่าเกลียดตามแทคติกของเรห์ฮาเกิล ด้วยความเชื่อมั่นว่ามันจะพาเขาสู่ตำแหน่งแชมป์
ผลลัพธ์ออกมาน่าเบื่อเช่นเคย โปรตุเกสเจาะกรีซไม่เข้า, ชาริสเตอัสทำประตูจากลูกโหม่ง, กรีซลงไปตั้งรับอีกครั้ง, โปรตุเกสเจาะไม่เข้า, จบเกม และกรีซเป็นฝ่ายชนะ นี่คือภาพเก่าที่แฟนบอลทั่วโลกเห็นตลอดทัวร์นาเมนต์ สิ่งเดียวที่แตกต่างมีเพียงอย่างเดียว คือชื่อของผู้ชนะที่ทุกคนไม่คาดคิดมาก่อน
ทีมชาติกรีซก้าวสู่ตำแหน่งแชมป์ยุโรปในยูโร 2004 หลังเอาชนะโปรตุเกส 1-0 พวกเขาเขียนประวัติศาสตร์ในฐานะม้ามืดที่ก้าวมาคว้าแชมป์ ด้วยฟุตบอลเกมรับน่าเบื่อ แต่มีประสิทธิภาพมากที่สุดครั้งหนึ่งที่โลกฟุตบอลเคยมีมา
"หลังจากผู้ตัดสินเป่านกหวีดหมดเวลา ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง มันคือวินาทีที่คุณหันไปถามคนข้าง ๆ ว่าตัวเองกำลังฝันไปหรือเปล่า แน่นอนว่า เดนมาร์ก เคยทำแบบนี้ได้ในปี 1992 แต่ผมคิดว่าความสำเร็จของเรายิ่งใหญ่กว่ามาก" อันโตนิออส นิโคโปลิดิส ผู้รักษาประตูของทีม กล่าวความรู้สึกหลังคว้าแชมป์
"เราคือครอบครัว เราคือทีม เราคิดถึงเรื่องส่วนรวมก่อนเรื่องส่วนตัว ทุกคนเล่นเพื่อประเทศ เล่นเพื่อทีม ไม่ใช่เพื่อตัวเอง เราต่างเคารพกันและกัน และรักในสิ่งที่เราทำ เรามีโค้ชที่จัดการทีมอย่างยอดเยี่ยม และมีแทคติคที่ดี ถ้าคุณรอบรวทั้งหมดเข้าด้วยกัน คุณจะมองเห็นคู่มือสำหรับแชมเปี้ยน" ชาริสเตอัส ฮีโร่ในนัดชิงชนะเลิศ กล่าวสรุปเหตุผลที่กรีซกลายเป็นแชมป์ในยูโร 2004
หายนะหลังความสำเร็จ
ความสำเร็จในยูโร 2004 ควรจะเป็นจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของทีมชาติกรีซในเวทีระดับชาติ แต่จนแล้วจนรอด มันกลับเป็นจุดสิ้นสุดของพวกเขา
หากจะถามว่าทำไมทีมชาติกรีซถึงร่วงหล่นเร็วขนาดนั้น ? เราต้องไม่ลืมว่าบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ อ็อตโต้ เรห์ฮาเกิล ที่ปลูกฝังแนวคิดต่อสู้เพื่อทีมด้วยความกระหาย แต่หลังจากความสำเร็จที่เกินคาดในยูโร 2004 พลังใจตรงนี้หายไปหมดสิ้นจากนักเตะกรีซ
พวกเขาล้มเหลวอย่างต่อเนื่องด้วยการพลาดตั๋วลุยฟุตบอลโลก 2006 ขณะที่ยูโร 2008 และฟุตบอลโลก 2010 แม้จะเข้ารอบสุดท้ายได้ แต่ก็ตกรอบแรกเช่นเคย เห็นได้ชัดว่าเวทมนตร์ของเฮดโค้ชเยอรมันที่จะปลุกจิตใจของนักเตะชาวกรีซให้กลับมาสู้เพื่อชาติ ไม่หลงเหลืออีกต่อไป
กรีซแก้เกมด้วยการดึง เฟร์นานโด ซานโตส เฮดโค้ชชาวโปรตุเกส ที่เคยผ่านประสบการณ์กับสโมสรในกรีซ ทั้ง เออีเค เอเธนส์ พีเอโอเค และพานาธิไนกอส จึงมีความเข้าใจฟุตบอลในประเทศแห่งนี้เป็นอย่างดี เขาดึงความสดชื่นกลับมาสู่ทีมชาติกรีซอีกครั้ง จนสามารถผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายยูโร 2012 และฟุตบอลโลก 2014 แต่ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาไม่เคยก้าวไปเขียนประวัติศาสตร์อย่างที่เคยทำได้
"ทีมชาติกรีซภายใต้เฟร์นานโด ซานโตส คือช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยม เขาเกือบจะมีแนวคิดเดียวกับเรห์ฮาเกิล และมีประสบการณ์มากพอจะเข้าใจแนวคิดของนักเตะกรีซ เรามีฟุตบอลโลกที่ยอดเยี่ยม แต่หลังจากนั้น เราเสียระเบียบวินัยของเราไป" จอร์จี้ ไลโคโรปูลอส นักข่าวฟุตบอลชาวกรีซ กล่าว
นับจากปี 2014 เป็นต้นมา ทีมชาติกรีซไม่เคยกลับคืนสู่ทัวร์นาเมนต์ระดับนานาชาติได้อีกเลย พวกเขากลับไปสู่ยุคมืดอีกครั้ง ความสำเร็จในยูโร 2004 กลายเป็นเพียงตำนาน แสงสว่างในความมืดของวงการฟุตบอลกรีซ
"จิตวิญญาณของทีมในยุคเรห์ฮาเกิล และซานโตส หายไปแล้ว และนักเตะฝีมือดีส่วนมากเลิกเล่นไป เราเสียโกลเด้น เจเนอเรชั่น และไม่มีนักเตะรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ ฟุตบอลยุคใหม่ของเราใกล้เคียงกับคำว่าหายนะ เราแพ้ให้แก่หมู่เกาะแฟโร นี่คือความน่าอับอายในประวัติศาสตร์ฟุตบอลกรีซ" ไลโคโรปูลอส กล่าวย้ำ
ปัจจุบัน ฟุตบอลกรีซมีปัญหาจากภายใน เนื่องจากคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นภายในสมาพันธ์ฟุตบอลกรีก ซึ่งเต็มไปด้วยผู้บริหารที่ไม่มีความรู้ด้านกีฬา แต่ถูกเลือกเข้ามาทำงานในฐานะนอมินีของสโมสรใหญ่ในประเทศ
แผนการพัฒนานักเตะในระดับเยาวชนจึงไม่เคยเกิดขึ้นอย่างจริงจัง เมื่อนักเตะไม่ดี โค้ชหรือแมวมองในทีมชาติก็ไม่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ กลายเป็นความล้มเหลวที่ติดต่อกันยาวเป็นหางว่าว เรียกได้ว่า พังทั้งระบบเป็นที่เรียบร้อย
ความล้มเหลวล่าสุดของกรีซ คือพลาดตั๋วลุยยูโร 2020 ที่กำลังแข่งขันอยู่ในปัจจุบัน แต่ท้ายที่สุด พวกเขายังมีความหวังว่าจะได้ก้าวสู่ฟุตบอลโลก 2022 โดยนำความสำเร็จจากอดีตมาเป็นแรงบันดาลใจ
"การคว้าแชมป์ยูโร 2004 คือความยิ่งใหญ่ และอาจจะเป็นความสำเร็จที่ไม่อาจเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ในเวลาเดียวกัน ไม่มีใครบอกให้คุณเลิกฝันได้ ถ้าผมเป็นนักฟุตบอลกรีซตอนนี้ ผมจะคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาครอง เพราะท้ายที่สุด คุณต้องกล้าฝันในฐานะนักฟุตบอล" สเตลิออส จิอันนาโคปูลอส อดีตนักเตะจากชุดแชมป์ยูโร 2004 ฝากถึงนักเตะรุ่นต่อไป
ทีมชาติกรีซกำลังจมอยู่ในความมืด แต่พวกเขายังไม่ถึงกลับสิ้นหวัง การคว้าแชมป์ยูโร 2004 คือความสำเร็จที่ผู้คนทั่วโลกยังจดจำ และเป็นแรงบันดาลใจที่อาจปลุกให้กรีซ กลับมาเชิดหน้าชูตาในวงการฟุตบอลโลกได้อีกครั้ง