หมดเลยที่ทำมา : การช่วยคนโกงและใช้สื่อ "ฆ่าตัวเอง" ของ แลนซ์ อาร์มสตรอง
ประวัติศาสตร์ของวงการปั่นจักรยานทางไกล ไม่เคยมีใครยิ่งใหญ่ไปกว่า แลนซ์ อาร์มสตรอง นักปั่นชาวอเมริกันที่เคยคว้าแชมป์ ตูร์ เดอ ฟรองซ์ มากที่สุดถึง 7 สมัย พร้อมกับดีกรี "ผู้พิชิตมะเร็ง" ที่ต่อยอดสู่ชื่อเสียงและเงินทองมากมาย
แต่ใครจะรู้ว่าทุกวันนี้ แลนซ์ แทบกลายเป็นคนที่ไม่เหลืออะไร เพราะเบื้องหลังอันดำมืด ตลอดจนการแสดงออกในที่สาธารณะของเขา ซึ่งนอกจากจะเป็นการกระทำที่ติดลบราวกับฆ่าตัวตายแล้ว เขายังแก้ตัวด้วยการโกหกอีกด้วย
ติดตามเรื่องราวการตกสวรรค์ของนักปั่นจักรยานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ได้ที่ Main Stand
ผู้ยิ่งใหญ่ … ของโลก
"นักกีฬาระดับโลก" แตกต่างกับ "ผู้ทรงอิทธิพลระดับโลก" อยู่บ้างบางประการ ... แม้จะใช้คำคล้าย ๆ กัน แต่การมีอิทธิพลระดับโลกนั้นคือการอยู่เหนือนักกีฬาระดับโลกไปอีกขั้น ดังนั้นจึงมีนักกีฬาไม่กี่คนที่ไปถึงระดับที่ยิ่งใหญ่กว่าอาชีพของตัวเองได้
แลนซ์ อาร์มสตรอง เป็นหนึ่งในนั้น ในช่วงปลายยุค 1990s-2000s ต่อให้คุณไม่ใช่คนที่ชื่นชอบดูการแข่งขันจักรยานทางไกล และไม่ได้มีงานอดิเรกเป็นการปั่นจักรยาน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา อย่างไรเสียคุณก็ต้องเคยได้ยินชื่อของ แลนซ์ อาร์มสตรอง มาบ้าง ... แต่เขาก้าวข้ามคำว่านักกีฬาที่ยิ่งใหญ่มาได้อย่างไร ?
เรื่องในวงการจักรยานของ แลนซ์ นั้นไม่ต้องพูดถึง นี่คือนักปั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกเคยมี นั่นคือการคว้าแชมป์จักรยานทางไกล ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ถึง 7 สมัยติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 1999-2005 ... แต่สิ่งที่ทำให้เขายิ่งใหญ่จนใครก็รู้จักไม่ใช่แค่ความเก่งกาจด้านกีฬา แต่มันคือเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาเคยผ่านมา กว่าที่จะกลายเป็นผู้ชนะต่างหาก
ก่อนที่ แลนซ์ อาร์มสตรอง จะกลายเป็นแชมเปี้ยน เขาเคยถูกตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็งอัณฑะ และโชคไม่ดีที่ในวันที่ตรวจพบ เชื้อได้ลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทั้งปอดและสมอง ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญทั้งสิ้น ณ เวลานั้นเขามีโอกาสรอดจากความตายเพียงแค่ 50% เท่านั้น ... แม้อาจจะเป็นตัวเลขที่ไม่ได้ดูริบหรี่ แต่นี่คือชีวิตคนจริง ๆ แค่หมอบอกว่ามีโอกาสเสียชีวิตเพียง 1% ผู้ป่วยที่ได้ยินคำนี้ก็ใจเสียแล้ว แต่นี่คือ 50% ว่าง่าย ๆ นี่คือช่วงเวลาที่ความเป็นและความตายเท่ากัน
ดังนั้นการจะเอาชนะมะเร็งสำหรับ แลนซ์ คือภารกิจที่เหลือเชื่อ...
"ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตจะต้องมาพบอะไรที่เลวร้ายแบบนี้ ผมเจ็บที่อัณฑะ คิดว่าเป็นเพราะตัวเองอยู่บนเบาะจักรยานวันละ 6 ชั่วโมง แต่มันเจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมจึงไปหาหมอเพื่อเข้าวินิจฉัย หลังจากนั้นโลกทั้งใบก็ถล่มลงมา" แลนซ์ กล่าวกับ ESPN
"ผลการวินิจฉัยคือ พบมะเร็งที่อัณฑะ ผมพบเนื้องอกทั่วร่างอีก 12 ชิ้น และมันใหญ่พอ ๆ กับลูกกอล์ฟ ผมเข้า MRI สแกน และพบว่าในสมองของผมมีจุดอยู่ 2 จุด ผมต้องเข้ารับการผ่าตัด และผมยังจำความรู้สึกนั้นได้ พวกเขาผ่ากะโหลกผมเหมือนกับผ่าลูกฟักทองยังไงยังงั้นเลย"
25 ปี คืออายุของ แลนซ์ ในวันนั้น แม้มักมีคำเตือนให้ระวังตัวในวัย "เบญจเพส" แต่นี่คือหนึ่งในช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุดในชั่วอายุคน นี่คือวัยที่คนเรากำลังเริ่มก่อร่างสร้างตัว สร้างความสำเร็จ และมีอิสระในการใช้ชีวิตอย่างเต็มขั้น ร่างกายยังแข็งแรงมากพอที่จะลองทำอะไรเสี่ยง ๆ เพื่อความสำเร็จ ... ดังนั้นการที่มีคนมาบอกว่าคุณเป็นมะเร็งหนักและมีโอกาสเสียชีวิต มันเป็นสิ่งที่เลวร้าย และหมายความว่าวัยแห่งความฝันของคุณได้หมดลงแล้ว ไม่แปลกถ้าใครสักคนจะยอมแพ้ และเราได้เห็นคนจากไปตั้งแต่อายุยังน้อยจากการเป็นมะเร็ง ... นี่แหละ คือเหตุผลที่ทำให้ แลนซ์ อาร์มสตรอง แตกต่าง
แลนซ์ ตั้งเป้าว่า "ต้องหาย" และเขาจะ "ไม่ยอมแพ้" ไม่ว่าโรคนี้จะกินร่างกายเขาไปมากกว่า 20% แล้วก็ตาม เขาปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รักษาสภาพจิตใจให้พร้อมสู้ในทุกสถานการณ์ แม้ว่าผมของเขาจะร่วงจนหมดหัวจากการทำเคมีบำบัด และเขาต้องลุกเข้าห้องน้ำเพื่ออาเจียนวันละหลาย ๆ ชั่วโมง
หมอผู้ดูแลไข้บอกว่า ร่างกายของ แลนซ์ ให้การตอบสนองแตกต่างจากคนไข้มะเร็งคนอื่น ๆ เพราะมันแข็งแรงพอที่จะต่อสู้กับการเคมีบำบัด ไม่รู้ว้าการเป็นนักปั่นจักรยานอาชีพช่วยให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นหรือไม่ แต่ แลนซ์ บอกว่า ความแข็งแกร่งของเขาเกิดขึ้นจากการไม่กลัว ... เขาเลิกกลัวมะเร็ง และเลิกกลัวตาย และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา
"ผมได้รับรู้ว่า ความไม่รู้นี่แหละคือบ่อเกิดของความกลัว คนเรากลัวในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จัก และไม่เคยสัมผัส ผมทนเห็นตัวเองพยักหน้าโง่ ๆ ตอนฟังคำอธิบายของหมอทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยไม่ได้ ผมจึงเริ่มเรียนรู้ ทำความรู้จักกับมัน ผมเข้าอินเทอร์เน็ตและเปิดหนังสือเกี่ยวกับมะเร็งอ่านทั้งวั้น และเมื่อยิ่งรู้จักมันเท่าไหร่ สายตาของผมก็เต็มไปด้วยความเข้มแข็งมากขึ้นเท่านั้น" แลนซ์กล่าว
แลนซ์ ออกมาใช้ชีวิตนอกโรงพยาบาลอยู่บ่อย ๆ หากว่าร่างกายของเขายังพอไหว วันหนึ่งเขานั่งรถเล่นกินลม และได้เจอกับกลุ่มเด็กหนุ่มกำลังปั่นจักรยานกันบนสนามหญ้าในลานกว้าง แลนซ์ บอกให้คนขับจอดรถ และทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาควรทำ บางอย่างเรียกเขาให้ลงมาจากรถ เขาขอยืมรถจักรยานของเด็ก ๆ มาลองคร่อมดู จากนั้นเขาก็ปั่นมันออกไปตามคำสั่งของร่างกาย ... เขาปั่นได้ 20 นาที และล้มลงในสนามหญ้าหน้าบ้านของใครสักคนด้วยความเหนื่อย แต่ความเหนื่อยนั้นคือสัญญาณบอกกับแลนซ์ว่าเขาเกิดมาเพื่อข้ามขีดจำกัดนี้
จากนั้น แลนซ์ เริ่มใช้วิธีการรักษาแบบใหม่ ใช้ความเชื่อจากที่เขาหาอ่านเจอด้วยตัวเอง ทำจิตใจให้สงบ รู้จักสิ่งที่ต้องเผชิญหน้า และตั้งเป้าหมายในการเอาชนะ เขาทำแบบนี้อยู่ 16 เดือน ผ่าตัดไปทั้งหมด 3 ครั้ง หลงเหลือไว้แต่รอยแผลผ่าตัดที่ศีรษะและร่องรอยของเคมีบำบัดตามแขนและขา แต่ภายในร่างกายของเขาไม่มีเชื้อมะเร็งอีกแล้ว
จากปั่นจักรยานได้ 20 นาที ก็เพิ่มขึ้นเป็น 45 นาที ก่อนจะขยับเป็น 2 ชั่วโมง และสุดท้ายเขากลับมาเป็นนักปั่นจักรยานอาชีพอีกครั้ง ตามเป้าหมายของชัยชนะที่เขาเคยสร้างไว้เมื่อครั้งที่ยังต้องนอนซมไข้ในโรงพยาบาล
"ผมรู้สึกว่าผมเกิดมาเพื่อปั่นจักรยาน เช่นเดียวกับที่ผมเชื่อว่าผมเกิดมาเพื่อเอาชนะโรคมะเร็ง ... ผมจะไม่ปล่อยให้อะไร ๆ มาหยุดสิ่งเหล่านี้ได้ ผมไม่หนี แต่ผมจะเขียนชะตากรรมของผมขึ้นมาเอง" แลนซ์ กล่าวต่อกับ ESPN
สำหรับคนทั่วไป "มะเร็ง" เป็นตัวแทนและภาพจำของความหวาดกลัวและแทบไม่มีวันเอาชนะ ทุกคนพยายามหลีกเลี่ยงมันเพราะความกลัว แต่สิ่งที่ แลนซ์ อาร์มสตรอง ทำ คือการแสดงออกให้โลกเห็นว่า เมื่อคุณมีฝัน คุณต้องปกป้องมัน เมื่อคุณมีเป้าหมาย คุณต้องพยายาม และหากว่าคุณกลัวว่าบางสิ่งจะมาพรากความฝันของคุณไป จงเรียนรู้สิ่ง ๆ นั้น เพื่อหาทางสู้กับมันโดยไร้ความกลัว...
สิ่งที่ แลนซ์ ทำ คือการสร้างภาพจำของชัยชนะเหนือโรคร้าย มันคือสิ่งที่ผู้คนทั่วโลกต้องการใครสักคนที่ทำสิ่งนี้เพื่อแสดงออกให้โลกเห็นว่า "มะเร็งฆ่าคุณได้ก็จริง แต่คุณก็ฆ่ามะเร็งกลับได้เช่นกัน"
ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ก่อนที่ แลนซ์ อาร์มสตรอง จะกลายเป็นนักปั่นจักรยานทางไกลที่เก่งที่สุดในโลก นี่แหละคือเรื่องราวทำให้คนทั้งโลกรู้จักเขาในฐานะยอดคน ไม่ใช่แค่ยอดนักปั่นเหมือนกับคนอื่น ๆ
ขึ้นได้ก็ลงได้
แลนซ์ อาร์มสตรอง กลายเป็นเครื่องหมายแห่งการเอาชนะของมนุษยชาติ เรื่องราวของเขาสร้างแรงบันดาลใจให้คนทั้งโลกจนมีการทำสายรัดข้อมือสีเหลืองที่มีคำว่า "Livestrong" สลักไว้ ซึ่งสายรัดข้อมือนี้ทำยอดขายทั่วโลกได้มากกว่า 80 ล้านเส้น ตลอดจนเป็นต้นกำเนิดของสายรัดข้อมือหลากสีที่ฮิตไปทั่วโลกในเวลาต่อมา นี่แหละ คือการยืนยันบทบาท "ฮีโร่" ของ แลนซ์ ได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ชีวิตคนเราจงอย่าได้ชะล่าใจกับสิ่งใด โรคร้ายและความทุกข์ อาจจะอยู่กับเราไม่นาน หากเราสามารถสู้และเอาชนะมันได้ฉันใด ความสุข ชื่อเสียง และความสำเร็จก็อยู่กับเราได้ไม่นาน หากเราเลือกทำในสิ่งที่ผิดพลาดฉันนั้น ... สำหรับ แลนซ์ เรื่องนี้มาถึงเร็วกว่าที่เขาคาด เพราะรู้ตัวอีกทีเขาก็ตกสวรรค์ไปเสียแล้ว
หลังจากการคว้าแชมป์มานับไม่ถ้วน วงการปั่นจักรยานก็ต้องเจอกับข่าวฉาวครั้งใหญ่ เนื่องจากมีการตรวจพบนักกีฬาที่ใช้สารกระตุ้นแบบผิดกฎหมายกันเป็นจำนวนมาก และมีการสมรู้ร่วมคิดกันของนักกีฬา, ทีมแข่งขัน รวมถึงแพทย์ ในการใช้สารกระตุ้นและจงใจหลบหลีกไม่ให้ถูกตรวจพบได้ จนกลายเป็นวัฒนธรรมอันเลวร้ายที่ได้รับความนิยม เป็นข้อครหาว่าโด๊ปกันแทบทั้งวงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุค 1980s-1990s นั่นเอง ... เมื่อนักกีฬาจากครึ่งวงการถูกจับว่า "โด๊ป" คำถามของคนขี้สงสัยก็เริ่มขึ้น
"แล้ว แลนซ์ อาร์มสตรอง นักปั่นจักรยานที่เก่งที่สุดล่ะ ? เขาใช้ยาโด๊ปด้วยหรือเปล่า ?" นี่คือคำถามที่เปลี่ยนโลกของ แลนซ์ อย่างแท้จริง
เขาอยู่บนจุดสูงสุดของวงการ ความสงสัยจึงเกิดขึ้น และมีการกดดันให้เขาเข้ารับการตรวจสารกระตุ้นเพื่อเปิดเผยความจริง นอกจากนี้ แลนซ์ ยังโดนซัดทอดจากเพื่อนร่วมทีมที่โดนจับโด๊ปอย่าง ไทเลอร์ แฮมิลตัน ที่แฉผ่านสื่อว่า "ใคร ๆ ก็ทำกัน แม้แต่ แลนซ์ อาร์มสตรอง ก็เอากับเขาด้วย"
เรื่องนี้ทำให้ แลนซ์ ต้องเต้นผึงและโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เขาเคยถูกตรวจพบว่าใช้สารกระตุ้นก็จริง แต่ แลนซ์ ก็มีเอกสารและข้ออ้างแก้ต่างมาโดยตลอด แต่หนนี้ร้ายยิ่งกว่าทุกครั้ง แลนซ์ ตอบสื่อกลับด้วยความฉุนเฉียว เขาบอกว่าทุกคนในทีมโกหก และเขาอาจจะโดนตรวจพบสารกระตุ้นมาอยู่บ้าง แต่เขาไม่เคยตั้งใจใช้มันเพื่อโกงใครเลยสักครั้ง
ปฏิเสธและด่ากลับแบบนี้ "เรื่องยาว" แน่นอน ... หนนี้ แลนซ์ ถูกตรวจหาสารกระตุ้นในร่างกายย้อนหลังโดยละเอียด (เนื่องจากมีการเก็บรักษาตัวอย่างที่ถูกนำมาตรวจสารกระตุ้นไว้ สามารถนำมาตรวจสอบเพิ่มเติมภายหลังได้) ภายใต้การคุมเข้มของ องค์กรต่อต้านการใช้สารกระตุ้นของสหรัฐอเมริกา (USADA)
เขาไม่มีสิทธิ์เฉไฉอีกแล้ว และหนนี้ผลตรวจออกมาแน่ชัดว่า "ผู้ยิ่งใหญ่" อย่าง แลนซ์ อาร์มสตรอง คือคนที่เล่นโกงมาตลอดอาชีพของเขา เขาใช้สารกระตุ้นมาตั้งแต่ช่วงปี 1998 ... และนั่นหมายความว่าแทบทุกแชมป์ที่เขาได้มา มีสารกระตุ้นอยู่เบื้องหลังชัยชนะทั้งสิ้น แถมผลจากการสอบสวนพยานทั้งเพื่อนร่วมทีมและทีมแพทย์ที่ดูแล พวกเขาได้สารภาพเพิ่มเติมว่า แลนซ์ นี่แหละ ที่เป็นคนวางแผนและชักจูงให้คนอื่น ๆ ในทีมใช้สารกระตุ้นเหมือนกับที่เขาทำ
ทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น แม้แต่ USADA ที่ตั้งตนเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับ แลนซ์ ยังยอมรับว่า เรื่องดังกล่าวเป็น "โปรแกรมการโด๊ปที่ซับซ้อน, เป็นมืออาชีพ และประสบความสำเร็จที่สุดเท่าที่วงการกีฬาเคยเห็นมา"
หมดแล้วกับที่สั่งสมมา ชื่อเสียงของ แลนซ์ อาร์มสตรอง เป็นการตั้งใจและสนับสนุนการโกง ทำให้เขาถูกตัดสินเมื่อปี 2012 ให้ถูกริบแชมป์ ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ทั้ง 7 สมัย รวมถึงทุกความสำเร็จที่เคยทำได้หลังจากปี 1998 เป็นต้นมา และถูกสั่งห้ามยุ่งเกี่ยวกับวงการจักรยาน "ตลอดชีวิต"
สิ่งที่โลกอยากรู้หลังจากนี้คือ ทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น ? พวกเขาอยากได้ยินคำสารภาพจากปาก แลนซ์ และอยากเปิดโปงเรื่องทั้งหมดที่เขารู้ แม้ว่าความเลวร้ายที่ทำไว้จะไม่ถูกลืม แต่การแสดงออกอย่างผู้กล้าหาญ จะทำให้ทุกคนสามารถรับรู้ว่า "คำพูดของเขายังคงมีความหมายและเชื่อถือได้" แม้มันจะเพียงน้อยนิดก็ตาม
โอกาสสุดท้าย … แต่ก็ยังทำ
เรื่องการใช้สารกระตุ้น ไม่ได้เกิดขึ้นกับยอดนักกีฬาอย่างเขาเป็นคนแรก ดิเอโก มาราโดนา ยอดนักเตะชาวอาร์เจนตินาเคยถูกตรวจพบจนถูกถอดจากทีมชุดลุยฟุตบอลโลกปี 1994 , ไทเกอร์ วูดส์ ก็เคย หรือแม้กระทั่งอดีตประธานาธิบดีอย่าง บิล คลินตัน ก็เคยโดนข้อหานี้เช่นกัน ... พวกเขาทั้งหมดที่กล่าวมาตัดสินใจสารภาพความจริง และนั่นทำให้ยังพอมีความนิยมในตัวของพวกเขาหลงเหลืออยู่บ้าง แม้ว่าจะลดลงไปพอสมควร
แต่สำหรับ แลนซ์ เขาเป็นคนที่ได้โอกาสแก้ตัวมากกว่าใคร เมื่อได้รับการเชิญไปออกรายการ "โอปราห์ โชว์" ของ โอปราห์ วินฟรี่ย์ รายการแนวทอล์กโชว์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา เขาควรต้องใช้โอกาสนี้เปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ...
"ตลอด 13 ปี คุณปฏิเสธเรื่องนี้มาตลอด ทำไมคุณเพิ่งมายอมรับเอาป่านนี้ (ปี 2013) ?" โอปราห์ ยิงคำถามทันทีแบบไม่ต้องมีพิธีรีตอง ก่อนที่ แลนซ์ จะตอบว่า
"นี่คือคำถามที่ดีที่สุด ผมรู้ว่ามันสายไปแล้วสำหรับคนอื่น และผมยอมรับว่าผมเป็นคนผิดเอง ผมเริ่มโกหกเรื่องแรกและทำให้มันยาวต่อไปเรื่อย ๆ ผมพูดมันหลายครั้ง" แลนซ์ ตอบ
จริง ๆ แล้วประเด็นในวันนั้นมีอีกมากมาย โอปราห์ถามแต่ละคำถามอย่างตรงใจคนดู และจี้ไปที่ แลนซ์ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งเรื่องที่เขาบังคับให้เพื่อนร่วมทีมโกงด้วยการใช้สารกระตุ้น ไม่เช่นนั้นจะไล่ออก, บังคับให้แพทย์ประจำทีมอย่าง ดร. มิเคเล่ เฟอร์รารี่ นำสารกระตุ้นไปฉีดให้กับเพื่อนนักปั่น ตลอดจนการฟ้องทีมงานที่พยายามเปิดเผยเรื่องนี้ ซึ่ง แลนซ์ ปฏิเสธหมดทุกข้อกล่าวหา ด้วยคำพูดที่วกวน (จากการวิเคราะห์โดยแหล่งอ้างอิงที่จะกล่าวถึงในภายหลัง)
การสารภาพของเขาในการให้สัมภาษณ์กับโอปราห์ ไม่มากพอกับที่ทุกคนอยากได้ยิน ... ต้องเข้าใจว่าเรื่องของเขานั้นถูกเปิดเผยและเวลาก็ผ่านมานานมากแล้ว (เกิน 10 ปี) ขณะที่คนรอบข้างของเขาก็ออกมาพูดในแบบเดียวกันว่า แลนซ์ คือคนที่รู้เห็นเป็นใจและอยู่เบื้องหลังทุกอย่าง โดยสิ่งที่ แลนซ์ สารภาพในรายการนั้น มีแค่การยอมรับว่ามีความสุขกับการเป็นแชมป์ แม้ว่าจะเป็นแชมป์แบบโกง ๆ แถมเขายังไม่ได้รู้สึกผิด และไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่เลย
ทุกคนอยากเห็น แลนซ์ พูดความจริง เพราะเขาได้ทำเรื่องเลวร้ายกับคนใกล้ชิดไว้มากมาย เขาเป็นตัวร้ายของวงการจักรยานในสายตาของคนอื่น ๆ ทว่าการสัมภาษณ์นั้นก็ไม่สามารถเปิดปากของเขาได้...
คนที่ฟังเรื่องนี้แล้วตลกที่สุดคือ ทราวิส ไทการ์ต ซีอีโอของ USADA ที่ให้สัมภาษณ์หลังรายการของโอปราห์จบลงว่า แลนซ์ อาร์มสตรอง ยังคงพูดโกหกต่อไปอย่างหน้าตาย แม้จะออกรายการดังระดับประเทศก็ตาม
ไทการ์ตบอกว่า แลนซ์ โกหกหลายจุดมาก และหลายสิ่งที่เขาบอกในรายการ ก็ไม่ตรงกับข้อมูลที่ USADA มี โดยเฉพาะท่อนที่ แลนซ์ บอกว่า เขาไม่เคยใช้สารกระตุ้นร่างกายอีกเลยนับตั้งแต่ประกาศอำลาวงการกีฬาชั่วคราว และกลับมาลงแข่งขัน ตูร์ เดอ ฟรองซ์ อีกครั้งเมื่อปี 2009 และ 2010 ซึ่งตามข้อมูลที่ไทการ์ตมี เจ้าตัวกล้ายืนยัน 100% ว่า แลนซ์ ยังคงใช้มันอยู่ (ช่วงปีนั้น แลนซ์ ยังไม่โดนริบแชมป์ และปฏิเสธทุกอย่างที่เป็นกระแสในแง่ลบต่อตัวเขา)
ไทการ์ตรู้ดีว่า ทำไม แลนซ์ ยังคงต้องโกหกพกลมต่อไป ... มันไม่ใช่เรื่องของการกลัวเสียความนิยม หรือการเห็นอกเห็นใจผู้ที่สนับสนุนเขา แต่มันเป็นเพราะคำสารภาพ อาจเป็นความพยายามหาช่องโหว่ทางกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหาฉ้อโกงนี้
การโกหกผ่านรายการของโอปราห์นั้นเป็นเรื่องใหญ่ จนถึงขั้นมีการทำโพลสำรวจความคิดชาวอเมริกันขึ้นมาเลยทีเดียวว่า "พวกเขาเชื่อมั่นในคำพูดของ แลนซ์ ได้แค่ไหน ?" และผลสำรวจที่ออกมาคือ มีคนเชื่อสิ่งที่แลนซ์พูดแค่ 37% เท่านั้น
สิ่งที่ตามมา คือผู้สนับสนุนที่เขามีเริ่มทยอยยกเลิกและไม่ต่อสัญญามากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งแทบไม่เหลือใครที่อยู่ข้างเขาเลย สำคัญที่สุดคือ ทุกวันนี้ชื่อของ แลนซ์ อาร์มสตรอง ก็ค่อย ๆ จางหายไปทีละนิด ๆ
จากสุดยอดนักกีฬาแห่งยุคที่ใคร ๆ ก็รู้จัก เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลก ... ตอนนี้ภาพของ แลนซ์ อาร์มสตรอง กลายเป็นคนโกงที่ซ่อนตัวเองอยู่หลังคำโกหก แม้แต่ตอนนี้ข้อมูลปัจจุบันของเขาใน Google ก็ยังหายากเลยด้วยซ้ำว่าเขาทำอะไรอยู่
มีสื่อในมือแต่ใช้ในทางที่ผิด มีชื่อเสียงแต่กลัวจะเสียมันไปจนต้องโกหก รวมถึงการไม่ยอมรับความจริง แม้วันที่ทั้งโลกเห็นความผิดของตัวเอง
นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดขึ้นกับผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขา แลนซ์ อาร์มสตรอง