คริสเตียน เคจ : นักมวยปล้ำอันเดอร์เรตตลอดกาล สู่แชมป์โลกอย่างสมศักดิ์ศรีในวัย 47 ปี

คริสเตียน เคจ : นักมวยปล้ำอันเดอร์เรตตลอดกาล สู่แชมป์โลกอย่างสมศักดิ์ศรีในวัย 47 ปี

คริสเตียน เคจ : นักมวยปล้ำอันเดอร์เรตตลอดกาล สู่แชมป์โลกอย่างสมศักดิ์ศรีในวัย 47 ปี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากพูดถึงชื่อนักมวยปล้ำอย่าง คริสเตียน เคจ คุณอาจจะนึกภาพเขาไม่ค่อยออก แต่ถ้าพูดว่าเป็นคู่แท็กทีมของ เอดจ์ สตาร์ชื่อดังของ WWE ใครหลายคนคงนึกถึงเขาได้ทันที 

ตลอดระยะเวลาหลายปี คริสเตียนคือนักมวยปล้ำที่ถูกมองข้ามมาตลอด เขาคือหนึ่งในนักสู้ที่ถูกอันเดอร์เรตที่สุดตลอดกาล หรือถูกมองความสามารถต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะแท้จริงแล้ว คริสเตียนคือนักมวยปล้ำที่มีศักยภาพระดับแชมป์โลก ไม่ต่างจากเอดจ์เพื่อนซี้ของเขาเลย

หลังจากต้องเลิกปล้ำในปี 2014 ด้วยอาการบาดเจ็บ คริสเตียนเหมือนจะหมดโอกาสที่จะได้เป็นแชมป์โลกอย่างสมศักดิ์ศรี แต่ด้วยวัย 47 ปี เขาหวนคืนสู่สังเวียนอีกครั้ง และได้รับโอกาสสำคัญ กับการประกาศศักดาว่า เขาก็เป็นนักมวยปล้ำระดับตำนานตัวจริงเสียงจริงของวงการนี้

คริสเตียน และ เอดจ์ 

ชื่อจริงของ คริสเตียน เคจ คือ วิลเลียม เจสัน เรโซ เด็กหนุ่มจากประเทศแคนาดา ที่หลงรักกีฬามวยปล้ำตั้งแต่วัยเยาว์ และมีเพื่อนซี้ที่มีชื่อว่า อดัม ค็อปแลนด์ หรือที่ต่อมาเป็นที่รู้จักกันในฐานะนักมวยปล้ำนามว่า เอดจ์ 

เรโซ และ ค็อปแลนด์ คือเพื่อนแท้มาตั้งแต่สมัยประถม ทั้งคู่รักมวยปล้ำเหมือนกัน รวมถึงเป็นแฟนเดนตายของกีฬาฮอกกี้น้ำแข็งเหมือนกัน พวกเขาเป็นผู้ชายตลก ๆ แต่จริงจังในการทำงาน และต้องการจะเป็นนักมวยปล้ำอาชีพเหมือนกันทั้งคู่


Photo : onlineworldofwrestling

ในปี 1994 ด้วยวัย 21 ปี วิลเลียม เรโซ เริ่มฝึกมวยปล้ำอย่างจริงจัง ไปพร้อมกับเพื่อนซี้ของเขา และเพียง 1 ปีหลังจากนั้น เขาก็เริ่มปล้ำมวยปล้ำอาชีพ ภายใต้ชื่อของ "คริสเตียน เคจ" ซึ่งไม่มีความหมายใด ๆ นอกจากเป็นการเอาชื่อนักแสดงสองคนมารวมกัน นั่นคือ คริสเตียน สเลเตอร์ (Christian Slater) และ นิโคลัส เคจ (Nicolas Cage) 

คริสเตียน และ เอดจ์ เดินทางไปปล้ำให้สมาคมอิสระทั้งใน แคนาดา, สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ในฐานะคู่แท็กทีม จนกระทั่ง เอดจ์ เพื่อนรักของเขาได้เซ็นสัญญากับ WWE ในปี 1997 ซึ่งคริสเตียนก็ได้ไปร่วมทดสอบฝีมือในครั้งนั้นด้วย แต่น่าเสียดายที่ WWE มองข้ามในตัวเขา และเลือกจะให้สัญญากับเอดจ์เพียงคนเดียวเท่านั้น

 

แต่นั่นไม่ได้ทำให้คริสเตียนรู้สึกน้อยใจ เขาทำงานหนักกว่าเดิมเพื่อพิสูจน์ตัวเอง จนกลายเป็นสตาร์ดังของ ECWA สมาคมมวยปล้ำอินดี้ในรัฐเดลาแวร์ของสหรัฐฯ บวกกับการได้ไปฝึกวิชากับตำนานนักมวยปล้ำ อย่าง ดอร์รี่ ฟังค์ จูเนียร์ (Dory Funk Jr.) ทำให้ WWE ตัดสินใจหวนกลับมาเซ็นสัญญากับคริสเตียนในที่สุด

คริสเตียนเปิดตัวที่ WWE ในฐานะพี่ชายของเอดจ์ และมีบทบาทร่วมกันมาตลอด จากช่วงแรกในฐานะศัตรู แปรผันสู่กิมมิกแวมไพร์กระหายเลือดในนามของ "The Brood" ก่อนจะกลายมาเป็นคู่แท็กทีมกัน และโด่งดังไปทั่วโลกในฐานะ "เอดจ์ แอนด์ คริสเตียน"


Photo : TheBroodWwe

คริสเตียน และ เอดจ์ ถึงจะเป็นนักมวยปล้ำหน้าใหม่ แต่ทั้งคู่มีความเป็นสตาร์ดังอยู่ในตัว ไม่ใช่แค่การคว้าแชมป์แท็กทีมหลายสมัย แต่รวมไปถึงการได้รับรางวัลจากสื่อมวยปล้ำที่ได้รับการยอมรับ เช่น การได้รางวัลแมตช์ยอดเยี่ยมจาก PWI ในปี 2000 และ 2001 รวมถึงรางวัลคู่แท็กทีมยอดเยี่ยมจาก WON ในปี 2000

ในเวลานั้น ไม่มีแท็กทีมคู่ไหนบนโลกที่จะมาทาบความยิ่งใหญ่ทั้งในและนอกสนามไปจาก เอดจ์ และ คริสเตียน ได้ อย่างไรก็ตาม การที่ทั้งสองคนโด่งดังเกินไป ก็นำมาซึ่งผลเสีย เพราะ WWE คือสมาคมมวยปล้ำที่ไม่ให้ความสำคัญกับมวยปล้ำแบบแท็กทีม หากจะผลักดันให้เป็นซูเปอร์สตาร์ ก็ต้องแยกกันออกไปปล้ำเดี่ยว

 

WWE จึงทำการแตกทีมระหว่าง เอดจ์ กับ คริสเตียน ออกอย่างน่าเสียดาย ในช่วงกลางปี 2001 ซึ่งเป็นปกติของโลกมวยปล้ำ เมื่อมีการแยกทีมกัน ก็ต้องมีคนหนึ่งเป็นฝ่ายธรรมะและอีกคนเป็นฝ่ายอธรรม และ WWE ก็ตัดสินใจเลือกเอดจ์ให้เป็นธรรมะ ส่วนคริสเตียนกลายเป็นอธรรม

เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า เหตุใดเอดจ์ต้องเป็นฝ่ายธรรมะ เพราะเขาตัวใหญ่กว่า หล่อกว่า และมีภาพลักษณ์ดีกว่าคริสเตียน ขณะที่สิ่งเดียวที่คริสเตียนทำได้ดีกว่าคือการปล้ำ แต่สำหรับ วินซ์ แม็คแมน เจ้าของ WWE เรื่องภาพลักษณ์มาก่อนฝีมือเสมอ 


Photo : onlineworldofwrestling

คริสเตียนจึงต้องรับบทเป็นฝ่ายอธรรมผู้ขี้ขลาด ที่หักหลังน้องชายตัวเองเพราะความอิจฉา และบทบาทของทั้งสองคนก็สวนทางกันอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เอดจ์กลายเป็นฝ่ายธรรมะขวัญใจผู้ชม คริสเตียนเป็นได้แค่นักมวยปล้ำสายฮาที่ไม่มีใครเชียร์ ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครให้ความสำคัญ

"ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก เพราะเราคือ 'เอดจ์ แอนด์ คริสเตียน' เราเท่ากันมาตลอด เราไม่เคยอยากให้ใครเด่นกว่าใคร ผมไม่ได้รู้สึกว่า ผมจำเป็นจะต้องเด่นกว่าเอดจ์"

 

"ตอนนั้นผมทั้งกดดัน และไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งพอเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น การจะทำอะไรมันก็ยากไปหมด" คริสเตียน ย้อนเล่าถึงชีวิตช่วงที่เขาต้องแยกทีมกับเอดจ์ จนทำให้บทบาทของตัวเองตกต่ำลง

ลาจาก WWE

เส้นทางนักมวยปล้ำของคริสเตียนหลงทางอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งปลายปี 2002 เขาได้รับบทให้ไปจับคู่กับ คริส เจอริโก้ (Chris Jericho) อีกหนึ่งนักมวยปล้ำเพื่อนสนิทในชีวิตจริง การได้กลับมาเป็นนักมวยปล้ำแบบแท็กทีม ทำให้คริสเตียนฉายแววเด่นของตัวเองออกมาได้อีกครั้ง 

อีกทั้งคราวนี้ เขายังได้ทำงานกับหนึ่งในสุดยอดตลอดกาลอย่าง คริส เจอริโก้ ที่คอยช่วยเหลือคริสเตียนขึ้นมาเป็นนักมวยปล้ำอธรรมตัวแสบ จน WWE มีความคิดที่จะผลักดันคริสเตียนเป็นครั้งแรก 


Photo : thesportster

 

ตลอดปี 2003 คริสเตียนกลายเป็นสตาร์ระดับกลางของ WWE ที่คว้าแชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัลอยู่หลายสมัย ก่อนจะได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ด้วยการชนะ คริส เจอริโก้ ในเรสเซิลมาเนียครั้งที่ 20 ณ เวลานั้น ใคร ๆ ก็เชื่อว่าคริสเตียนพร้อมแล้วกับการก้าวขึ้นเป็นนักมวยปล้ำฝ่ายอธรรมระดับแถวหน้าของสมาคม

ยิ่งบวกกับการพัฒนาคาแร็กเตอร์ของเขา จนกลายมาเป็น กัปตัน คาริสม่า (Captain Charisma) นักมวยปล้ำที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ความโอหัง และมีฝีมือที่ยอดเยี่ยม พร้อมจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ทุกคน

"คาแร็กเตอร์กัปตัน คาริสม่า ทำให้แฟนมวยปล้ำได้เห็นภาพที่ต่างออกไปของผม ผมไม่ใช่คริสเตียนคนเดิมอีกแล้ว นี่คือคริสเตียนคนใหม่ คนที่เหมาะสมกับการเป็นแชมป์" คริสเตียน พูดถึงตัวตนใหม่ของเขา  

อย่างไรก็ตาม บทบาทของคริสเตียน ในฐานะกัปตัน คาริสม่า กลับแย่ลงเรื่อย ๆ ในขณะที่คาแร็กเตอร์ของเขามีทุกอย่างที่ควรค่ากับการถูกผลักดัน ชุดเท่ เพลงเปิดตัวเท่ เป็นนักมวยปล้ำที่มีฝีมือ สามารถพูดออกไมค์ได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมเสมอที่จะเป็นซูเปอร์สตาร์ของสมาคม


Photo : pwpnation

 

WWE กลับเปลี่ยนให้คาแร็กเตอร์นี้ เป็นนักมวยปล้ำที่ดีแต่ภายนอก แต่แท้จริงแล้วโคตรไม่เก่ง แพ้เป็นว่าเล่น ซึ่งทำให้คริสเตียนไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาเห็นศักยภาพในตัวเอง และเชื่อว่าควรได้รับการผลักดันมากกว่านี้ 

"ผมเห็นผลลัพธ์ที่คนดูให้กับผม แต่ทุกอย่างมันไม่มีอะไรเปลี่ยน (การผลักดันให้เป็นนักมวยปล้ำแถวหน้าของสมาคม) ผมรู้สึกว่าไม่ว่าจะทุ่มเทมากแค่ไหน ทุกอย่างก็ไม่มีทางเปลี่ยน ดังนั้นถ้าอยากจะให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง ก็ต้องเริ่มที่ตัวผมเอง" 

คริสเตียนหมดสัญญากับ WWE ในวันที่ 31 ตุลาคม ปี 2005 เขาเลือกที่จะปฏิเสธสัญญาก้อนโตจาก WWE เพราะต้องการหาโอกาสที่จะเป็นสตาร์ดัง และตัดสินใจย้ายไปอยู่กับค่ายมวยปล้ำหน้าใหม่โนเนม อย่าง TNA

ก้าวเป็นซูเปอร์สตาร์ และร่วงหล่น...

การย้ายออกจาก WWE ไปอยู่ค่ายเล็ก อย่าง TNA คือข่าวที่สะเทือนวงการมวยปล้ำอย่างมากในปี 2005 เพราะไม่เคยมีสตาร์มีชื่อคนไหน ย้ายโดยตรงจาก WWE สู่ TNA มาก่อน

"ผมแค่คิดว่าต้องหาโอกาสให้ตัวเอง ต้องกล้าที่จะเสี่ยง ซึ่ง TNA สามารถมอบโอกาสนั้นให้กับผมได้ ต่อให้เป็นสมาคมเล็ก ๆ แต่สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด คือการเป็นนักมวยปล้ำระดับท็อปของสมาคม และได้ยืนอยู่ในจุดนั้นอย่างสวยงาม"  คริสเตียน กล่าวถึงเหตุผลที่เขาย้ายไป TNA


Photo : sportskeeda

นักมวยปล้ำหนุ่มจากแคนาดา ตัดสินใจครั้งนี้ไม่ผิดแม้แต่น้อย TNA ผลักดันเขาให้กลายเป็นนักมวยปล้ำระดับแถวหน้า ซึ่งรวมไปถึงการเป็นแชมป์โลกของสมาคมถึง 2 สมัย 

TNA ไม่ได้เพียงแค่ผลักดันคริสเตียนให้เป็นนักมวยปล้ำที่แฟน ๆ เชื่อว่า สามารถเป็นตัวท็อปของสมาคมได้ แต่คริสเตียนได้ยกระดับ TNA ให้กลายเป็นค่ายมวยปล้ำที่ขึ้นมาอยู่ระดับเมนสตรีม และทำให้นักมวยปล้ำชื่อดังจาก WWE อย่าง เคิร์ท แองเกิล (Kurt Angle) หรือ บูเกอร์ ที (Booker T) กล้าที่จะย้ายมาปล้ำกับ TNA โดยตรง หลังจากหมดสัญญากับ WWE

ตลอดระยะเวลาร่วม 3 ปี กับ TNA คริสเตียนไม่ได้เพียงแค่พิสูจน์ว่าเขาเป็นซูเปอร์สตาร์ได้ แต่ยังเป็นนักมวยปล้ำที่เก่งกาจ สร้างแมตช์คุณภาพออกมาได้อย่างต่อเนื่องจนเป็นที่ยอมรับของแฟนมวยปล้ำ

หลังจากก้าวขึ้นเป็นสตาร์ที่ TNA จึงไม่แปลกที่หลังจากหมดสัญญา เขาจะกลับสู่ WWE อีกครั้ง ในปี 2009 เพื่อพิสูจน์ตัวเองในเวทีใหญ่ ให้แฟนมวยปล้ำทั่วโลกได้เห็นว่า เขาเป็นสตาร์ดังได้ไม่ต่างจาก เอดจ์ เพื่อนรัก ที่ตอนนั้นกลายเป็นนักมวยปล้ำฝ่ายอธรรมเบอร์ 1 ของสมาคมไปแล้ว 


Photo : Peoplepill

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปในแบบที่คริสเตียนคาดการณ์ไว้ เขาถูกส่งไปเริ่มต้นใหม่กับค่ายเล็กสุดอย่าง ECW และถึงเขาจะได้เป็นแชมป์ประจำค่าย แต่ก็ไม่ได้มีใครสนใจเท่าไหร่นัก เพราะเป็นโชว์ขนาดเล็กที่มีผู้ชมน้อย

ทั้งที่ตลอดเวลาที่อยู่กับค่าย ECW เขาแบกทั้งโชว์ไว้บนหลังของเขา สร้างแมตช์สนุกออกมามากมาย แต่ก็ไม่ได้รับการผลักดันต่อ หลังจากถูกย้ายไปอยู่ค่าย Raw และ Smackdown บทบาทของนักมวยปล้ำรายนี้ยิ่งจืดจางลง จนกลายเป็นบันไดให้เด็กรุ่นใหม่ก้าวข้ามผ่าน

อนาคตของคริสเตียนกลายเป็นมืดมนสุด ๆ อย่างรวดเร็ว หลังจากเขาได้รับอาการบาดเจ็บบริเวณหน้าอก จนต้องพักการปล้ำไปประมาณ 4 เดือน และเมื่อหายเจ็บกลับมา เขาก็ไม่ได้ปล้ำในศึกใหญ่ประจำปี อย่าง เรสเซิลมาเนีย 

นอกจากนี้ยังต้องไปรับบทตัวประกอบที่เป็นเพื่อนของเอดจ์ เพื่อโดนกระทืบ ปูทางสู่แมตช์ชิงแชมป์โลกระหว่าง เอดจ์ กับ อัลแบร์โต้ เดล ริโอ (Alberto Del Rio) ในเรสเซิลมาเนียครั้งที่ 27

แชมป์โลก 2 วัน 

หลังจากเรสเซิลมาเนีย 27 จบลง ทิศทางของคริสเตียนยังคงไม่ดีเหมือนเดิม ด้วยการมาแพ้ให้ อัลแบร์โต้ เดล ริโอ เพื่อปูบทให้กับเรื่องราวของ เอดจ์ ต่อไป 

อย่างไรก็ตามทุกอย่างกลับพลิกผัน เอดจ์ได้รับบาดเจ็บ จนต้องรีไทร์จากวงการ พร้อมทั้งสละแชมป์โลกเฮฟวี่เวทที่เขาครองอยู่ เปิดโอกาสให้คริสเตียนเข้ามาสวมรอยเป็นผู้ท้าชิงแชมป์โลกที่ว่างอยู่กับ เดล ริโอ


Photo : bleacherreport.com

ด้วยการช่วยเหลือของเอดจ์ (ตามบท) คริสเตียนก็พลิกล็อกชนะ เดล ริโอ ลงได้แบบช็อกคนทั้งโลก คว้าแชมป์โลกสมัยแรกใน WWE ได้อย่างยิ่งใหญ่ แบบที่ไม่มีใครคาดคิด

การรีไทร์ของเอดจ์ และการก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์โลกของคริสเตียน ทำให้แฟนมวยปล้ำคิดว่าในที่สุด คริสเตียนจะไม่ถูกมองข้ามโดย WWE อีกต่อไป ในฐานะผู้สืบทอดของเอดจ์ ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นท็อปสตาร์แทนที่ว่างของเพื่อนรัก

น่าเสียดายที่ WWE ไม่ปล่อยให้แฟนมวยปล้ำได้ฝันต่อ เพราะอีก 2 วันถัดมาหลังจากนั้น คริสเตียนก็เสียแชมป์โลกสมัยแรกของเขาให้กับ แรนดี้ ออร์ตัน (Randy Orton) ในทันที และถูกพลิกบทบาทให้กลายมาเป็นฝ่ายอธรรมขี้ขลาดอย่างรวดเร็ว ทั้งที่เพิ่งคว้าแชมป์โลกสุดยิ่งใหญ่ที่เขารอคอยมาโดยตลอด

ช่วงเวลาที่คริสเตียนควรขึ้นสู่จุดสูงสุด กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่น่าเสียดายที่สุดของคริสเตียน เพราะทุกแมตช์ที่คริสเตียนปล้ำกับ แรนดี้ ออร์ตัน เขาโชว์ผลงานได้ในระดับสุดยอด จนกลายเป็นขวัญใจของแฟนมวยปล้ำมากมาย 


Photo : bleacherreport.com

แต่เขาแพ้แทบทุกแมตช์ที่เจอกับออร์ตัน แถมครั้งเดียวที่ชนะยังเป็นการชนะเพราะออร์ตันทำผิดกฎกติกา หรือที่เรียกว่า DQ อีกด้วย

หลังจากนั้นบทบาทของคริสเตียนก็ไม่เคยกลับไปอยู่ในระดับแชมป์โลกอีกเลย ทั้งที่เขายังคงเป็นนักมวยปล้ำที่สร้างแมตช์ดี ๆ อยู่ตลอด จนกระทั่งสุดท้ายในปี 2014 เขาได้รับบาดเจ็บกระทบกระเทือนทางสมอง และต้องเลิกปล้ำอย่างไม่เป็นทางการในที่สุด

คว้าแชมป์โลกอย่างสมศักดิ์ศรีในวัย 47 

หลังจากอาการบาดเจ็บกระทบกระเทือนทางสมอง คริสเตียนก็ไม่เคยกลับคืนสูสังเวียนมวยปล้ำอีกเลย ซึ่งในความเป็นจริง อาการบาดเจ็บของเขาไม่ได้ร้ายแรงจนทำให้เขาต้องเลิกปล้ำถาวร เจ้าตัวหายดีมาสักพักใหญ่แล้ว เพียงแต่ WWE ไม่เคยคิดจะใช้งานเขาบนสังเวียนอีกเลย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะจากอดีตที่ผ่านมา WWE ก็ไม่ได้เห็นคุณค่าในตัวนักมวยปล้ำรายนี้เท่าไหร่นัก

จนกระทั่ง เอดจ์ เพื่อนซี้ของคริสเตียนกลับมาจากการรีไทร์ และมีเนื้อเรื่องกับ แรนดี้ ออร์ตัน ทำให้คริสเตียนต้องกลับมาปล้ำเฉพาะกิจหนึ่งแมตช์ กับ ออร์ตัน เพื่อปูบทระหว่างนักมวยปล้ำรายนี้กับ เอดจ์ ซึ่งแน่นอนว่าคริสเตียนก็โดนกระทืบ แพ้ไปตามระเบียบ 


Photo : prowrestlingnewshub.com

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่พอใจ ในขณะที่นักมวยปล้ำในตำนานหลายคน ถูก WWE เรียกตัวมาใช้งานตลอด คริสเตียนกลับไม่เคยได้รับโอกาสนั้นเลย ทั้งที่เขาก็มองว่าตัวเองก็มีดี ไม่แพ้นักมวยปล้ำคนไหน และแฟนมวยปล้ำส่วนใหญ่ ก็อยากเห็นผู้ชายคนนี้คืนสู่สังเวียนอีกครั้ง

สุดท้ายคริสเตียนตัดสินใจเดินเข้าไปคุยกับ วินซ์ แม็คแมน ชายที่มีอำนาจสูงสุดของ WWE อย่างตรงไปตรงมา และหลังจากได้รับการยืนยันว่า สมาคมไม่มีแผนใช้งานเขา เจ้าตัวก็ตัดสินใจอำลา WWE อีกครั้ง 

หลังออกจาก WWE คริสเตียนได้พูดคุยกับนักมวยปล้ำรุ่นน้องคนสนิท อย่าง จอน ม็อกซ์ลีย์ (Jon Moxley) อดีตนักมวยปล้ำของ WWE (ภายใต้ชื่อ ดีน แอมโบรส) ที่ออกไปเป็นสตาร์ดังอยู่กับ AEW หรือ All Elite Wrestling ค่ายคู่แข่งของ WWE

ม็อกซ์ลีย์ ได้แนะนำให้คริสเตียนลองพูดคุยกับ โทนี่ ข่าน (Tony Khan) เจ้าของสมาคม AEW เพราะม็อกซ์ลีย์เชื่อว่าคริสเตียนที่บัดนี้อายุ 47 ปี ยังดีพอที่จะเป็นนักมวยปล้ำระดับสูง และไม่ควรปล่อยโอกาสเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้ให้หลุดลอยไป 

ซึ่งทั้งสองก็คุยกันได้อย่างถูกคอ ทั้งสองคนพูดคุยกันถึงสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายต้องการ และเมื่อความเห็นของทั้งสองฝ่ายไปด้วยกันได้ คริสเตียน เคจ จึงเซ็นสัญญากับ AEW และเปิดตัวในฐานะนักมวยปล้ำอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

คริสเตียน ไม่ได้เข้ามาเพื่อหวังจะแย่งสปอตไลท์ไปจากนักมวยปล้ำคนอื่น แต่เขาเข้ามาเพื่อยกระดับทุกคน ทั้งตัวเขาเองและนักมวยปล้ำรุ่นน้องคนอื่น เพียงแค่แมตช์แรกในการปล้ำที่ AEW เขาได้สร้างแมตช์ที่สนุกร่วมกับ แฟรงค์กี คาซาเรียน (Frankie Kazarian) รวมถึงรับบทเป็นอาจารย์ให้กับนักมวยปล้ำหนุ่มอนาคตไกล วัย 24 ปี อย่าง จังเกิล บอย (Jungle Boy)


Photo : Reddit

ในตอนนี้บทบาทของเขาแตกต่างจากสมัยอยู่กับ WWE ที่เขาต้องคอยรับบทเป็นผู้แพ้ เพื่อผลักดันนักมวยปล้ำรุ่นใหม่ จนไม่เหลือราศีของนักสู้ระดับท็อป แต่กับที่ AEW คริสเตียนสามารถปล้ำโดยไม่เคยแพ้ในแมตช์การปล้ำปกติเลยแม้แต่ครั้งเดียว ขณะเดียวกันยังสามารถผลักดันนักมวยปล้ำคนอื่นไปพร้อม ๆ กันได้ ด้วยการปล้ำที่มากความสามารถกับประสบการณ์อันโชกโชนของเขา ซึ่งเป็นการส่งเสริมนักมวยปล้ำรุ่นน้องได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้แมตช์การปล้ำออกมามีคุณภาพที่ยอดเยี่ยม

นับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่คริสเตียนคืนสู่สังเวียน เขาก็ค่อย ๆ พิสูจน์ตัวเองจนได้รับโอกาสสำคัญ นั่นคือการชิงแชมป์โลก IMPACT ของสมาคม IMPACT Wrestling (หรือ TNA ซึ่งเปลี่ยนชื่อใหม่) ที่ถือครองโดย เคนนี่ โอเมก้า (Kenny Omega) นักมวยปล้ำเบอร์ 1 ของ AEW และว่าที่นักมวยปล้ำยอดเยี่ยมแห่งปี 2021 จากหลายสถาบัน

คริสเตียน ถูกตั้งคำถามอย่างมากว่า เขาจะดีพอหรือไม่กับการชิงแชมป์กับ เคนนี่ โอเมก้า ชายผู้ปราบนักมวยปล้ำมาแล้วมากมาย ที่ถูกวางบทให้เป็นนักมวยปล้ำที่แข็งแกร่งที่สุด จนไม่เคยแพ้ใครมาตลอดปี 2021 และไม่แพ้การปล้ำในแมตช์ 1 ต่อ 1 มาตั้งแต่ปี 2019


Photo : Reddit

ว่ากันด้วยตรรกะแบบมวยปล้ำ ชายที่จะมากระชากแชมป์ไปจาก เคนนี่ โอเมก้า และปราบนักมวยปล้ำที่ไร้พ่ายมาเกือบ 2 ปี จะต้องแข็งแกร่งอย่างมาก และแฟนมวยปล้ำทุกคนจะต้องเชื่อได้ว่า ผู้ชายคนนี้จะสามารถเอาชนะ เคนนี่ โอเมก้า เพื่อเป็นแชมป์ได้จริง

ท่ามกลางตัวเลือกที่มีมากมาย AEW ตัดสินใจเลือกจิ้ม คริสเตียน เคจ มาเป็นผู้ท้าชิง โดยทางสมาคมเชื่อว่าคริสเตียนจะเป็นผู้ชายที่คู่ควรในการชนะ เคนนี่ โอเมก้า และเหมาะสมที่จะได้ครองแชมป์โลกอีกครั้ง

คริสเตียน เคจ ไม่ทำให้สมาคมและแฟนมวยปล้ำต้องผิดหวัง เขาสามารถเอาชนะ เคนนี่ โอเมก้า ด้วยแมตช์ที่เต็มไปด้วยคุณภาพ ที่ทำให้ทุกคนอินตามไปกับเขา และเฮอย่างสุดเสียงทั่วสนามในวินาทีที่เขาจับนักมวยปล้ำฝ่ายอธรรมจอมแกร่งกดจนนับ 3 ลงได้

แต่ที่สำคัญกว่านั้น คริสเตียน เคจ ได้พิสูจน์ตัวเองอย่างสมศักดิ์ศรีไปเรียบร้อยแล้ว จากนักมวยปล้ำที่ถูกมองข้ามมาตลอด ไม่เคยได้แชมป์โลกในรายการใหญ่ระดับประเทศด้วยวิธีการที่เหมาะสม ในวัย 47 ปี คริสเตียนทำความฝันของตัวเองได้สำเร็จ และคู่ควรกับการเป็นตำนานตัวจริงเสียงจริงของวงการมวยปล้ำ

เส้นทางการเป็นนักมวยปล้ำของคริสเตียนยังไม่จบ เขายังคงเดินหน้าต่อไป ในวันที่ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาคือนักมวยปล้ำระดับแชมป์โลก ที่ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของ เอดจ์ เพื่อนรักอีกต่อไป 

"มันเป็นยิ่งกว่าความฝัน" คริสเตียน กล่าวหลังจากกลับมาเป็นแชมป์โลกอีกครั้ง พร้อมกับผู้ชมที่ตะโกนว่า You Deserve It หรือ คุณสมควรได้รับมัน 


Photo : wrestlingnews.co

ไม่ต่างกับชีวิตของคนทุกคน หากคุณดีพอก็จะได้รับรางวัลที่เหมาะสมเสมอ ขอจงทำงานให้หนัก และรู้คุณค่าของตัวเอง สักวันจะมีคนเห็นคุณค่าของคุณและตอบแทนด้วยรางวัลที่เหมาะสม แบบที่ คริสเตียน เคจ ได้รับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook