กลัวอะไรกันน้อ : ทำไมนักกีฬาดังหลายคนจึงแอนตี้การฉีดวัคซีน COVID-19 ?
โอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ผ่านพ้นไปแล้ว แล้วเราได้คำตอบว่าชาติไหนได้เป็นเจ้าเหรียญทองเรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นคำถามต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ ในขณะที่การแข่งขันกีฬารายการต่าง ๆ ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องคือ มีนักกีฬาหลายคนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน COVID-19 แม้สายพันธุ์เดลต้า จะทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง
สิ่งที่เรารู้กันคือ หากได้ฉีดวัคซีนครบเท่ากับจะสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ดีในระดับหนึ่ง ที่สำคัญคือการลดความรุนแรงในกรณีที่ติดเชื้อขึ้นมาจริง ๆ ... ฟังดูเหมือนจะมีแต่ข้อดี ทว่าทำไมนักกีฬาบางคนและหลายคนเป็นถึงระดับโลกกลับปฏิเสธมัน ?
วัคซีนทำให้เกิดผลอะไรกับอาชีพนักกีฬาบ้าง และที่พวกเขาไม่ฉีด เป็นเพราะความเชื่อ หรือมีข้อมูลที่ชี้ชัดมายืนยัน ?
ติดตามได้ที่ Main Stand
เริ่มต้นที่ความเชื่อ
ยุคนี้นักกีฬาถือเป็นบุคคลสาธารณะ มีอิทธิพลทางสังคมไม่ต่างจากดาราหรือศิลปิน ดังนั้นการที่พวกเขามองว่าสิ่งใดไม่ดี สิ่งใดไม่เหมาะสมกับร่างกาย มักจะกลายเป็นความเชื่อในวงกว้างอย่างง่ายดาย ดังนั้นเรื่องของวัคซีน จึงกลายเป็นประเด็นสำคัญในสังคมยุคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนักกีฬาระดับโลกหลายคนเลือกที่จะปฏิเสธมัน
เหตุผลที่พวกเขา "เซย์ โน" หลัก ๆ แล้วเกิดขึ้นจากการที่พวกเขาไม่มีความมั่นใจในวัคซีน COVID-19 ไม่ว่าจะชนิดใด ๆ ก็ตาม เพราะมันคือสิ่งใหม่ และถือเป็นสิ่งแปลกปลอมที่พวกเขาต้องฉีดเข้าไปในร่างกาย ร่างกายที่พยายามฝึกฝนให้แข็งแกร่งมาตลอดชีวิต
ดังนั้นหากพวกเขาได้รับวัคซีนเข้าไป แล้วเกิดความผิดปกติขึ้นกับร่างกายจนเป็นปัญหาต่าง ๆ อาทิ เกิดอัมพฤกษ์เฉียบพลัน ร่างกายอ่อนแรง หรือทำให้เส้นเลือดในสมองตีบ ซึ่งนี่คืออาการที่ผู้ฉีดวัคซีนทั่วโลกส่วนหนึ่งต้องประสบพบเจอ ชีวิตพวกเขาจะเจอปัญหาในทันที
นอกจากนี้ ต้องไม่ลืมว่า ข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากวัคซีน COVID-19 แม้จะมีอยู่ไม่น้อยแต่ก็ยังไม่มากพอ เพราะมันถูกพัฒนาขึ้นอย่างเร่งด่วนเพื่อควบคุมการระบาดใหญ่ที่ปั่นป่วนไปทั่วโลก ทั้งยังต้องมีการศึกษาผลกระทบในมิติต่าง ๆ อีกมาก ซึ่งกว่าจะถึงจุดนั้นได้ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปี แต่โลกใบนี้รอไม่ได้
ไม่มีสิ่งใดในโลก 100% และวัคซีนเองก็เช่นกัน แม้จะแลกมาด้วยภูมิต้านทานที่แข็งแกร่งขึ้น แต่หากนักกีฬาคนไหนกลายเป็นคนส่วนน้อยที่โชคร้ายขึ้นมา พวกเขาอาจจะหมดอนาคตในวงการกีฬาไปเลย เพราะในการแข่งขันระดับสูงนั้น ไม่มีที่ว่างให้กับผู้อ่อนแอโดยแท้จริง ไม่ว่าจะกับกีฬาชนิดใดก็ตาม
"เหล่านักกีฬาอายุน้อยจะมีความระแวดระวังทุกอย่าง พวกเขาไม่แน่ใจถึงอะไรก็ตามที่ต้องฉีดเข้าไปในร่างกายของพวกเขา วัคซีน คือหนึ่งในสิ่งใหม่และเป็นสิ่งที่น่าสงสัย โดยเฉพาะในกลุ่มนักกีฬาที่มีชื่อเสียงนั้น"
"ยิ่งพวกเขาร่ำรวยและประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะหมกหมุ่นกับร่างกายของพวกเขาเท่านั้น ยิ่งพวกเขาใช้ชีวิตแบบใกล้ชิดคนระดับเดียวกัน มันก็ง่ายที่จะเกิดทฤษฎีสมคบคิดหลาย ๆ อย่าง หนึ่งในนั้นคือการต่อต้านวัคซีน เรื่องแบบนี้แพร่กันเร็วมากในหมู่นักกีฬา เมื่อมันแพร่ไปแล้วก็ยากที่จะเปิดใจพวกเขาอีก มันก็ค่อนข้างจะยากกับคนทำงานทางด้านนี้อย่างพวกเรา" เคียแรน เมอร์ฟี่ ศาสตราจารย์ด้านภูมิคุ้มกันที่ได้รับรางวัลจากสภาวิจัยประเทศไอร์แลนด์ กล่าวกับ RTE
ความกลัวในสิ่งที่ยังไม่รู้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เหตุผลที่นักกีฬาระดับโลกหลายคนปฏิเสธวัคซีน ทั้ง ๆ ที่อาชีพของพวกเขาต้องพบปะคนหมู่มาก อีกเรื่องคือเหตุผลทางด้านสิทธิเสรีภาพ โดยเฉพาะในหมู่นักกีฬาอเมริกันเกมส์
นักกีฬาเหล่านี้รับรู้ข่าวสารทุกอย่าง และลีกอย่าง NBA, MLB และ NFL ก็พยายามผลักดันเรื่องวัคซีนอย่างเต็มที่ จนสามารถผลักดันยอดนักกีฬาและทีมงานที่ฉีดวัคซีนได้มากกว่า 90% แต่ก็ยังมีบางคนยังคงปฏิเสธเพียงเพราะเหตุผลง่าย ๆ คือ "ไม่อยากฉีด" ด้วยความเชื่อว่าตัวเองมีสิทธิจะทำเช่นนั้น การไม่ฉีดไม่ใช่สิ่งผิด ต่อให้อาชีพของพวกเขาจะต้องเจอกับปัญหาก็ตาม
Photo : theathletic.com
มันเป็นเช่นนั้นจริง และยืนยันได้จากการแสดงออกของนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล NFL เช่น โคล บีสลี่ย์ ผู้เล่นตำแหน่งปีกทีม บัฟฟาโล บิลส์ ที่ถึงกับประกาศว่า ให้ตายยังไงเขาก็จะไม่ฉีดวัคซีนเด็ดขาด แม้จะมีคำสั่งและการผลักดันจากทางลีก ไปจนถึงแนวคิดของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาก็ตาม
ตัวของ บีสลี่ย์ เชื่อว่ามันเป็นสิทธิและเสรีภาพที่เขาพึงมี ใครอยากจะฉีดก็ฉีดเขาไม่ได้ว่าอะไร แต่การที่เขาไม่ฉีดวัคซีนนั้น ไม่ได้แปลว่าเขาเป็นคนเลวร้ายกว่าชาวอเมริกันคนอื่น ๆ ซึ่งการแสดงออกทางความคิดของ บีสลี่ย์ ก็ทำเอาทัวร์ลงและมีการวิจารณ์ว่าการแสดงออกของเขาเป็นอะไรที่โง่เขลามาก ๆ
เรื่องนี้ร้อนถึงทางทีม บิลส์ จนต้องขู่ว่า ทีมจะไม่ใช้งานผู้เล่นที่ไม่ฉีดวัคซีนในฤดูกาลใหม่ที่จะมาถึง เพราะถึงแม้จะไม่มีการบังคับ แต่แนวทางปฏิบัติของ NFL สำหรับผู้เล่นที่ไม่ฉีดวัคซีนถือว่ายุ่งยากวุ่นวายมาก เช่นการต้องตรวจหาเชื้อทุกวัน สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ต้องเว้นระยะห่างจากเพื่อนร่วมทีมในการฝึกซ้อม ซึ่งจุดนี้ส่งผลมาก เพราะเขาจะไม่สามารถเข้าห้องเวทเทรนนิ่งร่วมกับเพื่อนร่วมทีมได้ ที่สำคัญคือ หากมีนักกีฬาติดโควิดจนทีมไม่สามารถลงแข่งได้ จะถูกปรับแพ้ทันที
Photo : si.com
แนวคิดของพวกเขาเชื่อว่า โรคโควิดนี้สามารถป้องกันได้ ต่อให้ไม่ฉีดก็ใช่ว่าจะติด หากดูแลตัวเองดี ปฏิบัติตามคำแนะนำของสาธารณสุข ... แค่พวกเขาไม่ติดก็ไม่น่าใช่ปัญหา แต่อย่างที่เราทุกคนรู้ โรคนี้ประมาทไม่ได้ และแทบไม่รู้ตัวเลยหากมีการติดเชื้อขึ้นมา ดังนั้นวัคซีนจึงเป็นสิ่งที่การันตีได้ว่า พวกเขาจะสามารถทำกิจกรรมกับส่วนรวมได้ และที่สำคัญที่สุดคือ พวกเขาคือตัวอย่างของประชาชนคนทั่วไป ถ้าพวกเขาฉีด ก็จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับแฟน ๆ ได้ และจะทำให้มีคนกล้าฉีดวัคซีนมากขึ้น ... นี่คือสิ่งที่ทุกฝ่ายพยายามผลักดันกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้นักกีฬาเหล่านี้เต็มใจยอมรับวัคซีนที่มีคุณภาพ
การจะลบล้างความคิดว่า วัคซีน = สิ่งแปลกปลอม และเป็นการทำลายสิทธิเสรีภาพ คือต้องมีผลลัพธ์ที่ประจักษ์จริงว่าหากนักกีฬาฉีดวัคซีนแล้วพวกเขาจะปลอดภัย ร่างกายจะแข็งแรงเหมือนเดิม ซึ่งเรื่องนี้กำลังมีการวิจัยอย่างเข้มข้นเพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่า แท้จริงแล้ววัคซีนไม่ได้เป็นอันตรายกับนักกีฬาเลย
ความจริงเป็นเช่นไร ?
ถ้าอยากรู้ให้กระจ่าง ก็ต้องมีการทดสอบและวิจัยเพื่อชี้ชัดในเรื่องนี้ ซึ่งมหาวิทยาลัยอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา เพิ่งทำวิจัยดังกล่าวในปี 2021 นี้เอง โดยคัดเลือกคนที่มีสุขภาพดีและสมรรถภาพในระดับนักกีฬา ช่วงอายุราว ๆ 24-43 ปี ทั้งหมด 18 คน
วิธีการคือจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกมีจำนวน 12 คน ให้ฉีดวัคซีน ไฟเซอร์-ไบออนเทค 2 โดส หรือวัคซีน จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 1 โดส ตามข้อกำหนดของวัคซีนแต่ละเจ้า ขณะที่อีก 6 คนที่เหลือจะไม่ได้รับวัคซีนชนิดใด ๆ เลย โดยทุกคนไม่เคยมีประวัติติดโควิดมาก่อน
หลังจากกลุ่มที่ฉีดวัคซีนได้รับวัคซีนครบ 21 วัน พวกเขาจะเริ่มออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานวันละ 2 ชั่วโมง และจะทำการตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียด เพื่อดูการทำงานของระบบเผาผลาญของร่างกายว่าสอดคล้องกับช่วงเวลาก่อนที่พวกเขาฉีดหรือไม่ เช่นเดียวกับการวัดออกซิเจนในเลือดด้วย
ผลที่ได้รับคือ มีนักกีฬา 4 คนที่มีประสิทธิภาพทางร่างกายลดลง พวกเขามีอัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น และมีคาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกายเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับจำนวนออกซิเจนในร่างกายที่เคยมีก่อนหน้าจะฉีดวัคซีน ในขณะที่อีก 8 คน ไม่มีความแตกต่างจากตอนก่อนฉีดวัคซีนเลย
จากงานวิจัยดังกล่าวพอจะสรุปได้ว่า วัคซีน ดูจะส่งผลจริงในแง่ของการทำให้ประสิทธิภาพของร่างกายลดลง แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับผลกระทบนั้น เพราะมีอีก 8 คน ที่ฉีดวัคซีนแล้วแต่ก็ยังมีประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายไม่ต่างจากคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ยังไม่ได้รับการรับรองแต่อย่างใด เพราะเป็นการเผยแพร่รายงานทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น ข้อมูลทั้งหมดนี้ยังต้องวิจัยกันต่ออีกขั้นว่า ทำไมค่าประสิทธิภาพของร่างกายของบางคนที่ได้รับวัคซีนจึงลดลง แต่อีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับวัคซีนเช่นกันกลับเท่าเดิม ซึ่งบางทีอาจจะไม่เกี่ยวกับวัคซีน แต่เป็นเรื่องของพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของแต่ละคน ที่มีวิธีการแตกต่างกันออกไป
จากการเผยแพร่บทความและงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์นี้ ก็ยังชี้ชัดไม่ได้ว่าวัคซีนส่งผลใดกับการเล่นกีฬาระดับสูงบ้าง ซึ่งก็ไม่แปลกที่นักกีฬาบางคนจะต่อต้านวัคซีน และเลือกแบกรับความเสี่ยงที่จะไม่ฉีดมัน
แต่ที่สุดแล้วด้วยสถานการณ์ของโลกในเวลานี้ที่ยังไม่ปลอดภัย และวัคซีนโควิดของบริษัทที่มีคุณภาพ ก็มีงานวิจัยยืนยันที่ชัดเจนว่าผู้ฉีดจะมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น ติดโรคยากขึ้น และลดความรุนแรงในกรณีที่ติดเชื้อลง ซึ่งการที่จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้ดียิ่งขึ้น คือการที่ทุกคนต้องได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง ซึ่งนั่นเองยังคงเป็นคำถามโลกแตกในทุกวันนี้ว่า ควรจะบังคับให้นักกีฬาอาชีพฉีดวัคซีนหรือไม่
ณ เวลานี้ยังไม่มีการบังคับในลีกกีฬาชนิดใด ๆ ดังนั้นกลุ่มนักกีฬาที่ไม่อยากฉีดก็ยังสามารถเชื่อมั่นในแนวคิดและการตัดสินใจของตัวเองได้ เพียงแต่พวกเขาก็ต้องแบกความเสี่ยงและทำตามมาตรการมากกว่าคนที่ฉีดแล้วอีกมากมาย ซึ่งมันทำให้ทุกอย่างค่อนข้างวุ่นวายและซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม มันทำให้อาชีพของเขายากขึ้น เช่น การแยกต้องซ้อม การกักตัวในช่วงที่เดินทางไปแข่งขันต่างประเทศ ซึ่งการกักตัวก็อาจทำให้พวกเขาพลาดเกมการแข่งขันบางเกมไป และบางคนเป็นคนสำคัญของทีม ก็อาจจะทำให้ทีมพลาดโอกาสในการเอาชนะคู่แข่งไปโดยปริยาย
การฉีดวัคซีนย่อมดีต่อส่วนรวมอยู่แล้ว แต่ตราบใดที่ยังไม่มีการบังคับและวางกฎหมายให้ชัด เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นคำถามต่อไป ... ฉีดแล้วชีวิตง่ายขึ้น ยังไม่ได้ฉีดก็ต้องวุ่นวายยุ่งยากหน่อย ตอนนี้อยู่ที่พวกเขาแล้วที่จะเลือกว่า พวกเขารับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้มากแค่ไหน