ไม่เอา...ก็ออกไป ? : อันโตนิโอ คอนเต้ เจ้านายใจร้ายที่อยากให้คุณเป็นคนที่เก่งขึ้น

ไม่เอา...ก็ออกไป ? : อันโตนิโอ คอนเต้ เจ้านายใจร้ายที่อยากให้คุณเป็นคนที่เก่งขึ้น

ไม่เอา...ก็ออกไป ? : อันโตนิโอ คอนเต้ เจ้านายใจร้ายที่อยากให้คุณเป็นคนที่เก่งขึ้น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"เขาเหมือนมีไฟไหลในเส้นเลือด ทุกการขยับเขยื้อนของเขาอันตรายเหมือนกับงูพิษ"

นี่คือสิ่งที่ อันเดรีย ปีร์โล ว่าไว้ถึง อันโตนิโอ คอนเต้ ว่าที่เฮดโค้ชคนใหม่ของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ คนที่เขาเคยร่วมงานด้วยมา 3 ปี และพยายามจะบอกว่าการทำงานภายใต้หัวหน้าอย่าง คอนเต้ นั้น "ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ" 

ไม่ต้องผู้ถึงระบบการเล่น 3-5-2, 3-4-3 หรือ 4-2-4 ใด ๆ ทั้งสิ้น นี่คือเรื่องราวและแนวทางในแบบฉบับของ คอนเต้ ล้วน ๆ โดยไม่วิเคราะห์แทคติกใด ๆ ทั้งสิ้น

 

คอนเต้ เป็นคนยังไง เป็นโค้ชแบบไหน และอันตรายต่อนักเตะที่ทำเป็นเล่นแค่ไหน ?  ติดตามได้ที่นี่

เข้มตั้งแต่เล่นเอง

อันโตนิโอ คอนเต้ ถือเป็นหนึ่งในโค้ชที่เคยผ่านช่วงเวลาที่ดีและประสบความสำเร็จใจสมัยที่เป็นนักเตะมาแล้ว สมัยเป็นนักเตะเขามีคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจน มุ่งมั่น ทะเยอทะยาน และไม่ยอมแพ้ 

เขาเริ่มเป็นเด็กในอคาเดมีของทีม เลชเช่ ทีมทางตอนใต้ของอิตาลี และเป็นนักเตะที่แฟนบอล เลชเช่ รักมาก ๆ เขาสู้ตายถวายหัวให้กับทีมหลังขึ้นมาเป็นขุมกำลังของทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 18 ปี จนกระทั่งย้ายมาอยู่กับ ยูเวนตุส ตอนอายุ 22 ปี

ในวันที่ คอนเต้ ย้ายมาอยู่กับ ยูเวนตุส ที่ถือว่าเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประเทศ แฟนบอลของ เลชเช่ ขึ้นป้ายสั่งลาเขาในเกมสุดท้ายว่า "ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน คุณจะอยู่ในใจเราเสมอ"

 

ที่ ยูเวนตุส คอนเต้ ให้สัมภาษณ์ไว้ในวันเปิดตัวด้วยหนึ่งประโยคที่บ่งบอกถึงตัวตนของเขาได้ดีที่สุด นั่นคือ "ที่นี่จะไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายที่ผมมาถึง นี่คือจุดเริ่มต้น"  แล้ว คอนเต้ ก็ทำแบบนั้นจริง ๆ เขาก้าวขึ้นมาเป็นกัปตันทีมของ ยูเวนตุส ในท้ายที่สุด และทำให้แฟน ๆ ของ ยูเว่ รักเขาเหมือนกับสมัยที่อยู่กับ เลชเช่ 

"ชีวิตนักฟุตบอลมันต้องเจอกับความลำบากในทุก ๆ ที่ที่ไป ทางเดียวที่คุณจะรอดจากช่วงเวลาเหล่านั้นได้คือคุณต้องอุทิศตนอย่างเต็มที่ มุ่งมั่นอย่างไร้เงื่อนไข ทั้งหมดสรุปให้ได้ใจความเป็นคำเดียวคือ 'ทำงาน' " คอนเต้ เล่าถึงวิธีการคิดของเขาสมัยเป็นนักเตะ 

หลังจากแขวนสตั๊ดในปี 2002 คอนเต้ กลับไปที่ เลชเช่ อีกครั้ง ในฐานะผู้อำนวยการฟุตบอล ในยุคที่ เลชเช่ คุมทีมโดย ซเดเน็ก ซีแมน ทั้งคู่เข้ากันได้ไม่ดีนัก ทำงานด้วยกันได้ไม่นาน คอนเต้ ก็พยายามเรียกร้องสิ่งต่าง ๆ จากบอร์ดบริหาร และมีความเห็นด้านการทำทีมที่ไม่ตรงกับ ซีแมน เขาจึงยื่นจดหมายลาออกด้วยข้อความที่เขียนว่า "ได้โปรดฉีกสัญญาผมด้วย เพราะผมจะไม่อยู่ที่เลชเช่อีกเเล้ว"

"บางครั้งทางเลือกของชีวิตก็ไม่ตรงกับความรู้สึกของคุณเสมอไป" คอนเต้ อธิบายเหตุผลสั้น ๆ ก่อนจะลาออกและเข้าไปลงเรียนโค้ชที่ Coverciano ซึ่งเป็นสถาบันฝึกสอนระดับชาติของอิตาลี จากนั้นเส้นทางโค้ชของเขาจึงเริ่มต้นขึ้น

ล้ม ลุก คลุก คลาน

ไม่มีใครเก่งเลยตั้งแต่เกิด ก่อนจะเป็นจอมแทคติกและถูกจัดอันดับให้เป็นโค้ชแถวหน้าของโลก คอนเต้ ก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากเหมือนกัน เขาเริ่มงานแรกกับ อาเรซโซ่ ด้วยภารกิจพาทีมหนีตกชั้นสมัยที่ทีมยังอยู่ในเซเรีย บี ซึ่ง คอนเต้ ทำไม่สำเร็จ เขาพาทีมตกไปเล่นใน เซเรีย ซี และขอลาออก 

จากนั้นก็ไปคุมทีม บารี่ ในปี 2007 และถือเป็นปีที่ดีของเขา คอนเต้ ได้เเชมป์สมัยแรกที่นี่ ด้วยเเชมป์ เซเรีย บี พาทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดและทำให้ได้รับงานที่ใหญ่ขึ้นที่ อตาลันต้า ทีมที่ใหญ่กว่า และตอนนั้นคนที่ดึงตัวเขามาคือ อเลสซานโดร รุจเจรี่ หนุ่มที่มีอายุแค่ 21 ปีเท่านั้น 

รุจเจรี่ คือคนรุ่นใหม่ที่คุยกับ คอนเต้ และเชื่อมั่นในวิธีการทำทีมของเขา คอนเต้ เป็นโค้ชสไตล์แบบที่เราเห็นมาตลอด "ความสามารถนักเตะระดับปานกลางถึงสูง แต่สภาพจิตใจต้องแข็งแกร่งให้มากที่สุดเท่าที่จะเเกร่งได้"  

 

วิธีการดีแต่ คอนเต้ ยังขาดประสบการณ์ เขาไม่สามารถคุมห้องแต่งตัวอยู่ หรือไม่อย่างนั้นนักเตะก็ยังไม่มีความแข็งแกร่งทางจิตใจมากพอที่จะทำตามทุกสิ่งที่เขาสั่ง แม้ อตาลันต้า จะได้ 9 แต้มจาก 5 เกมแรกของ คอนเต้ แต่กำลังมีบางสิ่งบางอย่างดำเนินไปแบบไม่ถูกต้อง 

ผู้เล่นไม่ชอบการการฝึกฟิตเนสในแบบ คอนเต้ ที่ใช้โค้ชฟิตเนสติวเข้มข้างสนามถึง 2 คน นอกจากนี้ คอนเต้ ยังมีปัญหากับ คริสเตียโน่ โดนี่ เพลย์เมกเกอร์ระดับตำนานของทีม เพราะ โดนี่ ไม่สามารถวิ่งได้มากพอในแบบที่เขาต้องการ จากนั้นบรรยากาศในทีมก็เป็นไปอย่างย่ำแย่ คอนเต้ ดร็อป โดนี่ ไว้ข้างสนาม และสัมภาษณ์หลังเกมแพ้ นาโปลี 0-2 ว่า "ผู้เล่นหลายคนไม่ได้แสดงความตั้งใจที่จะเล่นมากพอ" แฟน ๆ อุลตร้าของทีมก็โห่ไล่คอนเต้ที่ทำกับตำนานของทีมอย่างนั้น สุดท้ายงานของเขาที่ อตาลันต้า ก็ไม่ยืด

เขาโดนไล่ออกจากทีมหลังจากคุมทีมได้ไม่นาน แต่ครั้งนี้เขาได้บทเรียนที่สำคัญมาก ๆ ติดตัวออกมาด้วย เขาต้องคุมนักเตะทุกคนให้อยู่ เข้าไปอยู่ในหัวสมองของทุกคนให้ได้ ทำให้ทุกคนเข้าใจได้ว่าเราฝึกหนักไปเพื่ออะไร เพราะฟุตบอลคือกีฬาประเภททีม ถ้าวิ่งต้องวิ่งพร้อมกัน และถ้าใครมีปัญหากับเขาเหมือนที่ โดนี่ เป็น สิ่งที่คอนเต้ จะทำหลังจากนี้คือ "เอานักเตะแกนนำที่ต่อต้านและไม่เห็นด้วยกับวิธีการทำทีมของเขาออกไป" 

เขาทำมันได้หลังจากรับงานที่ เซียน่า พาทีมคว้าเเชมป์เซเรีย บี และขึ้นสู่ลีกสูงสุดอีก 1 ครั้ง ตอนนี้ คอนเต้ เหมือนถือคัมภีร์เล่มหนึ่งไว้ในมือ เขารู้วิธีทำให้ทีมเป็นผู้ชนะแล้ว นั่นคือการทำให้ทุกคนมีจิตวิญญาณนักสู้และมีความเป็นมืออาชีพก่อน ... ซึ่งหลังจากคุม เซียน่า ได้ปีเดียว ยูเวนตุส ที่กำลังอยู่ในช่วงตั้งหลักอีกครั้งหลังจากโดนปรับตกชั้นในคดี "กัลโช่ โปลี" ต้องการดึงเขาไปร่วมทีม และหลังจากนั้นโลกจึงได้รู้จักกุนซือที่ชื่อ อันโตนิโอ คอนเต้ ชัด ๆ เสียที

อย่าพูดมาก ไปทำงาน

ช่วงเวลาต่อจากนี้เราทุกคนต่างรู้ดีว่า คอนเต้ ประสบความสำเร็จมากมายที่ ยูเวนตุส ด้วยแชมป์ลีกทุกสมัยจนกระทั่งลาออก ลากยาวไปจนถึงตอนคุมทีมชาติอิตาลี, เชลซี หรือว่า อินเตอร์ แต่เราจะมาดูวิธีการทำงานของเขาอย่างชัด ๆ เพื่อให้คุณเข้าใจว่าโค้ชแบบเขาทำทีมแบบไหน 

คอนเต้ ไม่ใช่เจ้านายที่คุณจะล้อเล่นด้วยได้ตลอดโดยเฉพาะในสนามซ้อม นักเตะทุกคนที่เคยทำงานกับ คอนเต้ บอกเช่นนั้นเสมอ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนที่ไม่ยอมเล่นสนุกกับใคร แต่เมื่อคุณอยู่ในสนามซ้อม คอนเต้ จะเตรียมรายละเอียดที่เยอะมาก ๆ สำหรับนักเตะแต่ละตำแหน่ง เขาจะฝึกจนกว่าจะแน่ใจว่าสิ่งที่เขาสอนเข้าไปอยู่ในหัวสมองของลูกน้องเเล้ว

เอเด็น อาซาร์ หนึ่งในนักเตะที่เคยร่วมงานกับ คอนเต้ สมัยที่อยู่กับ เชลซี ยังเคยออกมาเปิดเผยว่า คอนเต้ เป็นกุนซือที่มีรายละเอียดปลีกย่อยในการซ้อมเยอะยิ่งกว่ากุนซือจอมแทคติกอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ เสียอีก 

"การซ้อมของ มูรินโญ่ นั้นจะเป็นการวางระบบหลัก ๆ เอาไว้ เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าควรทำอะไรในสถานการณ์ต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่นในยุคของผมกับ มูรินโญ่ เขาให้ผมมีอิสระในการเล่น โดยมี เนมันย่า มาติช คอยซัพพอร์ตอยู่ข้างหลังหากผมผิดพลาด"

 

"แต่ในยุค คอนเต้ มันแตกต่างออกไป ทุกคนต้องยืนชิดกันมากขึ้น ทุกคนต้องรู้ทุกรายละเอียดตั้งแต่การเคลื่อนไหว บางเพลย์ผมห้ามเป็นคนเก็บบอลไว้กับตัวเลยด้วยซ้ำ ผมจะต้องวิ่งตัวเปล่าเพื่อเปิดพื้นที่ให้คนอื่น ผมต้องพร้อมที่จะเล่นเกมสวนกลับตลอดเวลา"

"ในแง่รายละเอียดแทคติกยุค คอนเต้ ละเอียดยิ่งกว่ายุค มูรินโญ่ เราทำงานกันหนักมาก ๆ ในแง่แทคติก ทุกคนต้องรู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้างเมื่อลงไปยืนในสนาม เราซ้อมกันจนจำได้ว่าต้องไปยืนที่ไหน กองหลังจะยืนตำแหน่งกันยังไง" อาซาร์ กล่าว ซึ่งเขาก็ยอมรับว่าเขาไม่ค่อยแฮปปี้กับวิธีของ คอนเต้ มากนัก เพราะเขาได้เล่นเกมบุกหรือครองบอลน้อยกว่าที่เขาเคยเป็น แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เขาทำงานและไม่เคยปริปากตอนร่วมงานกับ คอนเต้ ก็เพราะเขาให้ความเคารพตำแหน่งเฮดโค้ชของ คอนเต้ 

คอนเต้ คุยเรื่องนี้แบบจริงจังกับทุกคน แม้กระทั่ง อันเดรีย อันเญลี่ เจ้าของสโมสร ยูเวนตุส ในวันสัมภาษณ์งานเขา คอนเต้ ก็เปิดเผยตรง ๆ ว่าถ้าได้เขาเข้ามาทำทีมอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ทีมและนักเตะจะต้องเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการและให้ความเคารพต่อการตัดสินใจของเขา

"ได้โปรดอย่าโกรธเคืองหากผมจะวิจารณ์ ยูเวนตุส ตรง ๆ นะท่านประธาน ยูเว่ ยุคนี้เล่นเหมือนกับทีมบ้านนอกคอกนา เป็นแบบนี้มานานเเล้ว พวกเขาคิดแต่จะบุก แล้วปล่อยให้ครึ่งสนามฝั่งตัวเองเป็นพื้นที่ของคู่แข่ง เล่นแบบนี้ไปไหนได้ไม่ไกลหรอก" คอนเต้ บอกกับ อันเญลี่ และถูกเปิดเผยโดย FourFourTwo

"แล้วถ้าคุณได้งานนี้คุณจะทำยังไง ?" เมื่อ อันเญลี่ ถามปลายเปิดแบบนี้ คอนเต้ ก็ร่ายยาวทันที และบอกถึงปรัชญาฟุตบอลของเขาอย่างไม่มีหมกเม็ด

"ปรัชญาของ ยูเวนตุส ในยุคของผมคือนักเตะทุกคนจะต้องเล่นเกมบุก และนักเตะทุกคนจะต้องเล่นเกมรับ เราจะทำเหมือนกับที่ บาร์เซโลน่า ทำและประสบความสำเร็จอยู่นี่แหละ" คอนเต้ อธิบายและยกตัวอย่าง บาร์เซโลน่า ยุค เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ให้ อันเญลี่ เห็นภาพ แล้วเขาก็ได้งาน 

คอนเต้ กลายเป็นที่รู้จักกันในฐานะกุนซือบ้างาน เขาชอบการซ้อมที่เข้มข้น ฟิตเนสต้องถึง เพราะอย่างที่บอกฟุตบอลของเขาต้องเล่นทั้งเกมรุกและเกมรับ ที่สำคัญเขาจะยืนเกาะติดคอยดูทุกคนและไม่ปล่อยให้ใครจบการซ้อมโดยไม่ได้ตามที่เขาตั้งใจ และนักเตะคนไหนที่ตั้งใจฟังเขาและยอมทำตามทั้งในแง่ของฟิตเนสและทัศนคติ ก็จะสามารถเป็นนักเตะคนสำคัญในทีมของ คอนเต้ ได้ เอ็มมานูเอเล่ จัคเครินี่, วิคเตอร์ โมเซส, กราเซียโน่ เปลเล่, แอชลี่ย์ ยัง, มัตเตโอ ดาร์เมี่ยน และ มาร์กอส อลอนโซ่ คือหนึ่งในหลาย ๆ ชื่อที่เก่งขึ้นมาก ๆ ในยุคที่มี คอนเต้ เป็นเจ้านาย

แม้แต่นักเตะดัง ๆ อย่าง โรเมลู ลูกากู ที่ออกแววจะดับตอนที่อยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เป็นหนึ่งคนที่เปิดใจและทำตัวเป็นคนบ้างานแบบ คอนเต้ จนสุดท้ายเขากลายเป็นดาวซัลโว เซเรีย อา และพาทีมคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี 

"ผมพร้อมสู้ตายให้คนอย่าง คอนเต้  เขาเป็นคนที่บอกกับผมตรง ๆ ว่า ถ้าผมไม่ทำงานหนักในสนามซ้อม ผมก็จะไม่ได้ลงเล่น ดังนั้นผมจึงตั้งใจซ้อมมาก ๆ เรียนรู้วิธีการสอนของเขา หลัก ๆ แล้วเขาสอนแนวทางหลายอย่างที่สำคัญ ๆ เช่น การเล่นอย่างไรตอนที่ผมหันหลังให้ประตู" ลูกากู กล่าว 

อย่าพูดอะไรมากในการฝึกซ้อม ดูแล้วจำ ฟังแล้วทำตาม บอกให้วิ่งต้องวิ่ง นี่คือวิธีทำงานในแบบของ คอนเต้ เขาเรียกร้องอย่างมากต่อนักเตะและบอร์ดบริหารเพื่อให้ได้สิ่งที่เขาต้องการ และเมื่อได้สิทธิ์ขาดในการทีม คอนเต้ ก็จะสามารถทำทีมออกมาในแบบที่เราเห็นเขาทำในทุกวันนี้ได้

เจ้านายใจร้าย 

หนึ่งในวิธีการที่ทำให้ทุกคนเชื่อและทำตามข้อเรียกร้องที่เขาต้องการได้ คือการแสดงจุดยืนและคาแร็กเตอร์ของตัวเองให้นักเตะเห็น คอนเต้ ดูน่ากลัวสำหรับลูกทีมเสมอ เพราะเขามีบทเรียนมาเเล้วว่าถ้าใจอ่อนยอมให้ใครกระด้างกระเดื่อง ผลกระทบจะตามมาเป็นลูกโซ่ 

"คอนเต้ ไม่ใช่คนตัวใหญ่อะไรมากมายนัก แต่เมื่อคุณเผชิญหน้ากับโค้ชอย่างเขา มันเหมือนกับเขาตัวใหญ่ขึ้น เหมือนเขาสูงถึง 2 เมตร" เอ็มมานูเอล คาญาโอ้ อดีตกองหน้าของ เซียน่า กล่าว

"คอนเต้ เคยไล่ผมระหว่างฝึกซ้อมกับกองหน้าอีกคนที่ชื่อว่า เรจินัลโด้ เขาบอกว่าถ้าไม่อยากทำงานก็ออกไปอาบน้ำแล้วกลับบ้านได้เลยไอ้นรก เขาพูดแบบนั้นจริง ๆ เขาวัดใจผมด้วยคำพูดแรง ๆ แต่มันทำให้ผมกลับไปนอนคิด"

"อีกวันผมกลับมาซ้อมกับทีมแล้วคิดว่าผมจะเอาด้วยกับเขา และเมื่อผมทำตามก็รู้สึกได้ทันทีว่านี่คือโค้ชที่เก่งที่สุดที่ผมเคยเจอเเล้ว เขาใจร้ายแต่ทำให้คุณเล่นได้ดี เขาจะผลักดันคุณเกินกว่าขีดจำกัดที่ตัวคุณเองคิดว่าจะทำได้ เขาจะลากทุกคนไปพร้อม ๆ กับเขาหากยอมทำตามที่เขาบอก"

"ผมขอบคุณโค้ชอย่างคอนเต้ได้เป็นร้อยครั้งไม่รู้จบ ปีนั้นผมยิงไป 18 ลูก แบบที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ปฏิกิริยาของ คอนเต้ อาจจะทำให้คุณหวาดระแวงเขาอยู่บ้าง เเต่เมื่อเวลาผ่านไปคุณจะรู้เองว่าเรื่องกลยุทธ์นั้นเขาไม่พลาดง่าย ๆ แน่นอน" 

วิธีสื่อสารของ คอนเต้ นั้นออกแนวตรง แรง กระแทกใจ เพราะเขาเชื่อว่าในการทำงานเป็นทีมและพาลูกทีมลงสู่สนามซ้อมนั้นมีเวลาไม่มาก หากมัวอ้อมค้อม ถนอมน้ำใจ เอาอารมณ์สงสารปล่อยให้เรื่องไม่ถูกต้องผ่านไปก็จะเกิดปัญหา ... คำพูดแรง ๆ วัดคนได้ง่ายกว่าว่าใครเป็นมืออาชีพมากพอ มันเหมือนการตบหน้าให้ตื่นแล้วถามว่า "จะเล่นไหม" ซึ่งส่วนใหญ่นักเตะของ คอนเต้ จะกลับมาเข้าโหมดบ้าเลือดตามเขาเมื่อได้เห็นการกระทำแบบนั้น

"คนอย่าง คอนเต้ พูดไม่กี่คำกับคุณหรอก คำพูดง่าย ๆ แต่พิชิตนักเตะยูเวนตุสทั้งทีมรวมถึงผมด้วย เขาคือโค้ชที่เหมือนมีไฟไหลผ่านในเส้นเลือด ทุกการเคลื่อนไหวของเขาดูอันตรายอย่างกับงูพิษ" อันเดรีย ปีร์โล่ กล่าวในอัตชีวประวัติของเขา

"เมื่อ คอนเต้ พูด คำพูดของเขาทำร้ายคุณแน่ แต่คำพูดพวกนั้นแหละจะพังกำแพงความคิดของคุณได้" 

สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดคุณจะพบได้ว่า คอนเต้ เป็นกุนซือที่มีวิธีการทำงานที่ชัดเจนมาก ๆ ถ้านักเตะคนไหนไม่เห็นด้วยเขาก็พร้อมจะเปิดประตูทางออกโดยไม่ใยดี แม้กระทั่งผู้บริหารที่พยายามแทรกแซงการทำงานของเขา คอนเต้ ในฐานะลูกจ้างก็พร้อมจะลาออกจากทีมเพราะไม่อยากฝืนทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง เขาทะเลาะกับ อันเดรีย อันเญลี่ คนที่แต่งตั้งเขาให้คุมทีม ยูเวนตุส, เขามีเรื่องมีราวกับบอร์ดบริหารของ เชลซี และล่าสุดเขาลาออกหลังเพิ่งพา อินเตอร์ มิลาน คว้าเเชมป์ เซเรีย อา เพียงเพราะปรัชญาการทำทีมของบอร์ดบริหารไม่ตรงกับการทำงานของเขา

ทุกอย่างต้องอยู่ในการควบคุมของเขา นี่คือสิ่งที่สำคัญเสมอ การเป็นคนที่มีระบบการทำงานแบบนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือเขาจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการตามที่ตกลงกันไว้ แต่ข้อเสียคือเขาไม่เคยยอมหย่อนให้กับใคร และมันค่อนข้างจะยากกับเหล่าผู้บริหารที่ต้องรับมือกับโค้ชสายรั้นอย่างเขา และอีกหนึ่งข้อคือหากเขาได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้วยังไม่สามารถพาทีมไปถึงเป้าได้ เขาก็จะรับผิดชอบ เพียงแต่กรณีนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นเท่านั้น 

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ขึ้นชื่อกับบอร์ดบริหารที่เขี้ยวลากดินอย่าง แดเนี่ยล เลวี่ จะต้องเตรียมรับมือกับการทำงานของ คอนเต้ ให้ดี พวกเขาจะยอมปล่อยมือแล้วให้คอนเต้ทำงานที่ถนัดได้หรือไม่ ? ถ้าทำได้งานนี้ก็มีลุ้นจากอดีตการทำงานของเขา แต่ถ้าไม่ การตั้ง คอนเต้ ก็น่าจะเป็นการเสียเปล่า 

สิ่งสำคัญสุดท้ายคือ นักเตะของ สเปอร์ส จงเตรียมตัวให้พร้อม เพราะอสรพิษที่พร้อมเฆี่ยนตีให้พวกเขาเป็นนักเตะที่ดีขึ้นกำลังจะมาถึงเเล้ว ... คนไหนจะรุ่ง คนไหนจะรอด โปรดติดตามตอนต่อไป 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook