Like father like son : "ไทเกอร์ วูดส์" และลูกชาย.. ที่ต่างฝ่ายต่างเปลี่ยนชีวิตกันและกัน
ชีวิตของ ไทเกอร์ วูดส์ นั้นเหมือนกับรถไฟเหาะตีลังกา ในวันที่ประสบความสำเร็จเขาคือนักกอล์ฟอันดับ 1 ของโลกและถือครองสถิติต่างๆ มากมายในแบบที่ใครก็ทำซ้ำไม่ได้
และในวันที่มรสุมเข้ามา ทุกสิ่งที่เคยมีก็ปลิวหายไปกับสายลม จากคนที่ประสบความสำเร็จทุกอย่าง กลายเป็นคนที่โดนสังคมประณาม ฟอร์มการเล่นตกต่ำ จนหมดสภาพอดีตผู้ยิ่งใหญ่
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าทุกอย่างจะเลวร้ายขนาดไหน มีสิ่งหนึ่งที่ ไทเกอร์ ตั้งใจทำอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง นั่นคือการรักษา "หน้าที่ความเป็นพ่อ" ที่มีต่อลูกๆของเขา
นี่คือเรื่องราวเบื้องหลังที่ทำให้ ไทเกอร์ วูดส์ ที่เคยถอดใจจากเล่นกอล์ฟไปแล้วกลับมามีความสุขกับกีฬาชนิดนี้อีกครั้ง พร้อมกุญแจดอกสำคัญที่เปิดใจของเขานามว่า ชาร์ลี วูดส์ ผู้เป็นลูกชาย
สายสัมพันธ์พ่อลูกแข็งแกร่งและเหนียวแน่นจนสร้างอิมแพ็กต์ขนาดนี้ได้อย่างไร? ติดตามได้ที่ Main Stand
ไทเกอร์ วูดส์ โตมาแบบไหน?
การจะเป็นนักกอล์ฟอันดับ 1 ของโลกได้ล้วนเกิดจากความตรากตรำเกินกว่าที่ใครจะนึกภาพออก ไทเกอร์ วูดส์ เล่าเรื่องราวในวัยเด็กของเขาที่ผ่านการเลี้ยงดูของ เอิร์ล วูดส์ พ่อของเขาว่าคือคนที่เคี่ยวเข็ญเขาตั้งแต่จำความได้.. และมันยากเย็นจนเขาเองก็ไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าเขาจะผ่านมันมาได้
เอิร์ล วูดส์ เกิดที่เมืองแมนฮัตตัน รัฐแคนซัส เป็นอดีตนักเบสบอลของมหาวิทยาลัยแคนซัส สเตท แม้จะมีฝีมือจนได้รับการติดต่อจากทีม แคนซัส ซิตี โมนาร์ชส์ ในเนโกร ลีก (ลีกเบสบอลคนผิวดำในอดีต) ทว่า เอิร์ล เลือกที่จะเรียนต่อจนจบปริญญาตรี และเข้าเป็นสมาชิกของกองทัพบกสหรัฐอเมริกา ก่อนร่วมรบในสงครามเวียดนามถึง 2 รอบ
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การขาดอีกนิดเดียวก็จะได้เป็นนักกีฬาอาชีพ ทำให้เขาตั้งใจส่งความฝันนี้ต่อให้กับลูกๆของเขา
ในช่วงบั้นปลายของการเป็นทหารที่ประจำการอยู่ ณ ฐานทัพ ฟอร์ต แฮมิลตัน ในเมืองบรูคลิน มันคือที่ที่ทำให้ เอิร์ล วูดส์ ได้รู้จักกับการเล่นกอล์ฟ ซึ่งในช่วงเวลานั้นก็ใกล้เคียงกับที่ ไทเกอร์ ลูกชายของเขากับ กุลธิดา ภรรยาคนที่สองชาวไทย (เอิร์ล เคยแต่งงานมาแล้วหนหนึ่งกับหญิงชาวอเมริกัน มีลูกด้วยกัน 3 คน ก่อนหย่าขาดในปี 1968) เกิดในปี 1975 พอดี
สิ่งที่ เอิร์ล ทำคือสอน ไทเกอร์ ตั้งแต่จำความได้ เคยมีคลิปวิดีโอในสมัยที่ ไทเกอร์ วูดส์ อายุได้ 2 ขวบ แต่เขาก็สามารถเหวี่ยงวงสวิงแบบผู้ใหญ่ได้แล้ว มันสะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนว่า ไทเกอร์ วูดส์ โตมาแบบไหน
"ผมไม่เคยปฏิบัติกับไทเกอร์เหมือนเขาเป็นเด็ก ผมปฏิบัติต่อเขาอย่างเท่าเทียมกับผู้ใหญ่" เอิร์ล วูดส์ เล่าถึงการเลี้ยงลูกของเขา
วิธีการสอนของ เอิร์ล วูดส์ นั้น ไม่ใช่การสอนแบบไม้แข็งดุด่าว่ากล่าวหรือลงไม้ลงมือเหมือนกับนักกีฬาระดับโลกคนอื่นๆ ที่โดนเคี่ยวเข็ญในวัยเด็ก เอิร์ล พยายามทำตัวให้เหมือนกับเป็นเพื่อนของ ไทเกอร์ เพราะเชื่อว่าการเข้าหาลูกแบบนั้นทำให้เขาได้ใจลูกมากกว่า ซึ่งเขาก็ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการจริงๆ
"ผมไม่เคยตีลูกเลย ไม่แม้แต่จะดุด่าตักเตือน ผมเลี้ยงเขาเพื่อให้เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไทเกอร์ สามารถเข้าใจผมได้โดยแค่ได้ยินแค่น้ำเสียง ผมไม่เคยสอนให้ลูกต้องกลัวผม แต่ผมพยายามสอนให้เขารู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุด เมื่อไหร่ควรพอ"
ขณะเดียวกัน ในมุมของ ไทเกอร์ นั้นออกจะแตกต่างไปสักหน่อย แม้พ่อจะเข้ามาในรูปแบบของเพื่อน แต่การที่แอบพยายามผลักดันเขาให้ไปในระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆในการเป็นนักกอล์ฟอาชีพ คือสิ่งที่ไทเกอร์กดดันอยู่ไม่น้อย เขาอยากจะทำให้ได้อย่างที่พ่อคาดหวัง และการทุ่มสุดตัวกับกอล์ฟก็ทำให้เขาไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นมากมายนัก
"วูดส์รู้สึกว่าเขาต้องทำตามความคาดหวังอันสูงส่งของพ่อเพื่อทำให้เขาพอใจ วูดส์มีทุกอย่างที่พ่อของเขาเตรียมไว้ให้เขาอย่างสมบูรณ์แบบ" ดีน่า เกรเวลล์ แฟนเก่าไทเกอร์ กล่าวในภาพยนตร์สารคดีชีวิตของเขาที่ฉายผ่านช่อง HBO
ดีน่า อธิบายถึงช่วงเวลาที่พ่อแม่ของวูดส์บังคับให้เขาเลิกรากับเธอ เพราะพวกเขาคิดว่าเธอมีอิทธิพลที่อาจจะส่งผลต่อเป้าหมายการเป็นนักกอล์ฟอาชีพตามที่พ่อของเขาหวังไว้ ดีน่าเผยอีกว่าสมัยที่คบกัน ทุกครั้งที่ ไทเกอร์ ได้ออกจากบ้าน เขาจะกลายเป็นคนละคน เหมือนได้ออกจากกรอบที่พ่อและแม่วางไว้ เมื่อเขากลับถึงบ้านแล้วเขาจะกลับไปเป็นคนขี้อายและเงียบขรึมและเก็บตัวอยู่ในที่ที่จำกัดเท่านั้น
มันเป็นธรรมดาของวัยรุ่นที่จะไม่เข้าใจพ่อแม่บ้าง แต่ก็อย่างที่ เอิร์ล วูดส์ ได้กล่าวไว้ว่า ลูกชายเขารู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับปรัชญาของพ่อแม่หลายๆอย่าง แต่พ่อของเขาก็ยังให้ความสำคัญเอาใจใส่เขาอย่างดีเสมอ แม้ว่า ไทเกอร์ อาจต้องเสียช่วงเวลาวัยรุ่นไปบ้าง แต่มันก็แลกมาด้วยความสำเร็จในวงการกอล์ฟแบบที่ใครก็ทำซ้ำไม่ได้
อย่างไรก็ตาม อะไรที่ถูกกดไว้นานย่อมมีสักวันที่มันต้องระเบิดออกมา และยิ่งเก็บสิ่งเหล่านั้นไว้นานขนาดไหน แรงระเบิดก็จะยิ่งแรงเท่านั้น ซึ่งชีวิตของ ไทเกอร์ ก็เป็นเช่นนั้น
มีทุกอย่าง.. ทิ้ง(แทบ)ทุกอย่าง
ตลอดชีวิตนักกอล์ฟ ไทเกอร์ วูดส์ คว้าแชมป์รายการเมเจอร์ 15 ครั้ง (หมายถึงแชมป์กอล์ฟระดับเมเจอร์ที่แต่ละปีจะมีแข่ง 4 รายการ ได้แก่ เดอะ มาสเตอร์ส, ยูเอส โอเพ่น, ดิ โอเพ่น และ พีจีเอ แชมเปี้ยนชิพ) และแทบทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงก่อนยุค 2010s ทั้งสิ้น
คำถามคือแล้วอีก 10 ปีหลังจากนั้นล่ะ ไทเกอร์ หายไปไหน? เขาควรจะทำลายสถิติแชมป์รายการเมเจอร์ 18 ครั้งของ แจ็ค นิคลอส ได้แล้วแท้ๆ แต่ทำไมอยู่ดีๆ เขาก็หายไปจากสารบบ?
เขาไม่ได้รีไทร์ แต่เขาแค่วุ่นวายกับชีวิตในช่วงนั้น โดยเฉพาะหลังจากปี 2009 เป็นต้นมา หรือช่วงที่ "ชาร์ลี วูดส์" ลูกชายคนที่ 2 ของเขาลืมตาดูโลก และขณะเดียวกันเขาพลาดแชมป์ระดับเมเจอร์เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีหลัง
นี่คือสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก ใครต่อใครเริ่มสงสัยแล้วว่า คนที่ตีอย่างไรก็ลง เหตุใดจึงออกอาการสมาธิแตกซ่านและเล่นไม่ได้เรื่องราวกับเป็นคนละคนได้ขนาดนี้?
เมื่อเป็นคนดัง เรื่องราวของคุณมักจะถูกบอกเล่าต่อเกินจริงเสมอ และ ไทเกอร์ วูดส์ ก็เอาตัวเองไปพัวพันกับเรื่องวุ่นวายจนแก้ไขอะไรไม่ได้.. เรื่องมันเริ่มจากการ "แฉ" โดย ราเชล อูชิเทล ผู้จัดการไนท์คลับแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก ที่นำเรื่องราวของเธอกับ ไทเกอร์ และความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวมาเล่าผ่านสื่อ
หลังจากนั้นก็เป็นข่าวดัง ไทเกอร์ ถูกสื่อยำเละ และถูกขุดคุ้ยเรื่องที่เป็นความลับของเขาอีกมากมาย เจ้าตัวก็เครียดหนักและขังตัวเองไว้ในห้อง จนเริ่มส่งผลกับการใช้ชีวิตในฐานะนักกอล์ฟมือ 1 ของโลก และอีกหนึ่งหน้าที่ที่เขาพยายามทำให้ดีมาตลอด นั่นคือการเป็น "แฟมิลี่แมน"
"ฝันร้ายมาเยือน! ความรัก / ลูก ๆ / เซ็กซ์เทป ของ ไทเกอร์ วูดส์" หนังสือพิมพ์เจ้าใหญ่ของอเมริกาอย่าง National Enquirer พาดหัวข่าวเช่นนี้
จาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น 3 และเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ นั่นคือจำนวนของสาวนิรนามที่ออกมาขายข่าวของพวกเธอกับ ไทเกอร์ ผ่านสื่อ จนที่สุดแล้ว ไทเกอร์ วูดส์ ก็จมลงสู่ห้วงของความทุกข์อย่างเต็มรูปแบบ
ไทเกอร์ วูดส์ ยอมรับว่าตลอด 5 ปีหลังจากแต่งงานกับ เอลิน นอร์เดเกรน นางแบบชาวสวีเดน เขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นๆที่ไม่ใช่ภรรยาถึง 120 คน และสารภาพว่าหลังจากปี 2006 ที่คุณพ่อ เอิร์ล วูดส์ เสียชีวิต ตัวของเขาก็มีปัญหาสภาพจิตใจจนกระทั่งกลายเป็นคนเสพติดเซ็กซ์ ที่หนักที่สุดคือรายของ เรย์เชล คูไดรเอ็ต ลูกสาววัย 22 ปี ของเพื่อนบ้านของเขาเอง ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ เอลิน ถึงขั้นขอหย่ากับ ไทเกอร์ ทันทีในปี 2010
ไทเกอร์ วูดส์ กลับมาตีกอล์ฟให้ดีเหมือนเดิมไม่ได้อีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น เขามีปัญหาทั้งเรื่องยาเสพติด ชู้สาว เมาแล้วขับ ตลอดจนอาการบาดเจ็บ จนเสียตำแหน่งมือ 1 ของโลก กลายเป็นมืออันดับที่ 1,000 ภายในเวลาไม่กี่ปี
มาถึงตอนนี้ ใครๆก็คิดว่า ไทเกอร์ วูดส์ คงหมดสภาพและไม่สามารถกลับมาตีกอล์ฟได้อีกแล้ว.. ไม่แปลกที่จะมีคนคิดแบบนั้น เพราะตัว ไทเกอร์ เองก็คิดไม่ต่างกัน เขาเบื่อหน่าย อิ่มตัว และยังมีปัญหาอาการบาดเจ็บ จนทำให้คิดจะรีไทร์จากกอล์ฟที่เขาเล่นมาตลอดชีวิต
ทว่าในช่วงเวลาที่เขาคิดทบทวนก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ลูกๆของเขาเติบโต โดยเฉพาะในรายของ ชาร์ลี ลูกชายคนเล็กสุดของเขาที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้กับ ไทเกอร์ วูดส์ อย่างแท้จริง
ชาร์ลี เริ่มโตและจำความได้ในช่วงที่ ไทเกอร์ เจอมรสุมชีวิตมากมาย แต่เขาก็ยังทำหน้าที่พ่อได้อย่างครบเป๊ะ 100% เขาหาเวลามาทำกิจกรรมร่วมกับลูกๆตลอด คอยอยู่เคียงข้างและสนับสนุนทุกอย่าง แม้ตัวเองจะมีปัญหาแค่ไหน แต่ลูกๆของเขาต้องได้รับในสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ
ความเป็นพ่อของ ไทเกอร์ นั้นสุดยอดจนชนิดที่ว่า เอลิน อดีตภรรยาของเขายังออกมาชื่นชมผ่านสื่อว่า แม้เขาจะเป็นคู่ชีวิตที่แย่ แต่ในฐานะพ่อแล้ว ไทเกอร์ ทำได้ดีเสมอต้นเสมอปลายอย่างน่ายกย่อง
"ความสัมพันธ์ระหว่างเราอาจจะเป็น 0 แต่เราต่างก็มีศูนย์กลางเป็นลูกๆ และฉันเชื่อว่าเราทำได้ดี ฉันมีความสุขมากที่เห็น ไทเกอร์ เป็นแบบนี้ ต้องยอมรับเลยล่ะว่าเขาคือยอดคุณพ่อตัวจริง" เอลิน กล่าวถึงอดีตสามีของเธอ
ไทเกอร์ และ ชาร์ลี.. แตกต่างแต่เกื้อกูลกัน
ชาร์ลี ไม่ได้เหมือนกับ ไทเกอร์ ตอนเด็ก.. ในขณะที่ ไทเกอร์ โดน เอิร์ล เคี่ยวเข็ญและวางทางเดินเป็นขั้นๆเอาไว้เพื่อเป็นนักกอล์ฟอาชีพ ชาร์ลี กลับแตกต่าง เพราะ ไทเกอร์ เลี้ยงเขามาอีกแบบ
ไทเกอร์ ไม่เคยบังคับ ไม่เคยแนะแนวทางให้ ชาร์ลี เป็นนักกอล์ฟเลย เขาเลี้ยง ชาร์ลี แบบตามใจ ให้อิสระเต็มที่ ไม่ว่าชอบสิ่งไหนเขาก็สนับสนุน แต่กลับกลายเป็นว่า ชาร์ลี กลับชอบ กอล์ฟ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น.. ซึ่งนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ ไทเกอร์ รู้สึกแปลกใจ เพราะเขาเองก็เกิดอาการเบื่อกอล์ฟในช่วงขาลง จนห่างจากการจับไม้กอล์ฟไปพักใหญ่
"ผมเลยจุดที่จะกลับมาเล่นแล้ว ผมไม่สามารถนั่ง เดิน หรือนอนลงโดยไม่รู้สึกปวดหลังและขา ผมถึงขั้นคิดว่า หรือนี่คือชีวิตของผมที่เหลือต่อจากนี้? และมันคงเป็นชีวิตที่ยากลำบากมาก" ไทเกอร์ เคยกล่าวไว้เมื่อหลายปีก่อน
แต่ยิ่ง ไทเกอร์ พยายามออกห่าง กอล์ฟ ชาร์ลีกลับพยายามเข้าใกล้มันและต้องการให้พ่อสอนเขาในสิ่งที่พ่อเคยทำมาตลอด เขาโตพอที่จะรู้ว่า ไทเกอร์ เก่งขนาดไหนในอดีต และอยากให้พ่อของเขากลับมาเป็นคนนั้นอีกครั้ง
ของสะสมที่มีคุณค่าทางจิตใจของ ไทเกอร์ ถูก ชาร์ลีจอมซนรื้อค้นออกมาทั้งหมด จนเขาได้พบความทรงจำเก่าๆที่ขาดหายไป ไทเกอร์ พบว่าถ้าเขาเล่นกอล์ฟอีกครั้ง มันจะทำให้เขาได้มีกิจกรรมร่วมกับลูกชาย เขาจะกลายเป็นโค้ชที่ดีที่สุดให้กับ ชาร์ลี และเหนือสิ่งอื่นใดคือ ทุกๆวันที่ ไทเกอร์ สอนลูกของเขา มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีกับกอล์ฟมาก่อน นั่นคือการเล่นแบบไม่ได้คาดหวังถึงแชมป์และเงินรางวัล แต่เป็นการเล่นเพื่อมีความสุขกับลูกชายเท่านั้นเอง
"ตอนที่ ชาร์ลี ยังเด็ก เขาเป็นเด็กที่ซนมาก เขาจะเข้ามารื้อค้นห้องเก็บของของผมตลอดเลย มันเหมือนกับว่าเขาพยายามจะเข้ามายุ่งกับผมตลอดเวลาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ยิ่งผมห้าม เขาก็ยิ่งรุกหนัก"
"ผมมีพัตเตอร์ (ไม้กอล์ฟสำหรับเล่นลูกใกล้หลุม) ที่ผมหวงที่สุด และผมพยายามห้าม ชาร์ลี ว่านี่คือสิ่งที่เขาจะแตะต้องไม่ได้ มันคือพัตเตอร์ Scotty Cameron Newport สีดำสั่งทำพิเศษ หน้าพัตเตอร์แบบ Teryllium ที่ผมใช้ในการคว้าแชมป์ เดอะ มาสเตอร์ส ในปี 1997 (แชมป์เมเจอร์แรกในชีวิต) ส่วนอีกอันที่อยู่ข้างๆกันคือ Scotty Cameron Newport 2 GSS (ใช้ในการคว้าแชมป์เมเจอร์ 13 ครั้ง).. ผมให้ ชาร์ลี เล่นได้ทุกอย่าง ยกเว้นสองอันนี้ที่ผมบอกเขาตลอดว่า -ห้ามแตะต้อง-"
ไม่ต้องบอกก็รู้อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น พลังความซนของลูกชายนั้นเป็นสิ่งที่พ่อแม่นั้นยากจะต่อต้าน ต่อให้เป็นของรักของหวงขนาดไหน แต่เมื่อโดนรบเร้ามากขึ้นทุกวัน.. ที่สุดแล้ว 1 ในพัตเตอร์ที่ ไทเกอร์ รักที่สุดอย่าง Scotty Cameron Newport 2 GSS ก็กลายเป็นของ ชาร์ลี ในเวลานี้
การที่ ชาร์ลี เอาไม้กอล์ฟสุดรักของ ไทเกอร์ ติดตัวไปด้วย มันเหมือนเป็นการทำให้ ไทเกอร์ ต้องตามไปดูทุกครั้งเวลาที่ ชาร์ลี ไปออกรอบ ใจหนึ่งเขาก็อาจจะหวงของ แต่ที่สุดแล้ว ไทเกอร์ ก็อยากจะเห็นว่าลูกชายของเขาเหมาะสมกับไม้กอล์ฟสุดโปรดของเขาขนาดไหนต่างหาก
ในขณะเดียวกับที่ลูกชายพยายามยกระดับการเล่นของตัวเองให้เป็นนักกอล์ฟที่ดีขึ้น ไทเกอร์ เองก็หันมาจับไม้กอล์ฟและต้องการเป็นไอดอลของลูกชายอย่างที่ ชาร์ลี เคยร้องขอจากเขา เขาไม่แค่ใช้ปากสอนลูกเท่านั้น แต่ ไทเกอร์ ยังแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง เขากลับมาเล่นกอล์ฟอีกครั้ง และเริ่มกลับมาลงแข่งขันในรายการต่างๆในฐานะนักกอล์ฟมืออันดับ 1,000 ของโลก เมื่อปี 2018
"เด็กๆรู้ว่าผมทำอะไรไว้บ้างในช่วงแรกของการเป็นนักกอล์ฟ แต่สิ่งเดียวที่พวกเขาเห็นกับตาคือการที่ผมพยายามดิ้นรนอย่างหนักที่จะเอาชนะความเจ็บปวดอย่างสุดชีวิต แค่นี้ก็สุดยอดแล้วที่ได้แสดงให้ลูกๆเห็น แค่มีแรงลงเล่นฟุตบอลกับพวกเขาในสนามหลังบ้านมันก็เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมแล้วจริงๆ" ไทเกอร์ กล่าวถึงความภูมิใจของเขาในการกลับมาครั้งนั้น
สองพ่อลูกเติบโตไปพร้อมกันอย่างแตกต่างแต่เกื้อกูลกันในแบบที่ลงตัวเหลือเชื่อ ชาร์ลี กลายเป็นเด็กที่มีโค้ชเป็นอดีตนักกอล์ฟที่ดีที่สุดในโลก ขณะที่ ไทเกอร์ ได้กลับมาเล่นกอล์ฟแบบมีความสุขอีกครั้ง
หลังจากนั้นปีเดียว ในรายการ เดอะ มาสเตอร์ส ปี 2019 ไทเกอร์ ที่ลงแข่งขันก็ได้แสดงการคัมแบ็กที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขามีประสบการณ์ มีแรงขับจากครอบครัว และสุดท้ายเขาเหมือนกลับมาเป็นวัยรุ่นที่มีความกระหายแชมป์อีกครั้ง
เพราะความสำเร็จครั้งนี้มีความหมายอย่างมาก มันจะปลดแอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเขา และเหนือสิ่งอื่นใด เขาจะทำให้ลูกๆของเขาเห็นความหมายของคำว่าความพยายาม และได้รับรู้ว่าพ่อของพวกเขาเป็นนักสู้ขนาดไหน
สุดท้าย ไทเกอร์ ก็ทำสำเร็จ เขาคว้าแชมป์รายการ เดอะ มาสเตอร์ส ได้อีกครั้งในรอบหลายปี โดยช็อตที่พาเขาคว้าแชมป์นั้นเป็นช็อตง่ายๆ ไทเกอร์ แค่เคาะเบาๆ ลูกกอล์ฟก็กลิ้งลงหลุม ทว่าการดีใจของเขามันสุดเหวี่ยงยิ่งกว่าการเป็นแชมป์ครั้งไหนๆ เพราะมันเป็นโมเมนต์ที่เขารอคอยมาตลอด 11 ปี
ทายสิว่าใครเข้ามาดีใจกับเขาเป็นคนแรก?.. มันจะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่ ชาร์ลี ลูกชายของเขา
"คุณดูลูกชายตัวน้อยของเขาสิ ท่าทีของเจ้าหนูชาร์ลีวิ่งเข้ามากอดเนี่ย เขาภูมิใจในตัวพ่อของเขามากแค่ไหนกันนะ ผมล่ะอยากรู้จริงๆ" ผู้บรรยายการถ่ายทอดสดในวันนั้นกล่าว ขณะที่กล้องก็รู้งานทันทีด้วยการจับภาพ ไทเกอร์ วิ่งเข้าไปหาครอบครัวและกอดกันกลมในบรรยากาศที่อบอุ่นและน่าประทับใจที่สุด
ขณะที่ ไทเกอร์ ในวัย 43 ปี ก็สวมเสื้อแดงตัวเก่งไปให้สัมภาษณ์หลังรับถ้วยแชมป์ว่า "ครั้งหนึ่งเมื่อปี 1997 พ่อผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผมอยู่ที่นี่ตอนผมได้แชมป์.. ส่วนปีนี้ผมเป็นพ่อคนแล้ว และลูกๆทั้งสองของผมก็อยู่ที่นี่ด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผมอย่างแท้จริง" เขายอมรับแต่โดยดีว่า ถ้าไม่มีลูกๆ โดยเฉพาะ ชาร์ลี ที่ทำให้เขากลับมาจับไม้กอล์ฟอีกครั้ง การคัมแบ็กของเขาคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย
ทุกอย่างสะท้อนกลับไปที่ ชาร์ลี เขาได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพ่อด้วยตาตัวเอง และนั่นเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ ชาร์ลี ฝึกหนักจนกลายเป็นนักกอล์ฟฝีมือดีขึ้นมาได้ ทางด้าน ไทเกอร์ ก็ยืนยันว่าเขาไม่จำเป็นต้องบังคับเลยด้วยซ้ำ ชาร์ลี ตั้งใจทำมันเอง และนั่นทำให้เขามีความสุขมาก
"การได้เห็นเขาสนุกไปกับการเล่นเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับผม แค่ตีให้สนุก พยายามครีเอตช็อต สำหรับผมการได้เห็นเขามีความสุขกับการเล่นกีฬา ได้เห็นเขารู้สึกกับการตีแต่ละช็อตและตีให้เต็มที่ แค่นั้นก็พอแล้ว" ไทเกอร์ กล่าวถึง ชาร์ลี อย่างสั้นๆแต่ตรงประเด็น
สิ่งเหล่านี้มันทำให้เราได้เห็นว่า ถ้าคุณมอบความรักให้ใครสักคน ใส่ใจเขาในทุกๆก้าวที่เขาเติบโต เขาคนนั้นก็จะกลับมาเป็นพลังงานความสุขและเป็นสิ่งมีค่าที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้ให้กับเราเอง
ไทเกอร์ และ ชาร์ลี อาจจะเติบโตมาอย่างแตกต่าง แต่ที่แน่ๆ พวกเขาทั้งคู่มีวันนี้ได้ก็เพราะความรักและความเอาใจใส่จากพ่อและแม่ของเขาในแบบที่หาอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ทุกวันนี้ ชาร์ลี และ ไทเกอร์ ได้ออกรอบแข่งขันกอล์ฟร่วมกันแล้ว และเพิ่งคว้ารองแชมป์ในการแข่งขันกอล์ฟคู่ พีเอ็นซี แชมเปี้ยนชิพ 2021 ซึ่งเป็นรายการแรกๆที่ ไทเกอร์ กลับมาลงสนามอีกครั้งหลังประสบอุบัติเหตุรถชนจนกระดูกขาแตกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
ลูกชายวัย 13 และพ่อวัย 45 ปี เดินลงสนามกอล์ฟด้วยรอยยิ้ม พวกเขารู้กันตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากบ้านแล้วว่า นี่เป็นความสุขที่แท้จริง ต่อให้ไม่ชนะการแข่งขันแต่พวกเขาก็ได้มีเวลาดีๆร่วมกัน
นี่คือสายสัมพันธ์พ่อลูกในอุดมคติอย่างแท้จริง
อัลบั้มภาพ 14 ภาพ