แล่นแรงตลอดทาง : เหตุใด "เป๊ป" นำ "แมนฯ ซิตี้" คว้าแชมป์ลีกอังกฤษแบบนำม้วนเดียวจบ

แล่นแรงตลอดทาง : เหตุใด "เป๊ป" นำ "แมนฯ ซิตี้" คว้าแชมป์ลีกอังกฤษแบบนำม้วนเดียวจบ

แล่นแรงตลอดทาง : เหตุใด "เป๊ป" นำ "แมนฯ ซิตี้" คว้าแชมป์ลีกอังกฤษแบบนำม้วนเดียวจบ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2021-22 ผ่านไปได้ประมาณครึ่งฤดูกาลแล้ว เส้นทางลุ้นแชมป์ก็เหมือนจะจบลงแล้วเช่นกัน หลังจากเป็นอีกครั้งที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นำโด่งไม่สนใจทีมอื่น

เบื้องหลังผลงานที่โดดเด่นของ แมนฯ ซิตี้ คือชัยชนะติดต่อกัน 12 เกมในพรีเมียร์ลีก ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะพวกเขาทำได้ในทุกปีที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก หลังจากยุคที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาคุมทีม นั่นหมายความว่าตลอด 3 ครั้งที่ผ่านมาที่เป๊ปพาทีมเรือใบสีฟ้าคว้าแชมป์ลีก ต้องมีการชนะติดต่อกันอย่างน้อย 12 ครั้งทั้งหมด

รวมถึงทีมนี้เป็นเจ้าของสถิติชนะรวดติดต่อกัน 18 นัด ซึ่งเป็นสถิติของลีกและเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อฤดูกาล 2017-18 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาเปลี่ยนแนวทางการลุ้นแชมป์ของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกไปอย่างสิ้นเชิง ความสม่ำเสมอเท่านั้นที่จะพาสโมสรเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษได้

ในขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์ซ้ำรอยด้วยการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในแบบที่พวกเขาคุ้นเคย เราจะพาทุกคนไปดูกันว่า อะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ทำทีมเรือใบสีฟ้าแล่นเร็วและแรง จนผลงานดีไม่มีตกตลอดฤดูกาลจนคว้าแชมป์ลีกม้วนเดียวจบเป็นเรื่องปกติ

เรียนรู้จากความล้มเหลว

ความล้มเหลวคือบทเรียนที่ดีที่สุดสำหรับใครหลายคน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็เช่นเดียวกัน จากปกติที่เคยไปคุมทีมไหนก็ได้แชมป์ลีกตั้งแต่ปีแรก โค้ชชาวสเปนข้ามมาจับงานในพรีเมียร์ลีกและพา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จบเพียงอันดับ 3 ของตารางเท่านั้น แถมไม่มีถ้วยรายการเมเจอร์ติดมือแม้แต่ถ้วยเดียว ในฤดูกาล 2016-17 

เป๊ป รู้ทันทีว่าพรีเมียร์ลีกต่างออกไปจากลีกที่เคยผ่านมา ทั้ง ลา ลีกา สเปน และ บุนเดสลีกา เยอรมัน ก่อนที่เขาจะพบว่าปัญหาที่เขาไม่ได้เตรียมรับมือมาก่อนคือโปรแกรมที่แน่นตลอดทั้งปีของฟุตบอลอังกฤษ

แต่ไหนแต่ไร เป๊ป เป็นคนที่ชอบใช้นักเตะจำนวนจำกัด เขาเลือกส่งผู้เล่นเฉพาะคนที่ถูกใจลงสนามเท่านั้น ไม่ได้นิยมการโรเตชั่นเท่าไหร่ เพราะใครที่เขารู้สึกว่าดีไม่พอเขาจะไม่ให้โอกาสลงไปเล่นโดยเด็ดขาด 

เป๊ป ยังคงนำวิธีการเดิมมาใช้กับการคุมทีมเรือใบสีฟ้า เขาใช้ขุมกำลังหลักประมาณ 20 คนเท่านั้นในการไล่ล่าแชมป์ และมีผู้เล่นถึง 5 คนในทีมชุดใหญ่ที่ไม่ได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกเลยแม้แต่เกมเดียว

แมนฯ ซิตี้ ออกสตาร์ทฤดูกาลในพรีเมียร์ลีกอย่างร้อนแรง ด้วยการชนะรวด 6 เกมติด แต่หลังจากที่เริ่มมีฟุตบอลถ้วยเข้ามา ผลงานของทีมก็ตกลงอย่างชัดเจน ด้วยการชนะแค่ 3 นัด จาก 9 เกมการแข่งขัน เสียตำแหน่งจ่าฝูงของตารางและกลับมาไม่ได้อีกเลย 

บทสรุปคือทีมของเป๊ปยืนระยะไม่ไหว นักเตะตัวหลักมีอาการล้าและมีอาการบาดเจ็บรบกวน เพราะต้องใช้ผู้เล่นอย่างจำกัด เนื่องจากมีแข้งในทีมจำนวนไม่มากนักที่ดีพอจะเล่นในแทคติกของเป๊ป ซึ่งตัวสำรองของแมนฯ ซิตี้ ณ เวลานั้น ก็ไม่สามารถที่จะทำให้แผนการเล่นของกวาร์ดิโอล่าแสดงประสิทธิภาพออกมาได้อย่างที่ควรจะเป็นจริง ๆ

"ถ้าผมไม่ได้แชมป์ ผมไม่อยู่ที่นี่นานหรอก ไม่มีแชมป์ก็คือนี่เป็นฤดูกาลที่แย่ เป็นผู้จัดการทีมต้องวัดกันที่ผลงาน" เป๊ป ยอมรับในความล้มเหลวของตัวเอง

"ขนาดตอนที่ผมคุม บาเยิร์น มิวนิค ผมยังโดนมองว่าเป็นโค้ชที่ดีไม่พอ ทั้งที่ผมชนะแชมป์ลีก 3 สมัย เพราะผมไม่ได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก การไม่ได้แชมป์คือหายนะ" 

"ผมรู้ดีว่ามาตรฐานของผมเป็นอย่างไร ผมรู้ว่าคนคาดหวังผลงานของผมมากแค่ไหน ผมรับมือกับมันได้ และเชื่อผมเถอะ ผมจะพยายามทำให้ทีมดีขึ้นเรื่อย ๆ" กวาร์ดิโอล่า กล่าว

สร้างขุมกำลังที่แข็งแกร่ง 

ไม่มีใครอยากตกงาน ต่อให้เป็น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โค้ชสมองเพชรจึงพยายามมองหาวิธีแก้ไขปัญหา และพบว่าหากจะเอาตัวรอดในพรีเมียร์ลีก เขาต้องเลิกการใช้งานนักเตะกลุ่มเล็กแบบที่ส่งผู้เล่นคนเดิมลงสนามซ้ำ ๆ ซึ่งทำให้ทีมยืนระยะไม่ไหว 

เขาต้องสร้างทีมที่ใหญ่และมีขุมกำลังที่สามารถสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันลงสนามได้ตลอดเวลา เพื่อให้ผู้เล่นมีความสดอยู่เสมอ และพร้อมจะต่อสู้ตลอดทั้งฤดูกาล ท่ามกลางโปรแกรมอันหนักหน่วงของฟุตบอลอังกฤษ

"ผมโรเตชั่นนักเตะ เพราะพวกเขาเล่นฟุตบอลทุกวันไม่ไหวหรอก พวกเขาคือมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร" เป๊ป กล่าวถึงวิธีการทำทีมรูปแบบใหม่ของเขา หลังจากดวงตาเห็นธรรม

"เราเล่นโดยไม่ได้พักกลางสัปดาห์แม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีนักเตะคนไหนในโลกจะพร้อมลงสนามได้ทุกเกม ดังนั้นผมต้องสับเปลี่ยนพวกเขาลงสนาม" 

"เราอยากจะชนะการแข่งขันทุกรายการโดยเฉพาะฟุตบอลลีก เราอยากจะออกนำก่อนแล้วคว้าแชมป์ให้ไวที่สุด ซึ่งผมคงทำแบบนี้ไม่ได้ถ้าผมไม่โรเตชั่นนักเตะ"

เป๊ป พูดออกมาอย่างชัดเจนว่า หากคิดจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบปิดเกมเร็วแบบไม่เปิดโอกาสให้ทีมไหนได้ลุ้น เขาต้องมีขุมกำลังที่ใหญ่พอในการส่งผู้เล่นคุณภาพดีลงสนามให้ได้ตลอดทั้งปี เพื่อลดปัญหาเรื่องความล้าหรืออาการบาดเจ็บที่จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการเล่นของทีมให้ได้มากที่สุด 

โชคดีที่ เป๊ป ทำงานกับทีมมหาเศรษฐีอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เขาจึงมีงบไม่อั้นในการซื้อนักเตะที่ต้องการมาร่วมทีม อีกทั้งผู้บริหารทีมเรือใบสีฟ้าก็เชื่อมั่นในตัวผู้จัดการทีมรายนี้เป็นอย่างมาก จึงไม่เคยคิดขัดขวางการพัฒนาทีมผ่านการดึงตัวผู้เล่นเลย 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จึงมีนักเตะฝีเท้าดีเดินเรียงหน้ามาเป็นสมาชิกของทีม ทั้ง เอแดร์ซอน, แบร์นาร์โด ซิลวา, อายเมริก ลาปอร์ต, รูเบน ดิอาส, ริยาด มาห์เรซ, โรดรี้, เจา กานเซโล่ ผนึกกับแข้งที่อยู่กับทีมมาตั้งแต่ฤดูกาลแรกของเป๊ป อย่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, เควิน เดอ บรอยน์ รวมถึงตัวเก๋าอย่าง เซร์คิโอ อเกวโร่, ดาบิด ซิลบา และ แฟร์นานดินโญ่ คอยไล่ล่าความสำเร็จ

ขุมกำลังที่เต็มไปด้วยนักเตะที่เปี่ยมคุณภาพทำให้เป๊ปสามารถรักษามาตรฐานของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ตลอดทั้งปี มีผู้เล่นทดแทนได้ตลอด ทำให้ทุกเกมของซิตี้ไม่มีคำว่าพักตัวหลัก มีแต่การสลับหมุนเวียนผู้เล่นลงสนาม แต่เป้าหมายคือการคว้า 3 คะแนน เหมือนเดิมในทุกเกม

แต่ถ้าคุณคิดว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประสบความสำเร็จแบบทุกวันนี้ได้เพราะเรื่องเงินล้วน ๆ มันไม่เคยเป็นแบบนั้น … 4 ฤดูกาลหลังสุดของพรีเมียร์ลีกหรือตั้งแต่ฤดูกาล 2018-19 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่เคยครองตำแหน่งทีมที่ใช้เงินซื้อ-ขายนักเตะสูงที่สุดในลีกเลย ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี และ ลิเวอร์พูล ทำยอดติดอันดับ 1 มาหมดแล้ว 

หรือหากนับเฉพาะ 5 ฤดูกาลหลังสุด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ไม่ใช่ทีมที่ใช้เงินซื้อนักเตะสูงสุดในพรีเมียร์ลีก แต่เป็นคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างหาก แน่นอนว่าการทุ่มเงินซื้อนักเตะเป็นส่วนสำคัญที่สร้างทีมเรือใบสีฟ้า แต่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีทีเด็ดมากกว่านั้นกับการทำให้ทีมสีฟ้าแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ครองความเป็นใหญ่ในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ

สร้างการแข่งขันและพัฒนาภายในทีม

ด้วยความที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีนักเตะคุณภาพดียืนเรียงรายไหล่ชนไหล่กันเต็มทีมไปหมด จึงไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสลงสนาม และเมื่อมีแข้งทองที่ไม่ได้ลงเล่นในแบบที่ตัวเองต้องการ ปัญหาออกลูกงอแงจึงเกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้ทั่วไปกับโลกฟุตบอลยุคปัจจุบัน 

ผู้จัดการทีมหลายคนไม่สามารถจัดการปัญหานักเตะเจ้าปัญหาหรือผู้เล่นที่พยายามทำตัวใหญ่กว่าสโมสรได้ จนเกิดเป็นปัญหาภายในทีมระหว่างฤดูกาลที่ส่งผลต่อการสู้ศึกฟุตบอลลีกที่ความสม่ำเสมอเป็นเรื่องสำคัญที่สุด 

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นคนที่มีข้อเรียกร้องสูงจากนักเตะของเขา นักเตะของเขาจะต้องเข้าใจแทคติกอย่างถ่องแท้ แถมห้ามเล่นหลุดหรือผิดพลาดอีกต่างหาก การทำงานกับผู้ชายคนนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ในหลายทีมนักเตะจะไม่ยอมโค้ชที่อีโก้จัดแบบนี้แน่นอน แต่กุนซือชาวสเปนกลับมีวิธีที่เอานักเตะของเขาได้อยู่หมัด ซึ่งเขาเคยทำได้ดีมาตลอด ไม่ว่าจะตอนคุมบาร์เซโลน่า, บาเยิร์น มิวนิค มาจนถึง แมนเชสเตอร์ ซิตี้

เป๊ป เลือกที่ใช้อำนาจเด็ดขาดชัดเจน เขาจะส่งผู้เล่นที่พร้อมและทำผลงานได้ถูกใจตัวเขาเท่านั้น ถึงจะมีโอกาสลงสนาม นักเตะทุกคนก็ต้องโชว์ผลงานให้เห็นว่าดีพอในสนามซ้อมถึงจะมีโอกาสลงแข่งขันในสนามจริง 

ขณะที่ผู้เล่นตัวจริงก็ต้องรู้ตัวว่า พวกเขามีสิทธิ์ถูกดรอปไปอยู่บนม้านั่งสำรองได้ทุกเมื่อ หากมีปัญหาเรื่องความฟิต, ผลงานการเล่นไม่เป็นไปตามมาตรฐานเดิม หรือมีคนอื่นในทีมทำผลงานได้ดีกว่า ไม่มีใครใน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ตั๋วทองการันตีการลงสนามทุกเกม 

กวาร์ดิโอล่า ใช้การฝึกซ้อมที่จริงจังมาใช้ในการพัฒนาลูกทีม เขาเชื่อว่าถ้านักเตะภายในทีมเล่นได้เหมือนกับในสนามซ้อม พวกเขาก็จะเล่นได้ดีในสนามจริง ซึ่งการซ้อมอย่างหนักของเป๊ปไม่ใช่การวิ่งรอบสนาม 10 รอบ หรือเล่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ส่วนใหญ่มันคือการซ้อมส่งบอล ชิ่งบอลไปมา ฝึกการครอบครองบอล ฝึกการสร้างจังหวะเข้าทำ ฝึกการเคลื่อนที่หาพื้นที่ว่างในสนาม ตามแบบฉบับแทคติกต่อบอลอันไม่มีวันสิ้นสุด หรือ ติกิ-ตาก้า 

ถึงจะเน้นซ้อมส่งบอลที่ไม่ได้ใช้แรงมากมาย แต่มันก็เข้มข้นอย่างมาก เพราะความผิดพลาดแม้แต่ในสนามซ้อม เป๊ป กวาดิโอล่า ก็รับไม่ได้ เขาพร้อมจะติเตียนและสั่งสอนลูกทีมทันทีที่เกิดความพลาด 

นอกจากนี้เขายังไม่อนุญาตให้ลูกทีมเล่นมุกตลกเรียกเสียงหัวเราะระหว่างฝึกซ้อม เพราะต้องการให้นักเตะโฟกัสไปกับการฝึกซ้อมเท่านั้น สำหรับเป๊ปหากผู้เล่นของเขาไม่สามารถโฟกัสไปที่ฟุตบอลเพียงอย่างเดียวในการฝึกซ้อม เขาก็ไม่เชื่อว่าผู้เล่นคนนั้นจะมุ่งมั่นไปที่ฟุตบอลเพียงอย่างเดียวในการแข่งขันจริงได้ 

"ต่อให้เล่นลิงชิงบอลคุณก็ต้องทุ่มเทกลับมันร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องเล่นฟุตบอล" เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เคยกล่าวถึงมุมมองของเขาต่อการฝึกซ้อม

ด้วยความที่แทคติกของเป๊ปเน้นการต่อบอลอยู่แล้ว การฝึกซ้อมด้วยการต่อบอลอย่างหนักจะทำให้เป๊ปสามารถเห็นข้อดีและข้อด้อยของนักเตะได้อย่างชัดเจน เพื่อจะได้คอยแนะนำแก้ไขจุดอ่อนของผู้เล่นเหล่านั้นได้ตั้งแต่ในสนามซ้อม พร้อมติดตามว่าแข้งเหล่านั้นมีพัฒนาการหรือไม่ 

ขณะเดียวกันเขาจะสามารถเห็นได้ชัดว่าแข้งคนไหนเล่นได้หรือเล่นไม่ได้ ซึ่งผู้เล่นที่ดีไม่พอในสนามซ้อมและจ่ายบอลผิดพลาดบ่อย ๆ หรือยังเคลื่อนที่ไม่เป็นไปตามตำแหน่งที่ควรจะอยู่ ก็จะแสดงผลให้เห็นชัดเจนว่าพวกเขายังไม่เข้าใจแทคติกของเป๊ป และกุนซือชาวสเปนก็ไม่จำเป็นต้องส่งนักเตะรายนั้นลงสนามเพื่อไปสร้างความผิดพลาดในการแข่งขันจริง 

ด้วยความที่เป๊ปเรียกร้องมากขนาดนี้ ทำให้แข้งเรือใบสีฟ้าต้องทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลา เพราะผู้จัดการทีมรายนี้เป็นคนพูดจริงทำจริง ถ้าดีไม่พอในสายตาเขาก็จะไม่มีทางได้ลงสนาม ดังนั้นผู้เล่นทุกคนต้องทำให้ดีที่สุดในสนามซ้อม อย่างน้อยก็ต้องดีกว่าคู่แข่งในตำแหน่งเดียวกันเพื่อโอกาสลงสนาม

แต่ผลของการฝึกซ้อมอย่างหนักไม่ได้ส่งผลดีกับนักเตะแค่เรื่องโอกาสในการลงสนาม แต่มันยังช่วยให้นักเตะพัฒนาฝีเท้าอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น เควิน เดอ บรอยน์ ที่กลายเป็นเพลย์เมคเกอร์ตัวท็อปของโลก, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่เปลี่ยนจากปีกที่มีดีแค่ความเร็วกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่หาพื้นที่ได้ดีที่สุดของโลก, เจา กานเซโล่ ที่ก้าวขึ้นมาเป็นแบ็กระดับท็อปที่เล่นได้ทั้งซ้ายและขวา, รูเบน ดิอาส กลายเป็นเซ็นเตอร์แบ็กเบอร์ต้น ๆ ของโลก รวมถึงเปลี่ยน อิลคาย กุนโดกัน จากนักเตะจอมพลังสมัยเล่นอยู่ที่เยอรมันให้กลายเป็นแข้งสายเทคนิคเพียวที่โดดเด่นอย่างมากในการเล่นเกมรุก

นอกจากนักเตะของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะเก่งขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การนำของเป๊ปแล้ว … กุนซือรายนี้ยังกล้าที่จะปรับเปลี่ยนตำแหน่งของนักเตะภายในทีมตามคุณสมบัติที่เขาเห็นในการฝึกซ้อม และมองว่าผู้เล่นคนนั้นจะเหมาะกับการเล่นตรงไหนที่สุดในสายตาของเขา 

เป๊ป จะเข้าไปเคี่ยวเข็นนักเตะที่เขาเห็นแววเพื่อเปลี่ยนวิธีการเล่นของนักเตะรายนั้น ทั้งการเปลี่ยน แบร์นาโด้ ซิลวา จากปีกให้กลายเป็นกองกลางตัวกลางที่ลงมาควบคุมเกมแทนที่ ดาบิด ซิลบา ที่ย้ายออกจากทีมไป 

เพราะ เป๊ป เห็นแล้วว่า แบร์นาโด้ ที่อายุมากขึ้นมีความเร็วตกลงไป แต่ยังมีเทคนิคการครองบอลที่ยอดเยี่ยมอยู่ และมีไอคิวฟุตบอลในการเคลื่อนที่ชั้นเลิศ จึงไม่จำเป็นจะต้องไปดันทุรังเล่นเป็นตัวริมเส้น แต่จะถูกปรับให้มายืนคุมจังหวะเกมกลางสนามและคอยสอดขึ้นไปทำประตูแทน

หรือในฤดูกาลนี้ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่มีกองหน้าตัวเป้า หลังจาก เซร์คิโอ อเกวโร่ ย้ายออกจากทีมไป เป๊ปก็ปรับเหล่าผู้เล่นริมเส้นของทีม ทั้ง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, เฟร์ราน ตอร์เรส (ย้ายออกไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า ระหว่างฤดูกาลแล้ว), ฟิล โฟเดน และ แจ็ค กรีลิช ให้สลับกันเป็นกองหน้าของทีม โดยพยายามดึงจุดเด่นของแต่ละคนออกมาใช้และฝึกสอนให้ทุกคนพัฒนาตัวเองกับตำแหน่งใหม่ เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้กับทีมมากที่สุด และต่อให้นักเตะไม่คุ้นชิน เป๊ป ก็จะเคี่ยวเข็นจนกว่าผู้เล่นเหล่านั้นจะทำได้

การพัฒนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดภายในทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ความแข็งแกร่งของทีมเรือใบสีฟ้ายืนระยะมาได้ยาวนานตลอดทั้งฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก เพราะตัวนักเตะจะต้องทำผลงานให้ดีไม่มีมาตรฐานตกตั้งแต่ในสนามซ้อม และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็ไม่เคยที่จะยอมอ่อนข้อให้แม้สักเปอร์เซ็นต์เดียว ยกเว้นทีมจะได้ครอบครองถ้วยแชมป์แล้วเท่านั้น

สร้างแทคติกที่ไม่เคยซ้ำเดิม

แม้ว่าแทคติกของเป๊ปในทุก ๆ ปี คือการเล่นสไตล์ติกิ-ตาก้า ที่เป็นการเล่นแบบครอบครองบอลที่จะคอยต่อบอลไปเรื่อย ๆ โดยให้ผู้เล่นเคลื่อนที่หาช่องเข้าทำอย่างช้า ๆ จนสามารถเปิดพื้นที่ในกรอบเขตโทษและเข้าไปจบสกอร์ได้ในที่สุด 

ถึงแม้รูปแบบการเล่นมองผิวเผินจะเหมือนกันทุกปี แต่แทคติกของเป๊ปมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลาตามสถานการณ์ของผู้เล่นและแทคติกของคู่แข่งในแต่ละช่วงเวลา 

ยกตัวอย่างในฤดูกาล 2017-18 เป๊ปซื้อตัวผู้รักษาประตูคนใหม่ชาวบราซิล อย่าง เอแดร์ซอน เข้ามา และเขาก็ฉวยโอกาสที่ทุกทีมเพรสซิ่งสูงใส่แนวรับของแมนฯ ซิตี้ เพราะคิดว่าทีมเรือใบสีฟ้าจะต้องสร้างเกมจากแนวหลัง โดยให้มือกาวคนใหม่ที่มีจุดเด่นในการเปิดบอลระยะไกล เปิดบอลยาวข้ามไปหาแนวรุกของทีม ที่มีทั้งปีกความเร็วสูง อย่าง ราฮีม สเตอริ่ง และ เลรอย ซาเน่ คอยรออยู่

ซึ่งพื้นที่ในแนวหลังของทีมคู่แข่งที่เปิดกว้างเพราะดันสูงขึ้นไปกดดันนักเตะแนวรับและแดนกลางของแมนฯ ซิตี้ ก็ทำให้เป็นงานง่ายที่แนวรุกความเร็วสูงจะใช้ความสามารถเฉพาะตัวเข้าไปจบสกอร์ด้วยตัวเอง

หลังจากฤดูกาลผ่านไปทีมคู่แข่งเริ่มไม่กล้าขึ้นไปเพรสซิ่งสูงเพราะกลัวแมนฯ ซิตี้ จะวางบอลยาว ก็เป็นการเปิดโอกาสให้เป๊ปเปลี่ยนแทคติกของตัวเอง กลับมาเซ็ตบอลเกมบุกเท้าสู่เท้าเริ่มต้นในตำแหน่งกองหลังอีกครั้ง และมันจึงทำให้ทีมคู่แข่งจับทางไม่ได้ว่าแมนฯ ซิตี้ จะเริ่มตั้งเกมด้วยบอลสั้นสู่กองหลังหรือเปิดบอลข้ามยาวเข้าหาปีกของทีมกันแน่ 

และในปีนั้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นทีมที่ชนะติดต่อกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ด้วยจำนวน 18 นัด และมีแต้มสูงสุดในประวัติศาสตร์คือ 100 แต้ม รวมถึงยิงประตูได้มากที่สุดตลอดกาลเช่นกันที่ 106 ประตู ซึ่งยังมีสถิติอีกมากมายของพรีเมียร์ลีกที่โดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำลายจนราบคาบในฤดูกาลนั้น

ขณะที่การเปลี่ยนแทคติกในแต่ละฤดูกาลก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป๊ปจะปรับรายละเอียดแทคติกเล็กน้อยให้เข้ากับนักเตะของทีมอยู่เสมอ ตามสไตล์การทำทีมที่พยายามดึงจุดเด่นของนักเตะมาปรับใช้ให้เข้ากับแนวทางการเล่นของทีมให้มากที่สุด 

ยกตัวอย่างในฤดูกาล 2017-18 แบ็กซ้ายของทีมที่ใช้ ฟาเบียน เดลฟ์ ซึ่งเป็นกองกลางมาก่อน ทำให้เป๊ปต้องปรับเดลฟ์มาเล่นเป็น อินเวิร์ต วิงแบ็ก หรือแบ็กที่จะหุบเข้าไปแดนกลางคอยเชื่อมเกมโดยไม่ยืนอยู่ริมเส้นและจะวิ่งขึ้นไปเติมเกมตามปกติ

แต่พอเป็นฤดูกาล 2018-19 ตำแหน่งนี้ก็เปลี่ยนไปสู่มือของ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ อดีตกองกลางตัวรุกที่เป๊ปจับมายืนแบ็กซ้าย เพื่อหวังจะใช้ทักษะในเกมรุกของผู้เล่นรายนี้สร้างประโยชน์กับเกมริมเส้นฝั่งซ้าย ด้วยการให้ซินเชนโก้เติมเกมบุกแบบไม่มีพัก แทนที่จะเข้าไปเชื่อมบอลตรงกลางเหมือนสมัยของ ฟาเบียน เดลฟ์ 

หรือมองในแง่แทคติกระหว่างตัวผู้เล่นก็ต่างออกไปเช่นกัน ยกตัวอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กับ ริยาด มาห์เรซ ในตำแหน่งปีกขวา

หากใช้งาน สเตอร์ลิ่ง เป๊ปจะให้ปีกชาวอังกฤษคอยรับส่งบอลและให้สเตอร์ลิ่งคอยหาพื้นที่เข้าไปในกรอบเขตโทษหรือสุดริมเส้นฝั่งขวา เพื่อเปิดโอกาสสร้างสรรค์การทำประตู หรือถ้าจังหวะเป็นใจสเตอร์ลิ่งจะลากไปสุดเส้นหลังแล้วเปิดบอลเข้าไปลุ้นประตูในกรอบเขตโทษ

แต่ถ้าเป็น ริยาด มาห์เรซ เป๊ปจะไม่ให้ปีกชาวแอลจีเรียเล่นเหมือนสเตอร์ลิ่ง แต่จะให้เขาเลี้ยงตัดเข้าในบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ แล้วเลือกยิงหรือจ่ายทันทีที่มีโอกาส 

การปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นของทีมตามความสามารถของนักเตะ ถือเป็นอีกหนึ่งข้อดีสำคัญของเป๊ป เพราะมันไม่ได้เปลี่ยนการเล่นของผู้เล่นในตำแหน่งนั้น ๆ แต่เปลี่ยนวิธีการเล่นไปหมดทั้งทีม

ตัวอย่างจากกรณีเดิมของ สเตอร์ลิ่ง และ มาห์เรซ … หากสเตอร์ลิ่งเล่นเป็นปีกขวา เป๊ปจะใช้สเตอร์ลิ่งเป็นตัวหลอกดึงแบ็กซ้าย หรือกองกลางที่ตามมาไล่บอลออกไปด้านข้าง เพื่อเปิดพื้นที่ตรงกลางให้กองกลางตัวกลางฝั่งขวาวิ่งสอดเข้ากรอบเขตโทษเพื่อเป็นตัวจบสกอร์

แต่ถ้าเป็น ริยาด มาห์เรซ เล่นปีกขวา กองกลางตัวกลางฝั่งขวาจะไม่วิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษ แต่จะขยับออกมารอบอลทางขวา เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งในการเดินเกมริมเส้นแทนที่มาห์เรซที่พาบอลตัดเข้าตรงกลางไป 

นี่เป็นตัวอย่างเพียงส่วนน้อยเท่านั้นกับการเปลี่ยนรายละเอียดแทคติกของ เป๊ป กวาดิโอล่า ที่เกิดขึ้นทุกปีหรือเรียกได้ว่าทุกเกมก็ว่าได้ เพราะกุนซือรายนี้เปลี่ยนผู้เล่นลงสนามให้ แมนฯ ซิตี้ จนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว 

ดังนั้นทีมคู่แข่งจึงยากที่จะจับทางวิธีการเล่นของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ เพราะพวกเขาสามารถเล่นไม่เหมือนเกมก่อนหน้านั้นได้แบบสบาย ๆ จึงทำให้ทีมเรือใบสีฟ้าสามารถเดินหน้าเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่องด้วยแทคติกที่มีความยืดหยุ่น เพื่อเป้าหมายในการเก็บ 3 คะแนนให้ได้ 

ต้องยอมรับว่าวิธีคิดของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในการทำทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีแนวทางที่ชัดเจนเป็นของตัวเอง เขาสร้างวัฒนธรรมของทีมขึ้นมาใหม่ และมันก็ได้ผลเป็นอย่างมาก เรือใบสีฟ้าลำนี้ยังคงแล่นเร็วเดินหน้าคว้าแชมป์อย่างต่อเนื่อง

ต้องมาดูว่าสุดท้าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะสามารถปิดงานคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2021-22 ได้หรือไม่ รวมถึงในปีต่อ ๆ ไป เป๊ปจะนำทีมของเขานำโด่งคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษเหมือนเดิมได้หรือเปล่า มารอติดตามกัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook