เมื่อ....ผีเน่าใต้พรมมันเริ่มส่งกลิ่น!
วันเสาร์ที่ผ่านมา ผลการแข่งขันที่สนาม “ลิเบอร์ตี้ สเตเดี้ยม” ระหว่างหงส์ขาว “สวอนซี” กับ ปิศาจแดง “แมนฯ ยูไนเต็ด” อาจจะสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับคนทั่วไปที่ไม่ได้ดูเกมของพลพรรคอสูรแดงในช่วงหลัง เพราะยอดทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์พลิกล็อกพ่าย 1-2
แต่กับบรรดาสาวกอสูรแดงทั้งหลายคงไม่ตกอกตกใจอะไรมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่แพ้ใครมา 7 เกมติด (ชนะ 5 เสมอ 2)
ซึ่งถือว่าเป็นฟอร์มของทีมลุ้นแชมป์หรือทีมใหญ่ที่มีลุ้นความสำเร็จ เพราะรูปแบบการเล่นที่ผ่านมา ต้องบ่องตงว่าขัดใจกับผลการแข่งขันและใจกองเชียร์จริงๆ
โดยเฉพาะรูปแบบการโยนยาวเพื่อลุ้นทำประตูในช่วงหลังจนบางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ผู้จัดการทีมชื่อ “แซม อัลลาร์ไดซ์” หรือ “เชราร์ อุลลิเยร์” หรือเปล่า ทั้งที่จริงตอนนี้นายใหญ่คือ “หลุยส์ ฟาน ฮัล” เด็กดื้อ คนบ้า คนที่ไม่ใช่ หรืออะไรก็ตามแต่ของคุณ “ไข่มุกดำ”
ไม่ต้องไปดูสถิติการครองบอลหรือโอกาสการยิงประตูหลังเกมที่ “แมนฯ ยูฯ” ทำได้เหนือกว่าตามแบบฉบับทีมใหญ่ที่มีองค์ประกอบต่างๆ ดีกว่า ศักยภาพเหนือกว่า เอาแค่รูปแบบ คอนเซ็ปต์การเล่นของบรรดานักเตะอสูรแดงก็ขัดใจบรรดา “โก๋หลังวัง” ทั้งหลายแล้ว
ถ้าใครสงสัย ไม่ต้องไปนั่งดูเทปย้อนหลังทั้งเกมนี้ ลองหาไฮไลต์ฉบับเต็มที่มีภาพโอกาสการยิงประตูทั้งหมดจะเข้าใจเลยว่า มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ของโอกาสยิงมาจากลูกโยนขึ้นมาจากตรงกลางบ้างหรือข้างสนามที่เรียกว่า “Diagonal ball” โยนแบบมีศิลปะจากด้านข้าง
มีเพียงแค่จังหวะเดียวที่มาจากการต่อบอลจริงๆ คือประตูขึ้นนำของทีม โดย “ลุค ชอว์” เติมเกมริมเส้นแล้วส่งบอลเข้ากลางให้ “เวย์น รูนี่ย์” ก่อนแปะคืนให้ “ดิ มาเรีย” เบิ้ลเร็วให้ “อันเดร์ เอร์เรร่า” จบสกอร์
ขณะที่จังหวะเสียประตูทั้งสองลูก ต้องบอกว่ามาจากความ “อ่อนหัด” ของแนวรับทั้งสิ้น ลูกแรกในจังหวะที่ “จอนโจ้ เชลวี่ย์” เปิดเข้ามาในกรอบเขตโทษ ทั้ง “ฟิล โจนส์” โหม่งไม่ถึง “มาร์กอส โรโฮ” เหม่อ!!! “ลุค ชอว์” หุบเข้ามาขวาง “คี ซอง ยอง” ของสวอนซีไม่ทัน เลยเป็นประตูชนิดที่ “ดาวิด เด เกอา” คงบ่นในใจว่า “เพื่อนให้ของขวัญตูอีกแล้ว”
แถม “คี ซอง ยอง” กลายเป็นนักเตะเอเชียคนแรกที่ยิง แมนฯ ยูฯ ได้ทั้งไปและกลับในฤดูกาลเดียวอีกด้วย
หรือลูกที่สองที่กองกลางตัวรับ “ดาลี่ย์ บลินด์” หรือใครก็ได้ที่ควรจะประกบ “จอนโจ้ เชลวี่ย์” ตรงหน้ากรอบเขตโทษของตัวเองควรอยู่ตรงนั้น แต่ดันไปไหนไม่รู้ ให้ “พี่จ้อน” ได้ยิงลูกหงส์จับยัดแถมแฉลบ “บาเฟติมบี้ โกมิส” อีก งานนี้ “เด เกอา” หมดสิทธิ
โอเคด้วยพื้นฐานเบสิก ความสามารถเฉพาะของนักเตะแมนฯ ยูฯ ที่เหนือกว่า อาจจะทำให้การครองบอลมากกว่า (แค่ 65% ต่อ 35%)
แต่ด้วยการเล่นบอลที่เหมือนไม่มีจินตนาการ เอาแค่เห็นช่องข้าโยนใส่ ก็ทำให้แนวรับสวอนซีไม่เหนื่อยมาก และจบเกมได้ฉลองชัยชนะแมนฯ ยูฯ ในฤดูกาลนี้ทั้งไปทั้งกลับอีกต่างหาก
จบเกมนี้ ไม่รู้ว่าคนหัวแข็งอย่าง “ฟาน ฮัล” จะสังคายนารูปแบบการเล่นของทีมใหม่หรือเปล่า เพราะที่ผ่านมา ลูกโยนยาวแบบอังกฤษโบราณ มันเริ่มส่งกลิ่น “เน่า” โชยลงมาแล้ว
ว่าไป ผลการแข่งขันที่ผ่านมาอันสวยหรูของทีมก็เหมือน “พรม” ที่ดับกลิ่นรูปแบบการเล่นที่ “เน่า” ของทีมไว้ แต่เมื่อกลิ่นมันแรงขึ้นเรื่อยๆ “พรม” ก็เอาไม่อยู่เหมือนกันครับ