เฮ้ย… ศรัณย์ ! : ชีวิตที่มากกว่าความตลกของนักเตะที่ถูกล้อเลียนจนกลายเป็นไวรัล
"เอายังไงศรัณย์ ศรัณย์เอายังไง ศรัณย์เล่นทำไม ศรัณย์เล่นทำไมตรงนั้นล่ะเฮ้ย เฮ้ยศรัณย์! มึงเล่นอะไร โอ้โห่"
เสียงตะโกนจากนักพากย์บอลที่หลายคนคงจะเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้างแล้วจากคลิปที่กำลังเป็นไวรัลอยู่ในช่วงนี้ ซึ่งบางคนอาจจะสงสัยกันว่า "ศรัณย์" เป็นใคร ทำไมถึงโดนต่อว่าได้ถึงขนาดนี้
ชื่อของ "บอล" ศรัณย์ ศรีเดช ดาวเตะจาก พิษณุโลก เอฟซี อาจไม่คุ้นหูแฟนบอลส่วนใหญ่เท่าไหร่นัก เพราะเขาไม่เคยติดทีมชาติไทยหรือลงเล่นในลีกสูงสุดเลยสักครั้ง ทว่าคลิปดังกล่าวซึ่งเป็นจังหวะที่เจ้าตัวเล่นผิดพลาดจนเกือบทำให้ทีมเสียประตู ได้ทำให้ชื่อเสียงเรียงนามของเขาโด่งดังขึ้นมาเพียงชั่วข้ามคืน จนกลายเป็นเรื่องตลกขบขันของผู้ที่ได้ดู
อย่างไรก็ตามเบื้องหลังความตลกดังกล่าว น้อยคนจะรู้ว่าเขาคือหนึ่งในนักฟุตบอลอาชีพที่ผ่านร้อนผ่านหนาวบนสังเวียนลูกหนังมานานกว่า 17 ปี มีส่วนช่วยในการพาทีมเลื่อนชั้นถึง 3 สโมสร และที่สำคัญแม้จะต้องพเนจรย้ายมาแล้วร่วม 10 ทีม พร้อมเผชิญมรสุมชีวิตมากมาย แต่เจ้าตัวยืนยันว่าตลอดระยะเวลาที่ค้าแข้งนั้นมีแต่ความสุขมาโดยตลอด
ชีวิตนักฟุตบอลที่มากกว่าความตลกของนักเตะที่ถูกล้อเลียนจนกลายเป็นไวรัลรายนี้เป็นอย่างไร ติดตามได้ที่ Main Stand
แรงบันดาลใจจาก "เดอะ วินเนอร์"
หากใครได้ดูคลิปเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วอาจจะมองว่าศรัณย์ที่เล่นผิดพลาดจนกลายเป็นตัวตลกในสายตาแฟนบอลนั้นมีฝีเท้าที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าถ้าหากย้อนกลับในช่วงพีค ๆ เขาถือเป็นนักเตะที่มีฝีเท้าดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
หนุ่มจากอำเภอเมือง จังหวัดลำพูน เติบโตขึ้นมาในยุคที่ฟุตบอลลีกอาชีพเมืองไทยกำลังเริ่มตั้งไข่ ยังไม่มีการรวมลีกกันระหว่างไทยลีกกับโปรวินเชียลลีกเลยด้วยซ้ำ ทำให้เขาไม่ได้คาดฝันถึงการเป็นนักฟุตบอลที่โด่งดังและประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่นัก
ศรัณย์มีเพียงความชื่นชอบในการเตะฟุตบอลกับเพื่อน ๆ และมีฝีเท้าที่โดดเด่นจนได้เป็นนักฟุตบอลของโรงเรียนจักรคำคณาทร เดินทางไปแข่งขันรายการต่าง ๆ ในภาคเหนือ ก่อนจะลองท้าทายความฝันครั้งแรกก่อนเรียนจบมัธยมปลาย ด้วยการไปสมัครคัดเลือกร่วมเข้าแข่งขันในรายการ "เดอะ วินเนอร์" ซึ่งเป็นรายการเรียลลิตี้ที่คนฟุตบอลรู้จักกันดี ที่ออกอากาศทางช่อง 3 เมื่อปี พ.ศ.2548
รายการนี้เป็นการเปิดคัดนักฟุตบอลรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี จากทั่วประเทศ จำนวน 18 คน เพื่อเฟ้นเข้าติดทีมนักเรียนไทยไปร่วมแข่งขันในรายการฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์เอเชีย โดยมีหลายรายที่ก้าวขึ้นมาเป็นนักฟุตบอลดังในเวลาต่อมา อาทิ อนาวิน จูจีน, สุทธินันท์ พุกหอม, ชัยณรงค์ ทาทอง, แซมมวล ป. คันนิ่งแฮม, เกรียงไกร พิมพ์รัตน์ ฯลฯ
ศรัณย์เป็นหนึ่งในนักเรียนนับพันคนจากทั่วประเทศที่เข้าร่วมคัดเลือกด้วยเช่นกัน และสามารถฝ่าฟันไปได้ไกลจนถึงรอบ 30 คนสุดท้าย ซึ่งแม้จะไม่ถึงฝั่งฝัน แต่นั่นก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นสู่เส้นทางฟุตบอลอาชีพของเจ้าตัวหลังจากนั้น
"การเข้าแข่งขันในรายการเดอะ วินเนอร์ ทำให้ผมได้ไปเจอเด็กรุ่นเดียวกันที่มีฝีเท้าเก่ง ๆ มากมาย มันทำให้ผมมีแรงบันดาลใจอยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพมากขึ้น พอจบ ม.6 ก็ได้ย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ในโควตานักฟุตบอล"
"ตอนนั้นฟุตบอลไทยมีการรวมลีกพอดีทาง เชียงใหม่ เอฟซี ที่แข่งขันในลีกภูมิภาคโซนภาคเหนือก็กำลังคัดนักฟุตบอลในจังหวัด ผมจึงมีโอกาสได้ไปทดสอบฝีเท้าแล้วได้ร่วมทีมลงแข่งฟุตบอลอาชีพครั้งแรก" ศรัณย์ เล่าย้อนความ
Photo : ศรัณย์ ศรีเดช | เชียงใหม่ เอฟซี
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ศรัณย์ที่แม้จะยังเป็นเพียงนักศีกษามหาวิทยาลัยได้รับการเซ็นสัญญาร่วมทีมมาจากการที่เขาสามารถเล่นได้หลากหลายตำแหน่ง โดยมีความคุ้นชินมาจากการเล่นฟุตบอลเดินสายที่แมตช์ไหนตำแหน่งใดขาดก็จะต้องขยับไปช่วยซัปพอร์ต
ศรัณย์ผ่านการทดสอบเข้าร่วมทีมเชียงใหม่ในตำแหน่งกองหลัง ก่อนที่ช่วงฝึกซ้อมและอุ่นเครื่องปรีซีซั่นจะถูกโค้ชจับไปทดลองยืนในตำแหน่งที่ทีมขาด ทำให้เขาค่อย ๆ ขยับสูงขึ้นมาเรื่อย ๆ จากกองหลังสู่กองกลางตัวรับ สู่ตัวรุก และเป็นศูนย์หน้าในที่สุด
และเพียงปีแรกกับเชียงใหม่ เอฟซี ศรัณย์ก็สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งเจ้าตัวถึงกับบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในอาชีพนักฟุตบอลของตัวเองเลยทีเดียว
ดาวเด่นลีกล่าง
ภายใต้สีเสื้อเชียงใหม่ เอฟซี แม้จะเป็นการลงเล่นฟุตบอลลีกอาชีพครั้งแรก แต่ศรัณย์ก็สามารถโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นในตำแหน่งศูนย์หน้า
ด้วยพลังหนุ่มที่มีทั้งความเร็ว ความแข็งแกร่ง และส่วนสูงถึง 185 ซม. หนำซ้ำยังมีการจบสกอร์และเข้าฮอสในเขตโทษได้ดี ทำให้เขายิงได้ถึง 24 ประตูรั้งดาวซัลโวของทีม พาสโมสรคว้าแชมป์โซนภาคเหนือ ฤดูกาล 2553 พร้อมเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ได้สำเร็จ
Photo : ศรัณย์ ศรีเดช | เชียงใหม่ เอฟซี
ขณะที่ปีต่อมาแม้ทีมจะไม่สามารถรักษาพื้นที่ในลีกรองได้จนต้องตกชั้นกลับมาสู่ลีกภูมิภาคอีกครั้ง แต่ศรัณย์ก็สามารถระเบิดสกอร์รวมทุกรายการได้ถึง 11 ประตู จนทำให้ชื่อของเขาได้รับความสนใจจากหลายสโมสร ก่อนจะถูก ระยอง เอฟซี ดึงตัวไปร่วมทีมในซีซั่นถัดมา พร้อมโชว์ฟอร์มดีต่อเนื่องยิงได้ 15 ประตู พาทีมเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ได้อีกสโมสร
หลังจากพาระยองเลื่อนชั้น ฤดูกาลต่อมาในเลกสองศรัณย์ได้ย้ายไปเล่นให้กับ ลำปาง เอฟซี ในลีกภูมิภาคอีกครั้ง แม้เจ้าตัวจะได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถช่วยทีมได้ทั้งซีซั่นในปีถัดมา แต่พอกลับมาฟิตสมบูรณ์ก็กลับมาอยู่ในฟอร์มที่ดีอีกครั้ง ยิงไป 12 ประตู พา "รถม้ามรกต" เลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ได้อีกทีม
"ช่วงนั้นถือเป็นช่วงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในชีวิตการเป็นนักฟุตบอลของผมแล้ว จากนั้นมันก็ค่อย ๆ ดรอปลงมาเรื่อย ๆ" ศรัณย์ ดาวเตะวัย 35 ปี เผยด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์
Photo : KIPHOTO Studio
นับตั้งแต่วันนั้นศรัณย์ก็ไม่เคยได้กลับไปเหยียบในจุดที่เรียกว่าความสำเร็จอีกเลย แม้กราฟชีวิตจะไม่พุ่งสูงขึ้นแต่ด้วยฝีเท้าของเขาบวกกับการที่สามารถเล่นได้หลากหลายตำแหน่ง ทำให้เจ้าตัวยังมีความเนื้อหอมสำหรับลีกระดับล่าง มีหลายสโมสรพร้อมอ้าแขนรับเขาไปร่วมทีม
เขาพเนจรย้ายต้นสังกัดต่ออีกถึง 7 สโมสร ไล่ตั้งแต่ อยุธยา วอริเออร์, แพร่ ยูไนเต็ด, จัมปาศรี ยูไนเต็ด, ลำพูน วอริเออร์, เจแอล เชียงใหม่ ยูไนเต็ด, อุบล ครัวนภัส จนมาถึง พิษณุโลก เอฟซี ในปัจจุบัน ซึ่งแทบทั้งหมดเป็นทีมในลีกระดับภูมิภาคและไทยลีก 3 โดยมีเพียง เจแอล เชียงใหม่ ทีมเดียวที่อยู่ในระดับไทยลีก 2
"เวลาจะย้ายทีมแต่ละครั้งผมจะปรึกษากับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่รู้จักก่อนว่าสโมสรนั้นเป็นยังไง เพราะผมอยากจะย้ายไปสโมสรที่ผมเล่นแล้วมีความสุข ก็เลยอาจไม่ได้อยู่ในทีมใหญ่ ๆ แต่ผมจะเลือกทีมที่ผมไปทำงานแล้วมีความสุข เป็นที่ที่ผมไปแล้วสามารถดึงศักยภาพของผมออกมาได้มากที่สุด ผมโชคดีที่ผมได้ไปอยู่สโมสรที่ผมเล่นฟุตบอลแล้วมีความสุขทุกทีม" ศรัณย์ กล่าวอย่างมีความสุข
Photo : ศรัณย์ ศรีเดช | เจแอล เชียงใหม่ ยูไนเต็ด
ชีวิตนักเตะของ "บอล" ดำเนินต่อไปตามวิถี เขาเปรียบเสมือนมือปืนรับจ้างที่ย้ายไปช่วยทีมนู้นทีทีมนี้ที พอเสร็จสิ้นภารกิจเมื่อจบฤดูกาล เมื่อหมดสัญญาก็ต้องมองหาทีมใหม่ และเมื่ออายุเริ่มมากขึ้น ทีมที่ให้ความสนใจในตัวเขาก็เริ่มลดน้อยลงเรื่อย ๆ จนเขาเริ่มมีความคิดที่จะรีไทร์แขวนสตั๊ดอำลาวงการ
ก่อนจะได้รับการทาบทามจาก พิษณุโลก เอฟซี ดึงตัวมาร่วมทีมในเลกสอง ของฤดูกาล 2020 เพื่อความหวังในการลุ้นเลื่อนชั้น ซึ่งที่สโมสรแห่งนี้นอกจากจะช่วยชุบชีวิตนักเตะของเขาให้กลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้งแล้ว ยังมีเหตุการณ์ที่ทำให้ชื่อของเขาได้กลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้ง และบางทีอาจจะดังกว่าตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ค้าแข้งมาเลยด้วยซ้ำ นั่นคือคลิป "เฮ้ย ศรัณย์" ที่ได้กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์
เฮ้ย ศรัณย์!
หลังจากเป็นนักเตะจอมพเนจรผ่านการลงเล่นมาแล้วเกือบ 10 ทีม ศรัณย์ตัดสินใจย้ายมาร่วมทัพ พิษณุโลก เอฟซี ทีมยักษ์ใหญ่ในศึกไทยลีก 3 โซนภาคเหนือ ที่กำลังมีลุ้นเลื่อนชั้น
Photo : Phitsanulok Football Club
ภายใต้สีเสื้อ "ขุนพลนเรศวร" ศรัณย์ไม่ได้เป็นกองหน้าตัวหลักของทีม หลายครั้งที่เขาต้องออกสตาร์ทจากซุ้มม้านั่งสำรองในตำแหน่งที่แตกต่างกันตามสถานการณ์ในเกม แต่ด้วยประสบการณ์ที่โชกโชนทำให้เขาช่วยประคองและคอยซัปพอร์ตรุ่นน้องในทีมได้เป็นอย่างดี
กระทั่งเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา แม้จะถูกถอยมาเล่นกองกลาง แต่ศรัณย์ก็ยังทำไปได้ 4 ประตู ช่วยให้ พิษณุโลก เอฟซี รั้งอันดับ 3 ของตาราง ก่อนจะเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้ลีกถูกตัดจบกลางคัน และ "ขุนพลนเรศวร" ต้องไปเพลย์ออฟกับ แม่โจ้ ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 2 ที่มีคะแนนมากกว่า 1 แต้ม แต่แข่งมากกว่า 1 นัด เพื่อหาทีมผ่านเข้าสู่รอบแชมเปี้ยนส์ลีกไปลุ้นเลื่อนชั้นกับโซนอื่น
เกมระหว่าง พิษณุโลก ปะทะ แม่โจ้ กลายเป็นที่จับตาของแฟนบอลตั้งแต่เสียงนกหวีดยังไม่ดัง เนื่องจากก่อนจะได้ข้อยุติให้ทั้งคู่มาเพลย์ออฟกันนั้นได้มีการตัดสินหาทีมเข้ารอบที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนเกือบจะกลายเป็นดราม่า และทำให้บรรยากาศเป็นไปอย่างตึงเครียดจากทุกฝ่าย
"เกมรอบเพลย์ออฟวันนั้นมันเหมือนนัดชิงฯ เลย เพราะแข่งสนามกลางนัดเดียวรู้ผล ใครชนะจะได้ผ่านเข้ารอบแชมเปี้ยนส์ลีก" ศรัณย์ เผยความรู้สึก
รูปเกมในสนามเป็นไปอย่างสูสี ทั้งสองทีมไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ พิษณุโลกชิงความได้เปรียบจากการขึ้นนำก่อนจบครึ่งแรกในนาที 44 จาก โกกิ นาริตะ แนวรุกชาวญี่ปุ่น แต่ครึ่งหลังในนาที 80 แม่โจ้สามารถตามตีเสมอได้จาก วิชญะ พรประสาท กองหน้าตัวเก่ง ทว่าอีก 7 นาทีต่อมา ฉัตรชัย นาควิจิตร เจ้าพ่อลูกนิ่งประจำทีมก็ซัดฟรีคิกช่วยให้ "ขุนพลนเรศวร" ขึ้นนำอีกครั้ง 2-1
ชัยชนะกำลังจะตกอยู่ในมือของพิษณุโลก ขอเพียงรักษาสกอร์นี้ให้ได้ในช่วง 3 นาทีที่เหลือของเกมกับอีก 3 นาทีในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
แน่นอนว่าแม่โจ้ที่กำลังเพลี่ยงพล้ำได้โหมบุกหนักเพื่อหวังตีเสมอ พวกเขาอาศัยการบอมโด่งเข้าเขตโทษเป็นหลักแต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้ จนกระทั่งอีกเพียงไม่ถึง 2 นาทีก่อนหมดเวลา จากลูกครอสด้านข้างกองหลังพิษณุโลกโหม่งเคลียร์ออกมานอกกรอบเข้าทางศรัณย์ตัวสำรองที่ถูกส่งลงมาช่วยประคองทีมตั้งแต่นาที 66 และเหตุการณ์ที่กลายเป็นที่จดจำก็เกิดขึ้น
ศรัณย์ที่ได้บอลเก็บตกหน้าเขตโทษของตัวเองพยายามที่จะล็อกบอลหนีคู่แข่งแต่ถูกแย่งไปได้แล้วโดนสวนกลับด้วยลูกยิงไกลทันที แต่ยังนับเป็นโชคดีของเขาที่ลูกดังกล่าวหลุดกรอบออกไป ไม่อย่างงั้นทีมอาจต้องไปเหนื่อยลุ้นต่อในการดวลจุดโทษ
"เอายังไงศรัณย์ ศรัณย์เอายังไง ศรัณย์เล่นทำไม ศรัณย์เล่นทำไมตรงนั้นล่ะเฮ้ย เฮ้ยศรัณย์! มึงเล่นอะไร โอ้โห่" เสียงพากย์จากทีมงานของสโมสรพิษณุโลกเองที่บรรยายให้แฟนบอลที่ได้รับชมทางโลกออนไลน์ตะโกนออกมาด้วยอารมณ์เดือดบ่งบอกถึงความสำคัญของจังหวะนั้นได้อย่างดี
แม้ท้ายที่สุดแล้วชัยชนะจะเป็นของพิษณุโลก แต่หลังจบเกมจังหวะดังกล่าวได้ถูกตัดออกมาเป็นคลิปสั้น ๆ เผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียจนกลายเป็นไวรัล มียอดผู้ชมนับแสนคน หลายคนตลกขบขันในความผิดพลาดและเสียงบรรยายที่ได้ยิน จนทำให้ศรัณย์กลายเป็นตัวตลกในสายแต่แฟนบอลจำนวนหนึ่ง
เขาเล่นฟุตบอลมา 17 ปี ยังไม่เคยถูกพูดถึงมากเท่านี้มาก่อนเลย…
"ผมเก็บบอลจังหวะสองได้หน้ากรอบเขตโทษแล้วโดนรุมแย่งบอลไป บอกตรง ๆ ผมก็ล่ก ตอนได้บอลผมก็อยากจะเคลียร์อยากจะทำอะไรหลาย ๆ อย่าง ผมก็ไม่อยากจะพลาด แต่พอดีมันพลาดแล้วประจวบเหมาะกับที่คนพากย์เขาพากย์ไปแบบนั้นมันก็เลยกลายเป็นไวรัล"
"ผมก็เข้าใจอินเนอร์ของทุกคนแหละ ทั้งเพื่อนร่วมทีม แฟนบอล สตาฟโค้ช ถ้าพลาดก็มีโอกาสเสียประตูเยอะ ซึ่งผมเสียบอลจังหวะนั้นทำให้คู่แข่งได้ยิงด้วย แต่ดีที่ไม่เข้า" ศรัณย์ เปิดใจ
แน่นอนว่านอกจากจะมีแฟนบอลที่ตลกขบขันแล้ว ยังมีกองเชียร์อีกฝ่ายที่รู้สึกเห็นใจและมองว่าเป็นการพากย์ที่ใส่อารมณ์จนเกินไป ที่สำคัญยังเป็นนักพากย์ประจำสโมสรจึงเหมือนเป็นการด่าทอนักฟุตบอลของทีมตัวเองอีกด้วย ซึ่งศรัณย์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนเข้าใจในจุดนี้ดี ตัวเขามีวุฒิภาวะมากพอที่จะไม่เก็บมาคิดและไม่ติดใจอะไร
"ผมเข้าไปดูคลิปก็รู้สึกว่ามันเป็นสีสันของฟุตบอล ซึ่งเราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ มันไม่มีใครหรอกที่จะดีเลิศเลอร้อยเปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ว่าเขาจะด่าหรือไม่ด่าเราแค่นั้นเอง ผมเข้าใจว่ามันคือฟุตบอล อารมณ์มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ผมไม่เก็บมาคิดหรือเอามาบั่นทอนจิตใจเลย ผมคิดแค่ว่า ณ ตอนนั้นผมทำได้ดีที่สุดแล้ว และบทสรุปสุดท้ายทีมก็ชนะได้ผ่านเข้ารอบ"
"กับตัวคนพากย์เองผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร มันคงเป็นสไตล์ของเขา เป็นอินเนอร์ ถามว่าด่าไหมก็ไม่ถึงกับด่า ถามว่าหยอกไหมก็ไม่เชิงหยอก มันผสมกันไป อยู่ที่คนมอง บางคนอาจมองว่าเกินไป แต่ผมมองว่ามันเป็นอินเนอร์ ผมพอเข้าใจได้ ถ้าเป็นผมไปอยู่ตรงนั้นผมก็อาจจะพูดแบบนี้ก็ได้ เหมือนเราดูบอลต่างประเทศแล้วขัดใจ อาจไม่ได้มองในมุมนักบอลเท่าไหร่"
"หลังจากนั้นเพื่อนร่วมทีมก็แซวกัน แต่โค้ชก็ไม่ได้ว่าอะไร ยังเป็นห่วงผมด้วย เข้ามาสอบถามว่าเป็นยังไงบ้าง กลัวจะส่งผลกระทบต่อผม พอเราไม่ได้คิดอะไรก็ทำให้ตัวเองสบายใจทำให้คนรอบข้างสบายใจด้วย กลายเป็นเรื่องตลกเฮฮากันไป ทุกวันนี้ไปไหนก็จะมีคนแซวรู้จักไหมคนดังในติ๊กต็อกน่ะ หรือไปสนามไหนเด็กเก็บบอลก็จะถามว่าใช่พี่ไหม (หัวเราะ)" ศรัณย์ กล่าวอย่างอารมณ์ดี
การตกเป็นกระแสสังคมเช่นนี้ ไม่ต่างจากการโดนลากตัวมาแขวนให้หลายคนได้ล้อเลียน ซึ่งหากใครไม่แข็งแกร่งพอก็อาจส่งผลกระทบด้านจิตใจจนเสียผู้เสียคนไปเลยก็เป็นได้ แต่ศรัณย์ก็สามารถผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย ยิ่งหากเทียบกับเรื่องเลวร้ายที่เจ้าตัวต้องเผชิญมาตลอดระยะเวลาที่ค้าแข้งก่อนหน้านี้แล้ว เรื่องนี้ถือว่าจิ๊บ ๆ ไปเลย
ฟุตบอลมันโหดร้าย
ตลอดระยะเวลากว่า 17 ปีบนสังเวียนลูกหนัง พเนจรย้ายมาแล้วร่วม 10 ทีม ศรัณย์จึงนับเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีชีวิตนักฟุตบอลอันโชกโชนไม่น้อย
เขาอาจไม่โด่งดังเท่า อนาวิน จูจีน หรือเพื่อน ๆ จากรายการเดอะ วินเนอร์ ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่เขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาสามารถอยู่กับฟุตบอลที่ตัวเองรักได้จนถึงวันนี้ ในขณะที่ใครหลายคนที่เติบโตขึ้นมาในยุคที่ฟุตบอลลีกอาชีพยังไม่เฟื่องฟูต่างละทิ้งความฝันก่อนวัยอันควรกันไปแล้วหลายต่อหลายราย
Photo : Phitsanulok Football Club
ตลอดระยะเวลาที่โลดแล่นในลีกล่าง โดยเฉพาะลีกระดับ 3 ที่ยังมีมาตรฐานห่างไกลกับลีกสูงสุดอยู่มากทั้งเรื่องการเงิน การจัดการ และการบริหารทีม ทำให้ศรัณย์ต้องผ่านมรสุมมาแล้วมากมายทั้งการโดนยกเลิกสัญญากลางคัน การโดนลดค่าจ้าง ค้างเงินเดือน ตลอดจนเซ็นสัญญาร่วมทีมแล้วแต่สโมสรโดนตัดสิทธิ์ก่อนแข่งจนต้องกลายเป็นนักเตะไร้สังกัดก็ยังมี (จัมปาศรี ยูไนเต็ด ไม่ผ่านคลับไลเซนซิ่ง)
แต่เขาก็ผ่านมันมาได้ด้วยพลังบวกที่อยู่ในตัว
"ที่เขาพูดกันว่าฟุตบอลมันโหดร้ายเนี่ยไม่ได้พูดกันเล่น ๆ นะ แต่มันโหดจริง จู่ ๆ วันนี้คุณมีความสุขดีแต่พรุ่งนี้อาจจะผิดหวังกับมันโดยไม่ทันตั้งตัวเลยก็เป็นได้ ยิ่งเฉพาะในลีกระดับล่างที่ไม่เหมือนกับในไทยลีกหรือทีมชาติที่ใครก็มองว่าสบาย นักบอลระดับรากหญ้าอย่างเราต้องเจออะไรหลายอย่าง อยู่ที่ว่าคุณจะปรับตัวและรับมืออย่างไร"
"คุณพร้อมที่จะรับในสิ่งที่คุณเจอได้ไหม ถ้าคุณรักมันจริง ๆ ชอบมันจริง ๆ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ต้องมีหนทางที่จะอยู่กับมันให้ได้ หัวใจคุณแกร่งพอไหมที่จะมาเจอกับอะไรที่คุณไม่เคยเจอ นักบอลบางคนถ้ามาอยู่แบบเดียวกับผม เขาอาจอยู่ได้แต่ก็ไม่แฮปปี้หรอก"
"ผมดีใจที่ผ่านมาได้ ดีใจที่อยู่ในเส้นทางนี้ ผมมีกัลยาณมิตรที่ดี มีเพื่อนร่วมทีม สตาฟโค้ช เจ้าหน้าที่ทีม รวมถึงทุกคนรอบตัวที่คอยช่วยเหลือและให้คำปรึกษา มันเลยช่วยเพิ่มทัศนคติการเป็นนักฟุตบอลของผมได้เยอะ ทำให้ผมคิดบวกตลอดเวลา มันทำให้ผมมีความสุขตลอดระยะเวลาที่อยู่ในเส้นทางนี้ แม้กระทั่งตอนที่ผมไม่มีทีมเล่น แต่ก็ยังมีคนคอยซัปพอร์ตและให้กำลังใจ"
"ผมไม่รู้ว่าการประสบความสำเร็จของแต่ละคนคือระดับไหน แต่สำหรับผม ผมคิดว่าผมไม่ได้ประสบความสำเร็จกับอาชีพนักฟุตบอลเลย ผมแค่คิดว่าผมโชคดีที่สามารถอยู่ในเส้นทางนี้ได้จนถึงวันนี้ ผมมีรายได้เลี้ยงตัวเองรอด ผมมีชีวิตได้อยู่ทุกวันนี้โดยที่ไม่เป็นภาระของครอบครัวหรือคนอื่น ถึงจะไม่ได้ติดทีมชาติ มีบ้านหลังใหญ่ มีรถแพง ๆ เหมือนคนอื่นก็ตาม มันก็โอเคสำหรับผมแล้ว ถึงมันจะไม่ภูมิใจเท่าไหร่ แต่ผมก็ได้เล่นฟุตบอลด้วยความสุขมาตลอดจนถึงวันนี้" ศรัณย์ ทิ้งท้าย
Photo : Phitsanulok Football Club
อย่างที่ศรัณย์ได้บอก ความสำเร็จของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน สิ่งสำคัญยิ่งกว่าก็คือคุณจะทำอย่างไรให้ตัวเองสามารถอยู่กับสิ่งที่รักและมีความสุขกับมันได้ ถึงวันนี้เขาได้ต่อสู้บนวิถีฟุตบอลในรูปแบบของตัวเองมาอย่างเต็มที่แล้ว และนี่คือชีวิตของนักฟุตบอลคนหนึ่งที่ชื่อ ศรัณย์ ศรีเดช