ขีดจำกัดหงส์แดง
ไม่มีปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูลอีกครั้งสำหรับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล
อตาเติร์ก โอลิมปิก สเตเดี้ยม - สนามอันได้ชื่อจากมุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก “บิดา” แห่งชาวตุรกี ในฐานะผู้รวบรวมประเทศเป็นปึกแผ่นในยุคสมัยใหม่ - เคยเป็นสนามในความทรงจำที่หอมหวานสำหรับเหล่าเดอะค็อปทุกผู้ทุกเหล่า
ไม่ว่าจะเป็นร้านเหล้า หัวมุมถนน ที่นั่งบนอัฒจันทน์ เรื่องราวการเดินทางของเหล่าแฟนบอล หรืออะไรก็ตามที่เชื่อมโยงกับแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 2005
ทุกอย่างล้วนยังงดงามเสมอ
อย่างไรก็ดี ในการหวนกลับมาอีกครั้งในเกือบ 10 ปีให้หลัง มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป
รายการที่พวกเขาลงเล่นเป็นเพียงยูโรป้า ลีก ถ้วยใบรองของยุโรป และทีมชุดปัจจุบันนั้นแตกต่างจากทีมชุดที่ราฟาเอล เบนิเตซ เคยนำทีมมาสร้างประวัติศาสตร์ที่นี่
นักฟุตบอลในชุดนั้นแทบไม่หลงเหลือ มีเพียงสตีเว่น เจอร์ราร์ด ยอดกัปตันผู้มีความสุขที่สุดในค่ำคืนแห่งความมหัศจรรย์คนเดียวที่ยังอยู่กับทีม แต่วันนี้เขาบาดเจ็บลงสนามไม่ได้ และไม่ได้ร่วมเดินทางมาพร้อมกับทีมด้วย
เหนืออื่นใดคู่แข่งของพวกเขาในวันนี้คือเบซิคตัส ผู้เป็นเจ้าบ้าน ไม่ใช่เอซี มิลาน ทีมเป็นกลางเหมือนครั้งก่อน
ดังนั้นวันนี้อตาเติร์ก ไม่ใช่มิตรสำหรับเดอะ ค็อป
เบซิคตัส ซึ่งความจริงไม่ได้เป็นเจ้าของสนามที่แท้จริง เพียงแค่ยืมใช้สนามแห่งนี้เป็นการชั่วคราวระหว่างรอให้สนามใหม่โวดาโฟน อารีน่า เสร็จสิ้นเรียบร้อย เป็นรองในเรื่องของผลประตูรวมจากจุดโทษอลหม่านของมาริโอ บาโลเตลลี่ ในเกมที่แอนฟิลด์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เป้าหมายนั้นชัดเจน ไม่เสียประตูก่อน และต้องทำประตูคืนให้ได้โดยเร็วที่สุด
เกมนี้สลาเวน บิลิช ขาด 2 นักเตะอย่างเออร์ซาน กูลุม และรามอน ม็อตต้า ที่ติดโทษแบน แต่ความเสียหายไม่เท่ากับลิเวอร์พูล ที่เริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับสภาพร่างกายอย่างเห็นได้ชัด โดยในเกมนี้เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ต้องยอมทิ้งจอร์แดน เฮนเดอร์สัน, มามาดู ซาโก้ ที่บาดเจ็บเล็กน้อยเอาไว้เบื้องหลัง
เช่นกันกับ คูตินโญ่ ที่กรำศึกหนักมาต่อเนื่องเพื่อให้พร้อมสำหรับเกมกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้
การตัดสินใจดร็อป “นักมายากล” ชาวบราซิล เป็นการเดิมพันที่สูง เพราะด้วยฟอร์มที่กำลังร้อนแรง ซึ่งแม้จะไม่ได้เล่นดีทุกนัด หรือเล่นดีตลอดทั้งเกม แต่การเล่นไม่กี่จังหวะของคูตินโญ่ สามารถสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้
เป็นเวทมนตร์ที่หายไปหลังการจากลาของหลุยส์ ซัวเรซ และคูตินโญ่ เพิ่งจะเรียกมันกลับมาเมื่อไม่นานนี้
ร็อดเจอร์ส ขอเสี่ยงอีกครั้งให้โอกาสมาริโอ บาโลเตลลี่ ลงสนามเป็นตัวจริงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน กับแนวรุก 3 ประสาน SBS สเตอร์ริดจ์-บาโลเตลลี่-สเตอร์ลิ่ง
เช่นกันกับการขยับเอ็มเร่ ชาน ขึ้นมาอุดรูรั่วของจอร์แดน เฮนเดอร์สัน แล้วปล่อยหน้าที่ในเกมรับให้เป็นของเดยัน ลอฟเรน และโคโล ตูเร่ ที่ได้โอกาสลงเล่นให้ลิเวอร์พูลอีกครั้งหลังห่างหายไปตั้งแต่ปลายปีก่อน
แผนของร็อดเจอร์สนั้นชัดเจน รับอย่างรัดกุม และสวนกลับอย่างเฉียบคม
กลหมากนี้เกือบเล่นงานของทีมของสลาเวน บิลิช ยอดโค้ชรุ่นใหม่อีกคนของวงการฟุตบอลยุโรปได้ในช่วงครึ่งเวลาแรก ซึ่งเบซิคตัส ไม่เพียงแต่หละหลวมในเกมแดนกลาง ยังไม่แม่นยำในเกมรุกอีกด้วย
เพียงแต่ไม่ว่าโอกาสกี่ครั้ง ลิเวอร์พูลใช้จ่ายมันอย่างสิ้นเปลืองทั้งหมด
โดยเฉพาะสเตอร์ริดจ์ และบาโลเตลลี่ ที่ลงเล่นคู่กันแต่ไม่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจกัน หรือพูดให้ตรงกว่านั้นคือบางทีทั้งสองอาจจะไม่อยากลงเล่นด้วยกันก็เป็นได้ในยามนี้ หลังดูมีผิดใจกันจากเกมนัดแรกที่แอนฟิลด์
จังหวะจะโคนจึงไม่ลื่นไหล และยิ่งปราศจากคูตินโญ่ จึงไม่มีใครสอดประสานหรือเสกอะไรขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้
การละทิ้งโอกาสในครึ่งแรกเป็นเรื่องที่ร็อดเจอร์สเองกลับมาติงลูกทีมหลังจบเกม เพราะนับจากเสียงนกหวีดในครึ่งหลังดังขึ้น ลิเวอร์พูล ตกอยู่ในสภาพลูกไล่อย่างชัดเจน เมื่อเบซิคตัส “ปรับ” มาใหม่ทั้งแผน จังหวะการเล่น และทัศนคติ
ขุนพลขาว-ดำ ลงเล่นด้วยความเร่าร้อน และแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการเป็นผู้ชนะในเกมนี้
สิ่งที่ลิเวอร์พูลพลาดคือการที่ประมาท ลงไปตั้งรับลึกโดยที่ไม่พยายามมากพอที่จะจู่โจมกลับเหมือนในครึ่งแรก ทำให้โดนทุบและนวดอยู่ข้างเดียว
สุดท้ายก็เสียทีให้กับโตลกาย อัสลาน ซึ่งทำประตูได้อย่างสวยงาม โดยที่ก่อนหน้าไม่กี่อึดใจก็เพิ่งจะยิงไกลขู่ไปแล้วรอบหนึ่ง
เมื่อสถานการณ์กลับมาเท่าเทียม ทีมจำเป็นต้องเร่ง แต่ด้วยแข้งขาที่อ่อนแรง ดีที่สุดก็เพียงแค่ประคับประคองตัวเองให้อยู่ครบจบเกมเท่านั้น เรียกได้ว่าลิเวอร์พูล ได้พยายามจนถึงขีดจำกัดที่พวกเขาแล้วจริงๆ ไม่สามารถทำให้ดีกว่านี้ได้
ส่วนเมื่อถึงการดวลจุดโทษนั้นเป็นเรื่องของโชคชะตา
และวันนี้เทพีไม่ได้หันมายิ้มให้ทีมสีแดงเหมือนครั้งก่อน - ก็เท่านั้น
ลูกแม่กิ่ง