หลบจนแขนหลุด : อาลี vs ลิสตัน 1964 ... ไฟต์พลิกประวัติศาสตร์รุ่นเฮฟวี่เวต

หลบจนแขนหลุด : อาลี vs ลิสตัน 1964 ... ไฟต์พลิกประวัติศาสตร์รุ่นเฮฟวี่เวต

หลบจนแขนหลุด : อาลี vs ลิสตัน 1964 ... ไฟต์พลิกประวัติศาสตร์รุ่นเฮฟวี่เวต
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

25 กุมภาพันธ์ 1964 คือวันสำคัญของวงการมวยโลก มันคือวันที่ แคสเซียส เคลย์ ได้กลายเป็นแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวตสมัยแรก จากการเอาชนะนักชกปีศาจอย่าง ซอนนี่ ลิสตัน

หลังจากจบไฟต์นั้น เคลย์ กลายเป็น มูฮัมหมัด อาลี ก่อนสร้างตำนานมากมายในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้มาก่อน

และประวัติศาสตร์ทั้งหมดถูกเริ่มเขียนในไฟต์นี้ เมื่อ อาลี ในวัย 22 ปี ประกาศตัวให้โลกรู้ว่า "จงอย่าตกใจหากต่อจากนี้เขาจะกลายเป็นราชาของโลก"

นี่คือเรื่องราวในค่ำคืนพลิกล็อกและสร้างจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

ติดตามได้ที่ Main Stand

ไอ้หนุ่มนวมทอง กับ นักชกที่ดีที่สุดในโลก 

ก่อนไฟต์ประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงวงการมวยโลกรุ่นเฮฟวี่เวตไปตลอดกาลจะเกิดขึ้น คงต้องย้อนกลับไปไกลตั้งแต่สมัย มูฮัมหมัด อาลี ยังคงใช้ชื่อว่า แคสเซียส เคลย์ ชื่อแรกและชื่อเดิมตั้งแต่เขาเกิดมา

 

เรื่องความเก่งคงไม่ต้องอธิบายเยอะ เพราะบั้นปลายได้พิสูจน์แล้วว่า เคลย์ หรือ อาลี กลายเป็นสุดยอดนักชกที่ดีที่สุดคนหนึ่งของวงการ ไล่เก็บแชมป์มาตั้งแต่การชกสมัครเล่น ได้รับรางวัลนวมทอง ต่อยอดไปจนถึงขั้นคว้าเหรียญทองในการแข่งขันโอลิมปิกมาแล้ว 

แต่สิ่งที่ยิ่งกว่าความเก่งกาจด้านฝีมือมันคือสิ่งที่เรียกว่าคาแร็กเตอร์ ในยุคสมัย 60 ปีที่แล้ว คุณไม่มีทางนึกภาพออกได้เลยว่านักกีฬาคนหนึ่งจะสร้างอิมแพ็กต์ถึงขั้นเขย่าทั้งโลก สิ่งที่อาลีทำเมื่อ 60 ปีก่อนเหมือนกับสิ่งที่นักกีฬายุคปัจจุบันหลายคนทำ นั่นคือการทำมาร์เก็ตติ้งให้ตัวเอง ทำให้พวกเขากลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ยกตัวอย่างเช่น เดวิด เบ็คแฮม ที่ต่อให้คนไม่ได้ดูฟุตบอลก็ยังร้องอ๋อ นึกชื่อได้นึกภาพออกในทันที 

อาลี มาก่อนกาล และการสร้างคาแร็กเตอร์ของเขาคือสุดยอดมาร์เก็ตติ้งที่โลกของวงการกีฬาต้องจดจำ นั่นคือเขารู้ว่าพูดแบบไหนสื่อถึงจะสนใจ ทำแบบไหนถึงจะถูกแฟนมวยจดจำ และสุดท้ายสำคัญที่สุดคือเขารู้ว่ากลุ่มเป้าหมายในการสร้างแฟนของเขาคือคนกลุ่มไหน 

สิ่งเหล่านี้ดูคล้าย ๆ กับการสร้างภาพ เพียงแต่สิ่งที่ อาลี ทำมันเป็นธรรมชาติมาก มากเสียจนเขาได้ใจผู้คนไปครอบครองและถูกจดจำได้โดยง่าย 

ก่อนขึ้นเวทีชิงแชมป์โลกเฮฟวี่เวตครั้งแรกกับ ซอนนี่ ลิสตัน … อาลี ให้สัมภาษณ์ระดับตำนานไว้ 1 ประโยค มันทำให้ทุกคนต้องหันมามองจนจดจำชื่อแซ่และภาพลักษณ์ของเขาได้ในทันที ถึงขั้นมีการตั้งฉายาว่า "หลุยส์วิลล์ ลิปส์" (ไอ้ปากดีจากหลุยส์วิลล์) เลยทีเดียว

 

"ไฟต์นี้จะเป็นไฟต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกแห่งหมัดมวยเคยมีมา ผมอายุ 22 ปี แต่ผมคนนี้แหละที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ผมคุยกับโลกได้ทั้งใบ ผมเสวนากับพระเจ้าทุกวัน และถ้าพระเจ้าอยู่ข้างผม รับรองว่าไม่มีใครหน้าไหนมาหยุดผมได้ทั้งนั้น ผมจะเขย่าโลกนี้ด้วยกำปั้น ผมคือราชาที่แท้จริงของโลกใบนี้ ผมแม่งโคตรจะหล่อเท่ ผมมันเป็นไอ้เสือร้ายสุดโฉด ย้ำอีกที ผมคนนี้แหละจะเขย่าโลกโว้ย" อาลี กล่าวก่อนวันขึ้นชกไม่กี่สัปดาห์ 

การพูดแบบนี้อาจจะเป็นเรื่องปกติของวงการมวย แต่การที่คุณจะพูดแบบนี้ได้คุณจะต้องมีความมั่นใจที่สูงส่งเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อคู่ชกของคุณคือแชมป์โลกที่ว่ากันว่าฝีมือดีที่สุดในเวลานั้น เขาคือคนอย่าง ซอนนี่ ลิสตัน 

ก่อนขึ้นชกไฟต์ดังกล่าว ลิสตัน อายุ 33 ปี แม้จะเข้าวัยเลข 3 ไปแล้ว แต่ลิสตันคือยอดมวยแห่งยุค 50-60s ของจริงของแท้ การันตีโดยการชนะนักชกเฮฟวี่เวตที่เก่งที่สุดในโลกตามที่สื่อยกย่อง ณ เวลานั้นอย่าง ฟลอยด์ แพตเทอร์สัน ได้ถึงสองครั้งสองครา 

ถ้าคุณยังนึกภาพความเก่งของ ฟลอยด์ แพตเทอร์สัน ที่ ลิสตัน เอาชนะได้ก็คือ เขาเป็นนักชกที่ได้รับการฝึกฝนจาก กัส ดามาโต้ ชายผู้ปลุกปั้น ไมค์ ไทสัน ในยุค 80s ให้เป็นนักชกเฮฟวี่เวตแชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุดด้วยวัยเพียง 21 ปี และเป็นผู้ให้กำเนิดการชกที่เรียกว่า "Peek a boo" สไตล์ไม้ตายที่ไทสันใช้เขย่าโลกในอีก 30 ปีให้หลัง ... ชายคนนี้แหละที่ ลิสตัน เอาชนะได้ถึงสองครั้ง

 

ดังนั้นการที่เด็กหนุ่มอย่าง อาลี ผู้กำลังขึ้นรุ่น พูดแบบนั้นและสื่อตรงไปถึง ลิสตัน ว่ายุคสมัยของแชมป์โลกคนเฒ่าจะหมดไป ยุคสมัยใหม่จะเข้ามาแทนที่ พระเจ้าแห่งวงการมวยคนใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว เป็นการตบหน้า ลิสตัน อย่างแรง 

ความแค้นเริ่มก่อตัวขึ้นพร้อม ๆ กับการอยากสอนเชิงให้รู้สึกถึงพลังของแชมป์โลก ขณะที่สื่อเองก็สนุกสนานกับการทำข่าวครั้งนั้นแบบไม่เคยเป็นมาก่อน 

ยิ่งไมค์จ่อปากอาลีเท่าไหร่ไฟต์นี้ก็ยิ่งน่าติดตาม เช่นเดียวกันกับเมื่อมีไมค์ไปจ่อปากลิสตัน รุ่นใหญ่แห่งวงการก็ตอกกลับไปอย่างสมน้ำสมเนื้อ การลั่นกลองรบที่น่าตื่นเต้นที่สุดของวงการมวยโลกเกิดขึ้นแล้ว

เก่งแค่ไหน … วัดกันบนเวที

อัตราการต่อรองก่อนขึ้นชกไหลเข้ามาทางฝั่ง ลิสตัน โดยมีราคาที่แทง 7 ได้ 1 ไม่รวมทุน ขณะที่่ฝั่ง อาลี หรือ แคสเซียส เป็นมวยรองเต็มรูปแบบ ราคาบ่อนเปิดสวนกันที่แทง 1 จ่าย 7 เรียกง่าย ๆ ว่าลงทุนบาทเดียวได้เงินกลับมาถึง 7 บาท หากอาลีเป็นฝ่ายชนะ

ว่ากันตามกลยุทธ์ของอัตราต่อรอง ราคามันชี้ชัดว่า ลิสตัน ชนะแน่ ... ทุกคนคิดว่าเขากลับมากระหายและตั้งใจอีกครั้งหลังจากโดน อาลี ปากดีใส่ และนักชกเจ้าของสถิติ ชนะ 35 แพ้ 1 (ชนะน็อก 25) อย่าง ลิสตัน ได้สอนมวยเด็กปากดีคนใหม่แห่งวงการแน่ 

"แคสเซียส เคลย์ ไม่น่าใช่ของจริง เขาแค่อวดดี ผาดโผนในการแสดงกิริยา ทำตัวเหมือนกับตัวตลก แตกต่างกับนักชกที่อันตรายทุกฝีก้าวอย่าง ซอนนี่ ลิสตัน ... ไม่ต้องกังวลอะไรกับการเรียกร้องความสนใจก่อนชกหรอก" ไมเคิล คาร์เบิร์ต (Michael Carbert) กูรูมวยของเว็บไซต์ The Fight City เล่าย้อนกลับไปเวลานั้น

"กูรูมวยฟันธง มีแต่คนไร้สมองเท่านั้นที่เชื่อว่า เคลย์ จะชนะ ลิสตัน ที่ตัวใหญ่และทรงพลัง ชายผู้เอาชนะ แพตเทอร์สัน ได้สองรอบ แขนใหญ่เท่ากับกิ่งต้นโอ๊ก หมัดหนักอย่างกับค้อนปอนด์ เขาคือปีศาจที่พร้อมจะใจร้ายกับทุกคน เขามีทุกอย่าง แต่เขาแค่เลือกจะปิดปากของตัวเองไว้" 

 

แม้ปากจะไม่พูดคุยโวโอ้อวดตัวเองอะไรแบบนั้น แต่การชกของ ลิสตัน ณ สนามมวย คอนเวนชัน ฮอลล์ ที่ ไมอามี บีช ท่ามกลางคนดู 8,300 คน ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อระฆังยกแรกดัง ภาษากายของ ลิสตัน บอกทุกคนได้ทันทีว่า เขาตั้งใจจะสอนมวยอาลีจริง ๆ ด้วยการเดินหน้าซัดกันให้หลับตั้งแต่ไก่โห่เลยด้วยซ้ำ ติดเพียงอย่างเดียวที่ไม่ทำให้สิ่งที่เขาคิดเกิดขึ้น สิ่ง ๆ นั้นคือฟุตเวิร์กของอาลีนั่นเอง

ฟุตเวิร์กของ อาลี ดีที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา ไม่มีใครอีกแล้วในรุ่นเฮฟวี่เวตที่จะสามารถเต้นบนสังเวียนผ้าใบได้อย่างเขา เหตุผลง่ายนิดเดียวไม่มีอะไรซับซ้อน สิ่งนั้นมาจากการซ้อมหนักและมีวินัยกับตัวเองเคร่งครัดเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่ตอนที่เขาเป็นนักมวยเท่านั้น อาลี เริ่มดูแลตัวเองมาตั้งแต่ที่คิดได้ว่าเขาอยากจะฝึกชกมวยแล้ว 

สมัยที่เรียนอยู่ชั้นไฮสคูล อาลี เลือกจะใช้การวิ่งไปโรงเรียนแทนการขึ้นรถบัส เขาทิ้งชีวิตวัยรุ่นทิ้งไปเกือบหมด เขาปฏิเสธบุหรี่ เหล้า เบียร์ และของที่ไม่ดีต่อสุขภาพทุกชนิด ดื่มน้ำผสมกระเทียมเพื่อลดความดันโลหิต และเทรนเนอร์ผู้ฝึกซ้อมให้เขาเคยบอกไว้ว่า "เขาเป็นคนแรกที่มาถึงยิมแล้วกลับออกไปเป็นคนสุดท้ายเสมอ เขาเป็นเด็กที่มีวินัยมากเลยทีเดียว" นั่นแหละคือที่มาของฟุตเวิร์กที่ได้ฉายาว่า "พริ้วเหมือนผีเสื้อ ต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง" 


ทั้งหมดคือเหตุผลที่ทำให้ ลิสตัน เกิดอาการที่ภาษามวยเรียกว่า "จั่วลม" สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ ลิสตัน ที่ได้ฉายาว่า "ปีศาจ" ต้องออกอาการเหวออย่างหนัก การชกกับอาลีมันทำให้เขารู้ว่ายุคสมัยของเขาจบลงแล้ว

เหตุผลที่เป็นแบบนั้นหลายคนอาจจะบอกว่าป็นเพราะอายุ แต่แท้จริงแล้ว ลิสตัน เองก็อ่อนซ้อมไปไม่น้อย ชีวิตของเขาร่ำรวยมีชื่อเสียงเงินทอง มีเข็มขัดแชมป์โลก เขามีหมดแล้วทุกอย่าง ถ้าเป็นมนุษย์คนหนึ่งเขาก็คงเป็นมนุษย์ที่ถูกจัดให้อยู่ในระดับประสบความสำเร็จในอาชีพ และธรรมชาติของคนที่ไปถึงจุดสูงสุดไปแล้วคือพวกเขามักจะผ่อนคันเร่งเสมอเมื่อไร้ซึ่งสิ่งท้าทาย 

ลิสตัน เวอร์ชั่นอ่อนซ้อม กับ อาลี ผู้เคยเปรียบเทียบอาชีพนักชกของตัวเองว่า "แชมป์โลกไม่ได้ถูกสร้างในยิมหรือสถานที่ฝึกซ้อม แต่เกิดขึ้นจากบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวตนของพวกเขา มันประกอบไปด้วยความปรารถนา ความฝัน และวิสัยทัศน์" 

ว่าง่าย ๆ ก็คือคลื่นลูกใหม่ที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำมานาน แต่เมื่อโผล่ขึ้นจากน้ำมาทีกลับเป็นเกลียวคลื่นใหญ่ระดับสึนามิ ไม่น่าแปลกใจหรอกที่หลายคนจะไม่ทันคาดคิดว่า อาลี จะเก่งขนาดนี้ แม้กระทั่งตัวของ ลิสตัน เอง 

ลิสตัน พยายามเค้นเอาทุกสิ่งที่เขามีออกมาในไฟต์นั้น เขาอาจจะจั่วลมไปบ้าง แต่ก็มียกที่ 4 ที่ลิสตันต่อยอาลีโดนจัง ๆ จนตาปิด ซึ่งอาลีก็บอกว่าหมัดนั้นของ ลิสตัน ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าเขาจะปล่อยให้ตัวเองโดนชกอีกไม่ได้แล้ว

"ในยกที่ 5 ตาของผมแทบมองไม่เห็นแล้ว ผมเห็นแต่เงาของ ลิสตัน เท่านั้นแหละ" อาลี เผยในภายหลัง 

แต่ก็อย่างที่ อาลี บอก มันไม่ใช่แค่การซ้อมหรือการขึ้นชก แต่มันเป็นสัญชาตญาณของเขา แม้จะเหลือวิสัยทัศน์การมองเห็นไม่มาก แต่อาลีก็เคลื่อนไหวด้วยความรู้สึกต่อไปได้จนคนดูไม่ทันสังเกตว่าตาของเขามีปัญหา 

ตัดภาพกลับมาที่ ลิสตัน การชกวืดบ่อย ๆ ส่งผลกับเขาหนักขึ้น อย่างที่กล่าวไว้ว่าเขาอ่อนซ้อมมากกว่าปกติ และน้ำหนักหมัดของเขาที่ใส่สุดทุก ๆ ครั้งแต่ไม่ได้กระทบกับส่วนต่าง ๆ ในร่างกายของ อาลี ก็เหมือนกับคนเหวี่ยงแขนสุดแรงโดยไม่โดนอะไร สิ่งที่ตามมาก็คืออาการบาดเจ็บที่หัวไหล่ จุดที่นักชกระดับโลกใช้ส่งแรงไปที่หมัดของพวกเขานั่นเอง 

ไหล่ของ ลิสตัน มีปัญหา และ อาลี ที่อยู่บนเวทีก็มองเห็นมัน เขายิ่งเต้นฟุตเวิร์กเยอะขึ้น ล่อให้ ลิสตัน ชกจั่วลมบ่อย ๆ ให้ความเจ็บนั้นทวีคูณ 

"ผมคิดในใจว่านี่มันมวยสไตล์ไหนกัน ลิสตัน ไล่ตามแล้วไล่ตามอีก ส่วน เคลย์ ก็คอยแต่หลบหลีกและตะโกนใส่หน้ายั่วเขาไม่หยุด หลบไปพลางปล่อยหมัดแย็บที่หนักหน่วงไป ฝูงชนเริ่มโห่ร้องตามการเต้นของ อาลี ซ้ายที ขวาที หมัดหนึ่งสองที ... ตอนนั้นทุกคนในสนามเชื่อว่าพวกเขามีลางสังหรณ์ว่าเรากำลังจะได้เห็นในสิ่งที่แตกต่างออกไป" ไมเคิล คาร์เบิร์ต อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในไฟต์นั้น 

"ลิสตัน จะเอาไอ้เด็กนี่ลงได้ยังไงในเมื่อเขาไม่สามารถกดอาลีไว้ที่มุม และแทบไม่สามารถปล่อยหมัดจัง ๆ ได้เลย นั่นคือสิ่งที่หลายคนสงสัย ยิ่งเมื่อเห็น ซอนนี่ ลิสตัน เจ็บและเลือดออก ... นี่มันไม่ใช่แล้วล่ะ" 

มันเป็นอย่างที่ทุกคนว่า ลิสตัน เหนื่อย แก่ ช้า และหมดแรงจูงใจเกินไป หลังจบยกที่ 6 เขากลับเข้าไปที่มุมของตัวเอง ก่อนที่จะไม่ยอมลุกออกมาสู้อีกเลย ไหล่ของเขาเจ็บจนทนไม่ไหว และนั่นหมายความว่า อาลี คือแชมป์เฮฟวี่เวตคนใหม่ในขณะที่ ลิสตัน ผู้ไร้เทียมทานยอมรับความพ่ายแพ้นี้ด้วยตัวเอง

ยุคสมัยใหม่แห่งมวยเฮฟวี่เวต

อาลี เป็นแชมป์โลกสมัยแรก และเขาไม่รอช้าที่จะทำตัวให้สมกับเป็นแชมป์โลก นั่นคือการแสดงตัวตนของตัวเองออกมาอย่างที่โลกรู้จักเขาในเวลาต่อมาในฐานะตำนาน

เป็นนักชกปากดี มีทัศนคติในการเป็นนักกีฬาที่ยอดเยี่ยม มีพรสวรรค์สูง และเหนือสิ่งอื่นใดคือการกลายร่างจากนักกีฬาเป็นไอคอนของโลก เขากลายเป็นบุคคลผู้มีอิทธิพลของโลกไปแล้วจากการทำตัวในสไตล์ของเขา 

อาลี ในชื่อเดิม อย่าง เคลย์ ประกาศเปลี่ยนศาสนาจากคริสต์เป็นอิสลาม เขาเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม Nation of Islam และเปลี่ยนชื่อเป็น มูฮัมหมัด อาลี 

นี่เป็นเรื่องใหญ่เพราะองค์กรนี้โดนโลกมองว่าเป็นกลุ่มต่อต้านคนผิวขาวหัวรุนแรงที่เกลียดชังและเป็นปฏิปักษ์กับการแบ่งแยก เรื่องนี้ใหญ่ถึงขั้นมีการตั้งโต๊ะตอบคำถามสื่อกันเลยทีเดียว "คุณเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มอิสลามผิวสีจริงหรือ ?" นักข่าวคนหนึ่งถาม

อาลี ตอบกลับอย่างทันควัน เขาอธิบายเหตุผลในการตัดสินใจของเขา บอกว่าพวกคนผิวขาวคือกลุ่มคนที่ยกตัวเองให้สูงส่งภายใต้การกดขี่ทางเชื้อชาติ และเขาตัดสินใจแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง

"ผมไม่จำเป็นจะต้องเป็นอย่างที่คุณต้องการให้ผมเป็น ผมมีอิสระ ผมสามารถเลือกสิ่งที่ผมต้องการได้" อาลี ตอบกลับแบบนั้น 

จากนั้นก็อย่างที่รู้กัน อาลี คือคนดังของโลกยุคแรกที่ลุกขึ้นยืนตรงข้ามกับแนวคิดของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่เป็นบ้านเกิดของเขา นี่คือเรื่องที่ทำให้ชาวมุสลิมและคนผิวดำทุกคนรักอาลีเป็นอย่างมาก โดยเขามีอีกฉายาว่า "แบล็ก ซูเปอร์แมน" 

อาลี เป็น แบล็ก ซูเปอร์แมน จริง ๆ เขาคว้าแชมป์ได้อีกมากมายหลังจากนั้น ก่อนจะกลายเป็นตำนานมวยโลกแบบที่พวกเราได้ยินการกล่าวถึงเขาในแง่มุมนั้นเสมอมา 

ขณะที่ ลิสตัน ล่ะเกิดอะไรขึ้นกับเขา ? การแพ้ อาลี คือจุดเริ่มต้นของคำว่า "ชีวิตบัดซบ" ของเขาอย่างแท้จริง เขาอาจจะได้โอกาสรีแมตช์กับ อาลี ในอีก 1 ปีต่อมา แต่ครั้งนี้กลับยิ่งห่างชั้นยิ่งกว่าเดิม ว่ากันว่า ลิสตัน ซ้อมเบาลงมาก วิ่งแค่วันละ 5 ไมล์ ลงนวมวันละไม่กี่ชั่วโมง แถมยังไม่คุมอาหาร ดื่มเบียร์ และกินฮอตด็อกแบบไม่ยั้ง ซึ่งของเหล่านี้เป็นศัตรูกับอาชีพนักกีฬาทั้งสิ้น 

เหนือสิ่งอื่นใดคือ ลิสตัน พัวพันกับแก๊งมาเฟีย ใช้ยาเสพติด มีปัญหากับภรรยาเรื่องหย่าร้าง ติดเหล้า และสุดท้ายเขาก็เสียชีวิตลงในปี 1970 ในบ้านของเขาเอง พร้อมกับร่องรอยของเข็มฉีดยาที่คาดว่าจะเป็นการใช้เฮโรอีนเกินขนาดจนทำให้ช็อคตาย 

อาลี รับไม้ต่อจาก ลิสตัน และทำให้โลกรู้ว่านักมวยไม่ใช่อาชีพของคนจนที่ตกถังข้าวสาร พอร่ำรวยแล้วก็ใช้ชีวิตเละเทะไม่รับผิดชอบต่อสังคม อาลี เป็นอีกแบบโดยสิ้นเชิง 

เขาต่อต้านการเหยียดสีผิวเต็มรูปแบบ ปฏิเสธการเข้ากองทัพสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนามจนเขาโดนแบนจากการชกมวย แต่เหนือสิ่งอื่นใด ทุกอย่างที่เขาทำคือการทำให้โลกรู้ว่าชายคนนี้ไม่ใช่แค่นักมวยแชมป์โลก แต่เป็นยอดคนที่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนผู้คนก็พร้อมจะมอบอ้อมกอดและสดุดีเขาจากใจจริง 

"ผมคืออเมริกา ผมคืออีกด้านที่คุณไม่รู้จัก แต่จงยอมรับในสิ่งที่ผมเป็น ผมดำ ผมมั่นใจ ผมอวดดี นี่แหละชื่อของผมไม่ใช่ของคุณ นี่ศาสนาของผมไม่ใช่ของคุณ มันเป็นเป้าหมายของผม ของผมเอง ผมยินดีกับทุกสิ่งที่ผมได้ทำมันลงไป" อาลี กล่าวถึงตัวตนของเขา ก่อนที่จะกลายเป็นตำนานตลอดกาล     

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook