จากรุ่นปู่สู่รุ่นลูก : เหตุผลที่ แชค กลายเป็นคุณพ่อสุดเข้มงวด ผู้ไม่ให้เงินลูกแม้แต่บาทเดียว
หากพูดถึงภาพจำที่ทุกคนทั่วไปมีต่อ แชคีล โอนีล นี่คือตำนานนักบาสเกตบอลที่มีแต่รอยยิ้มบนใบหน้า ดูเป็นมิตร และมีอารมณ์ขันต่อหน้ากล้องเสมอ
แต่สำหรับลูกของเขา "แชค" อาจแสดงภาพลักษณ์ในแบบที่เราไม่เคยรู้จัก เขาเป็นคุณพ่อที่เข้มงวดซึ่งพร่ำสอนลูกตัวเองด้วยบทเรียนสุดโหด ไม่ว่าจะเป็นการไล่ให้พวกเขาออกไปเรียนหนังสือและหางานทำด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังประกาศอีกว่าจะไม่ให้เงินพวกเขาสักบาท จนกว่าจะแสดงตนว่ามีคุณค่าพอ
ทำไม แชคีล ถึงเข้มงวดขนาดนั้น บางทีบทเรียนที่เขาเจอมาด้วยตัวเองในวัยเด็กอาจเป็นคำตอบ นี่คือเรื่องราวของ แชคีล นอกสนามบาสเกตบอลที่จะสะท้อนบทบาทของเขาในฐานะลูกชาย คุณพ่อ และหัวหน้าครอบครัว และบอกเหตุผลที่เขากลายเป็นคุณพ่อสุดเฮี้ยบอย่างทุกวันนี้
ติดตามเรื่องราวได้ที่ Main Stand
บทเรียนจากคุณพ่อผู้เข้มงวด
ไม่ใช่นักกีฬาที่ประสบความสำเร็จทุกคนจะเติบโตขึ้นมาจากครอบครัวที่เพียบพร้อม แชคีล โอนีล คือหนึ่งในนั้น เขาลืมตาดูโลกที่เมืองนวร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ คุณพ่อที่แท้จริง โจ โทนี่ย์ ถูกจับเข้าคุกเนื่องจากก่อพฤติกรรมฝ่าฝืนกฎหมาย นั่นคือวินาทีที่บอกว่าชีวิตของ แชคีล ต้องพบเจอกับความยากลำบากหลังจากนั้น
เคราะห์ดีที่คุณแม่ของเขา ลูซีล โอนีล สามารถพบเจอสามีใหม่ที่ดีกว่า เขาคือ ฟิลิป แฮร์ริสัน นายทหารผู้เต็มไปด้วยระเบียบวินัยที่พร้อมจะเลี้ยงแชคีลให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดีของสังคมและมีระเบียบวินัยอย่างถึงที่สุด
แชคีล อธิบายนิสัยของตัวเองในช่วงวัยรุ่นว่า ตัวเขาเองเป็นเด็กที่พร้อมจะทำผิดกฎหมาย และมีโอกาสจะถูกส่งเข้าสถานพินิจตลอดเวลา ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะว่าเขามีจิตใจเป็นคนชั่วโดยกำเนิด แต่เป็นเพราะแชคีลเป็นเด็กหัวทื่อที่พร้อมจะคล้อยตามคนอื่นตลอดช่วงชีวิตวัยรุ่นของเขา อนาคตตำนานแห่งวงการบาสเกตบอลถูกชักชวนให้สูบบุหรี่ ลองขายหรือลองเสพยา รวมไปถึงพกปืนไว้กับตัวราวกับเป็นสมาชิกแก๊งอาชญากรรมข้างถนน
เหตุผลเดียวที่แชคีลก้าวมาถึงทุกวันนี้ได้คือความเข้มงวดของพ่อเลี้ยงแฮร์ริสัน นายทหารยศจ่าที่มักจะเดินไปดุด่าสั่งสอนด้วยการลงไม้ลงมือกับแชคีลต่อหน้าเพื่อน ๆ ในสายตาหลายคนการกระทำแบบนี้อาจดูโหดร้าย แต่สำหรับแชคีลเขามองว่าบทเรียนสุดโหดของคุณพ่อช่วยให้เขาเติบโตเป็นผู้เป็นคนอย่างทุกวันนี้ เพราะเขาไม่ใช่เด็กที่ฉลาดมากนัก และบางทีไม้แข็งอาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
"ทุกครั้งที่ผมเดินออกจากบ้าน มันมีบททดสอบและความเลวร้ายของโลกภายนอกรอผมอยู่เสมอ ซึ่งพ่อของผมก็รู้ดีว่าผมเป็นคนหัวทื่อและไม่ค่อยฉลาดอย่างใครเขา นั่นคือเหตุผลที่เขารู้แทคติกที่จะเอามาใช้สั่งสอนผมแล้วมันเวิร์ก ซึ่งแน่นอนว่ามันก็เวิร์กจริง ๆ" แชคีล กล่าวถึงบทเรียนโหดของคุณพ่อ
แต่ใช่ว่าแชคีลจะเติบโตมาเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จเพียงเพราะความเข้มงวดของพ่อเลี้ยงแฮร์ริสัน แต่ยังรวมไปถึงการสั่งสอนด้วยความเข้าใจ เขาชี้ให้แชคีลเห็นความแตกต่างระหว่างคำว่า ความรัก กับ ความรุนแรง และแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างด้วยการมอบความรักแก่ลูกชายของเขาตั้งแต่เด็ก แฮร์ริสันอยู่เคียงข้างแชคีลตลอดเวลาตั้งแต่วันที่เขาเริ่มหัดผูกเชือกรองเท้าด้วยตัวเองไปจนถึงวันที่ลูกชายคนนี้หัดเล่นบาสเกตบอล
แชคีล จึงเติบโตขึ้นมาเป็นบุคคลที่พร้อมแบ่งปันความรักให้แก่คนรอบข้างเสมอ โดยเฉพาะคนในครอบครัวที่เขาถูกพร่ำสอนโดยพ่อเลี้ยงแฮร์ริสันมาตลอดว่า หน้าที่ของลูกผู้ชายที่แท้จริงคือการดูแลครอบครัวของตัวเอง และแชคีลแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ชายแบบนั้นด้วยการก้าวขึ้นมาดูแลครอบครัวทั้งหมดตามคำสัญญาที่เขาเคยมอบให้แก่แฮร์ริสัน ก่อนที่ฝ่ายหลังจะเสียชีวิตในปี 2013
"พ่อสอนผมไม่ให้ร้องไห้หรือโศกเศร้าเกินไป เพราะฉะนั้นในวันที่เขาจากไปผมจึงปลดปล่อยทุกอย่างออกมา เพราะผมยังไม่ได้ทันได้ตอบแทนสิ่งที่เขาทำให้กับผมได้มากพอ แต่พ่อสอนผมนานมาแล้วว่ามันเป็นหน้าที่ของลูกผู้ชายที่จะปกป้องและช่วยเหลือครอบครัวของตน"
"เมื่อพ่อใหญ่จากไปคนที่จะก้าวขึ้นมาดูแลครอบครัวเป็นลำดับต่อไปคือผม ผมจำเป็นต้องปกป้องพวกเขาและช่วยเหลือครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของพี่ชาย ครอบครัวของน้องสาว หรือครอบครัวของคุณแม่ เพราะนั่นคือสิ่งที่คุณต้องทำในฐานะลูกผู้ชาย"
หลักฐานชัดเจนที่สุดซึ่งแสดงใหเห็นว่า แชคีล ได้รับความรักจากครอบครัวจนเติบโตมาเป็นผู้ชายที่ดีได้ คือการกลับมาพบเจอกับพ่อบังเกิดเกล้า โจ โทนี่ย์ เมื่อปี 2016 หลังปฏิเสธจะพบเจอกันมาตลอดก่อนหน้านี้ โดยแชคีลมองว่ามันเป็นการให้เกียรติแฮร์ริสันที่เลี้ยงดูเขามาตลอด เขาจึงไม่ควรเรียกผู้ชายคนอื่นว่าพ่ออีก
แม้ความจริงแล้ว แชคีล จะโหยหาที่จะพบคุณพ่อที่แท้จริงของเขาอีกครั้ง เขายังตระเวนมารับประทานอาหารในร้านที่ด้านบนเป็นห้องพักของ โจ โทนี่ย์ อยู่บ่อยครั้ง ก่อนที่ทั้งคู่จะได้มาพบเจอกันอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างทั้งสองฝ่าย แชคีล แสดงสิ่งที่ใครหลายคนไม่อาจทำได้ นั่นคือการให้อภัยคนที่เคยทิ้งและหันหลังให้กับเขาไปเมื่อนานมาแล้ว
"ผมไม่ได้เกลียดคุณ ผมไม่อยากตัดสินคุณ เพราะผมไม่มีสิทธิอะไรไปตัดสิน และในฐานะที่ผมก็เป็นพ่อคนเหมือนกัน ผมรู้ว่ามันยากมากแค่ไหน" แชคีล เปิดใจกับคุณพ่อที่แท้จริง เมื่อทั้งคู่พบกันเป็นครั้งแรก
"ผมมีชีวิตที่ดี ผมมีบ้านของตัวเอง ผมมีหญ้าให้ตัด อันที่จริงผมมีหญ้าของเพื่อนบ้านให้ตัดด้วย ผมไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรในชีวิต ผมเคยมีเรื่องชกต่อยแค่ครั้งสองครั้ง มันไม่ใช่การใช้ชีวิตที่ต้องมาระแวงว่าจะมีใครมายิงคุณที่หัวมุมถนนหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเฮโรอีนหรือกัญชา ผมมีชีวิตที่ยอดเยี่ยมและผมไม่มีอะไรให้กล่าวโทษคุณเลย"
สู่บทบาทหัวหน้าครอบครัว
บทเรียนอันเข้มงวดที่ แชคีล โอนีล เรียนรู้มาตลอดทั้งชีวิตส่งผลให้เขาเติบโตเป็นคุณพ่อที่คอยพร่ำสอนลูกทุกคนให้มองเห็นความสำคัญของระเบียบวินัยและการเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของสังคม แชคีลเน้นย้ำกับลูกทุกคนว่าพวกเขาต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยและเรียนจบชั้นปริญญาตรีเป็นอย่างน้อย
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพวกเขาเรียนจบ ลูกทั้งหมดของแชคีลจะต้องรับผิดชอบชีวิตด้วยการหางานทำและหารายได้เข้ามาเลี้ยงตัวเอง ซูเปอร์สตาร์รายนี้ยื่นคำขาดกับเด็ก ๆ ในบ้านว่า เมื่อพวกเขาโตขึ้นจะต้องไม่มีการแบมือขอเงินจากพ่ออีก เพื่อจะย้ำความตั้งใจนี้ให้เด่นชัดแชคีลถึงกับใช้ประโยคที่ค่อนข้างเย็นชากับลูกของตัวเองเสียด้วยซ้ำ
"ลูก ๆ ของผมโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว และพวกเขาค่อนข้างทำให้ผมหงุดหงิดนะ ความจริงก็ไม่ถึงกับหงุดหงิดหรอก แต่พวกเขาแค่ไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพยายามบอกว่าพวกเราไม่ได้รวย ผมรวยเพียงแค่คนเดียว" แชคีล เปิดเผยถึงบทเรียนที่เขาสอนลูกของตน
"ผมบอกพวกเขาว่า คุณต้องจบปริญญาตรีหรือปริญญาโท แล้วถ้าคุณอยากให้ผมลงทุนไปกับธุรกิจของคุณ คุณต้องมาเสนอให้ผมเห็นว่าทำไมผมถึงต้องให้เงินคุณนู่นนั่นนี่ เอาความน่าสนใจนั้นมาให้ผมดู แล้วผมจะบอกคุณเอง คือผมไม่ได้จะไม่ให้อะไรพวกเขาเลยนะ"
พ่อแม่แต่ละครอบครัวต่างมีวิธีเลี้ยงลูกแตกต่างกันออกไป แต่สำหรับนักกีฬาชื่อดังระดับซูเปอร์สตาร์บ่อยครั้งที่เราเห็นพวกเขาพยายามผลักดันลูกของตนสู่แสงสปอตไลท์ อาจจะด้วยการผลักดันให้เดินบนเส้นทางนักกีฬาเช่นกันหรือพยายามผลักดันให้พวกเขามีชื่อเสียงในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
แน่นอนว่า แชคีล ไม่สนใจอะไรทำนองนั้น เขาไม่ต้องการให้ลูกมีชื่อเสียงหรือจำเป็นต้องให้ใครจดจำได้ว่านี่คือลูกของ แชคีล โอนีล เขาเพียงต้องการให้ลูก ๆ เดินบนเส้นทางของตัวเองและยืนหยัดได้ในฐานะผู้ใหญ่อย่างเต็มภาคภูมิ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับคุณพ่อทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมหาเศรษฐีซึ่งสามารถเสกทุกอย่างให้ลูกได้ แต่เขากลับเลือกจะไม่ทำเช่นนั้น
"ผมไม่สนใจหรอกว่าพวกเขาจะเป็นนักบาสเกตบอลไหม ผมไม่เคยสนใจเรื่องพวกนั้นเลย คือผมมีลูกตั้งหกคนนะ ผมก็อยากเห็นใครสักคนเป็นหมอหรือมีธุรกิจของตัวเองบ้าง อาจจะเป็นเภสัชกรหรือทนายความก็ได้"
"ผมรอดูใครสักคนที่จะครอบครองธุรกิจหลายอย่างหรือเข้ามาครองธุรกิจของผม แต่ผมบอกพวกเขาได้เลยว่า ผมจะไม่ยื่นมันให้พวกเขา คุณต้องเข้ามาเอามันไปจากผมเอง"
ในสายตาลูกทั้งหกของเขา แชคีล จึงไม่เคยเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งวงการบาสเกตบอล ผู้ชายร่างยักษ์คนนี้เป็นเพียงคุณพ่อที่ลูก ๆ ต่างอ้อนวอนให้จ่ายเงินซื้อของที่พวกเขาอยากได้ คนที่มีความสำคัญเมื่อพวกเขาไปเดินห้างสรรพสินค้าและมองหาใครสักคนที่จ่ายเงินเพื่อไอโฟนเครื่องใหม่ แชคีลเป็นคนแบบนั้นในสายตาลูก ๆ เสมอ
นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่แชคีลอาจต้องแสดงตัวตนในฐานะนักสู้และคนที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อไล่ล่าความสำเร็จให้คนในครอบครัวเห็นบ้าง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ทรัพย์สินมูลค่ากว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่แชคีลครอบครองอยู่อาจไม่ตกถึงมือลูก ๆ ของเขา หากเด็กเหล่านี้ไม่แสดงให้เห็นว่าตนควรค่าพอ
ขณะนี้ลูกชายคนโตของเขา ชารีฟ โอนีล กำลังเลือกเดินบนเส้นทางของตัวเองในฐานะนักบาสเกตบอลเช่นเดียวกับพ่อของเขา และถึงแม้ชารีฟจะกำลังเล่นให้กับมหาวิทยาลัยลุยเซียนา สเตท เช่นเดียวกับแชคีล
แต่ไอดอลที่แท้จริงของเขาคือ โคบี้ ไบรอันท์ ตำนานแห่ง ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส ซึ่งข้อความที่โคบี้ส่งให้ชารีฟเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนเขาเสียชีวิต ยังเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เขาโฟกัสกับกีฬาบาสเกตบอลอย่างในทุกวันนี้
แชคีลอาจไม่ปลื้มนักที่ตนไม่ใช่ไอดอลอันดับหนึ่งในใจชารีฟ แต่ความตั้งใจในการเดินบนเส้นทางของตัวเองสำหรับชารีฟ ย่อมทำให้เขาภูมิใจอย่างแน่นอน และไม่ว่าลูกชายคนนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่ถ้าเขาทุ่มเทอย่างเต็มที่ แชคีล ก็พร้อมจะสนับสนุนลูกชายคนนี้เหมือนกับที่เขาเคยลั่นวาจาไว้กับพ่อของเขาและจะปกป้องและสนับสนุนครอบครัวของตนตลอดไป
นี่คือบทเรียนที่ แชคีล โอนีล เรียนรู้มาจากพ่อแล้วถ่ายทอดต่อแก่ลูก ๆ ของตน แม้สถานการณ์ของแชคีลในวัยเด็กกับลูกของเขาจะต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปและใช้ได้เสมอคือการสอนให้พวกเขาเติบโตเป็นคนดีของสังคม และเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง
นี่คือวิธีการมอบความรักให้แก่ครอบครัวในแบบของผู้ชายที่ชื่อ แชคีล โอนีล และเราเชื่อว่ามันมีคุณค่าต่อลูกของเขามากกว่าเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐอย่างแน่นอน