โซล บัมบา : กองหลังที่เคยถูกเทียบกับ ฟาน ไดจ์ค กับชัยชนะของชีวิตในวัย 36 ปี

โซล บัมบา : กองหลังที่เคยถูกเทียบกับ ฟาน ไดจ์ค กับชัยชนะของชีวิตในวัย 36 ปี

โซล บัมบา : กองหลังที่เคยถูกเทียบกับ ฟาน ไดจ์ค กับชัยชนะของชีวิตในวัย 36 ปี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 ที่ ลิเวอร์พูล คว้าตัว เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ด้วยราคาสถิติโลกเป็นกองหลังที่แพงที่สุดในราคา 75 ล้านปอนด์ มีกุนซือมากประสบการณ์คนหนึ่งของลีกอังกฤษที่ชื่อว่า นีล วอร์น็อค ได้ยกนักเตะคนหนึ่งขึ้นมาเปรียบเทียบกับ ฟาน ไดจ์ค ... โดยเขาบอกว่านักเตะคนที่เขายกตัวอย่างมา "เก่งกว่า ฟาน ไดจ์ค"

เรื่องจริงเรารู้กันดี 3 ปีหลังสุดคงไม่มีกองหลังคนไหนจะดีและมีประสิทธิภาพไปกว่า ฟาน ไดจ์ค อีกเเล้ว ทว่ากองหลังผู้ถูกเปรียบเทียบกับเขาล่ะ คน ๆ นั้นเป็นเช่นไรหลังจากนั้น 

นี่คือเรื่องรางของ โซล บัมบา เซ็นเตอร์ฮาล์ฟโนเนมที่ถูกเอาไปเปรียบเทียบแต่ไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ตัวเองเลยว่าเขามีดีอะไรมาเทียบกับจอมทัพแห่งหงส์เเดง  เพราะเขาเกิดโชคร้ายตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเสียก่อน

 

การล้มป่วยในวัย 36 ปี และการกลับมาคว้าชัยชนะแห่งชีวิตในอีก 1 ปีต่อมาของเขาเป็นเช่นไร ติดตามได้ที่ Main Stand

เจ้าตัวปัญหา 

โซล บัมบา มีสัญชาติไอวอรี่โคสต์ แต่เกิดและโตในกรุงปารีส เมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส เขาเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่จำความได้ เพียงแต่เป็นการเล่นเพื่อความสนุกตามแบบฉบับเด็ก ๆ เท่านั้น 

ตัวของ บัมบา นั้นเกิดในครอบครัวที่ยากจน พ่อและแม่จึงตั้งความหวังกับเขาไว้เป็นอย่างมาก ในฐานะพลเมืองชั้นสองเขาถูกวางเป้าไว้ให้ได้ทำงานในอาชีพที่มั่นคงอย่างหมอหรือทนายความ เรื่องนี้จริงจังถึงขั้นที่ว่าตอนที่เขาอายุ 11 ปี แมวมองของ เปแอสเช ได้เห็นแววเขาจากการเตะฟุตบอลข้างถนนและยื่นโอกาสทดสอบฝีเท้าเข้าทีมเยาวชนมาเเล้ว แต่พ่อและแม่ของ บัมบา ปฏิเสธไปเพราะเชื่อว่าลูกชายมีศักยภาพพอที่จะโตมาเป็นหมอได้ เนื่องจากเขาเป็นเด็กเรียนดีและขยันขันแข็ง


Photo : histoiredupsg

 

อย่างไรก็ตามอะไรที่เราตั้งใจทำเพราะความสนุกมักจะเป็นสิ่งที่ทำได้ดี บัมบา เองก็เช่นกัน เขามีฝีเท้าดีขึ้นในแง่ของชั้นเชิงบอล อีกทั้งร่างกายก็ยังเเข็งแกร่งใหญ่โตกว่าเด็กคนอื่น ๆ สุดท้าย เปแอสเช ก็เอาจนได้ สามารถตกลงกับพ่อแม่ของเขาได้สำเร็จ จากนั้นเส้นทางการเป็นนักเตะก็เริ่มขึ้น 

บัมบา เป็นนักเตะประเภทที่แข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ มีหลากหลายเรื่องราวเกิดขึ้นในอาชีพของเขาตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่น ช่วงที่เขาเริ่มขยับจากทีมชุดเยาวชนขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของเปแอสเช ถ้าเป็นนักเตะรุ่นเดียวกันคนอื่น ๆ คงเฝ้ารอโอกาสอย่างอดทน และไม่เรียกร้องอะไรมากมายนักสำหรับโอกาสลงสนาม 

ทว่า บัมบา ไม่เป็นแบบนั้น เขาคิดว่าตัวเองมีดีพอที่จะได้ลงเล่น อย่างน้อย ๆ ก็เป็นการถูกส่งยืมตัวไปยังทีมเล็ก ๆ ในลีกก็ยังดีกว่าการมานั่งสำรองแบบไม่ได้โอกาสลงสนาม นั่นทำให้เขาเข้าไปเจรจากับ วาฮิด ฮาลิฮอดซิช กุนซือของทีมในเวลานั้น เรื่องของเรื่องคือ บัมบา คิดว่านักเตะอายุ 21 ปีอย่างเขาควรได้ลงเล่นสม่ำเสมอเพื่อพัฒนาการของตัวเขาเอง 

นั่นคือความคิดที่ถูกต้องในมุมของเขา แต่สิ่งที่เขาทำไปตอนนั้นเป็นเพราะความคึกคะนอง การเข้าไปเรียกร้องสิ่งต่าง ๆ ของเขาในช่วงเวลานั้นไม่ได้เป็นไปตามหลักของมืออาชีพ ตัวของ บัมบา วางตัวได้แย่มากในมุมมองของโค้ชที่เปแอสเช ซึ่งเขาก็รู้ตัวในภายหลังเมื่อโตขึ้นว่าสิ่งที่เขาทำในช่วงเวลานั้นได้ทำให้อาชีพค้าแข้งเขาของต้องเจอกับความยากลำบากกว่าที่ควรจะเป็น 

 

"แทนที่ผมจะไปพูดคุยกับผู้จัดการทีมด้วยความเคารพ ... แต่ไม่เลย ผมตะโกนไล่หลังเขา ผมสบถคำหยาบแบบลอย ๆ ใครอยากรับก็รับไปอะไรแบบนั้น ซึ่งตอนนี้ผมรู้แล้วว่านั่นคือพฤติกรรมที่แย่มาก" 

เดิมที่ วาฮิด ฮาลิฮอดซิช เองก็มีแผนที่จะใช้งาน บัมบา มากขึ้นในอนาคตอันใกล้ เนื่องจาก ณ ตอนนี้ เมาริซิโอ โปเชตติโน่ กองหลังตัวเก๋าของทีมก็ใกล้จะปลดระวางเข้าไปทุกวัน ทว่าเมื่อมาเจอพฤติกรรมดังกล่าวเขาจึงตัดสินใจแทงเรื่องไปยังฝ่ายบริหาร ยื่นคำขาดว่า โซล บัมบา จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมอีกต่อไป นักเตะแบบนี้หากปล่อยไว้ในทีมอนาคตจะต้องกลายเป็นปัญหาของทีมอย่างแน่นอน 

จากนั้นสัญญาที่เคยเตรียมไว้ให้กับเขาก็ถูกฉีกทิ้ง โซล บัมบา กลายเป็นนักเตะไร้สังกัด และนั่นคือช่วงเวลาที่เสียโอกาสเป็นอย่างมาก เขาควรจะได้ฝึกซ้อมและเติบโตโดยรายล้อมด้วยศูนย์ฝึกที่ดีมีคุณภาพร่วมกับนักเตะรุ่นพี่ที่มีดีกรีมีประสบการณ์ที่เปแอสเช 

ตอนนี้เขาต้องเริ่มใหม่หมดตอนอายุ 22 ปี พร้อมกับถูกซุบซิบเหมือนกับจดหมายเวียนที่ตีตราว่า "เขาคือตัวปัญหา" ทำให้ไม่มีทีมไหนในฝรั่งเศสเซ็นสัญญากับเขาเลย บัมบา จึงต้องรับกับสิ่งที่ตัวเองทำและเซ็นสัญญากับทีมเล็ก ๆ ในลีกสกอตแลนด์ที่ชื่อว่า ดันเฟิร์มลิน ... นี่คือทีมและลีกที่มีมาตรฐานต่ำลงกว่าเดิมไม่น้อยเลยทีเดียว

การเล่นใน สกอตแลนด์ นั้นง่ายมากสำหรับ บัมบา เขาเล่นให้ ดันเฟิร์มลิน ปีแรกก็ได้รับรางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสโมสร จากนั้น ฮิเบอร์เนี่ยน ทีมที่ใหญ่กว่าเดิมในลีกซื้อตัวเขาไปร่วมทีม ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่พอเริ่มดังเขาก็มีปัญหากับโค้ชอีกเเล้ว...

 

บัมบา ติดทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ไปเล่นในฟุตบอลโลกปี 2010 และฟอร์มก็แกร่งจนทีมอย่าง ฟูแล่ม และ แรนส์ ให้ความสนใจ ปัญหาคือหลังจากที่เริ่มมีชื่อเสียงเขาก็อยากจะย้ายทีมและต่อต้านสโมสรด้วยการมีปัญหาเรื่องพฤติกรรม เช่นการไม่ไปรายงานตัวกับทีมชุดพรีซีซั่น โดยเขาอ้างว่าเขาควรจะได้พัก 3 สัปดาห์เต็ม ๆ หลังกลับมาจากฟุตบอลโลก เขาเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาประธานสโมสรด้วย ทว่าทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า "เขาขาดความรับผิดชอบ" จนกระทั่งโดนสั่งให้ไปซ้อมกับทีมเยาวชน 

นี่คือช่วงเวลาวัยรุ่นของเขาที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายต้องย้ายทีมเป็นว่าเล่น แต่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปหลังจากนี้หลังจากเข้าร่อนเร่และมาลงเอยกับสโมสรในอังกฤษ ที่ที่เขาถูกเปรียบเทียบกับยอดกองหลังของโลกถึงสองคนนั่นคือ ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ ตำนานทีมชาติเยอรมัน และ เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ในแบบที่ใครฟังก็ไม่อยากจะเชื่อ

ฟาน ไดจ์ค ... ระดับแชมเปี้ยนชิพ 

ว่ากันว่าคนเราเมื่อโตขึ้นก็จะสามารถเรียนรู้จากสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำได้ด้วยคำว่าประสบการณ์ ตัวของ บัมบา เองก็ไม่น่าจะต่างกันนัก ปัญหาต่าง ๆ ของเขาเริ่มหมดไป เมื่อเขาพ้นจากการเป็นนักเตะดาวรุ่งและถึงเวลาที่ต้องเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเสียที

 

มันเป็นเรื่องที่น่าตลกกับกองหลังที่ผ่านประสบการณ์พรีเมียร์ลีกไม่กี่เกมอย่างเขาที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับยอดนักเตะในแนวรับอย่าง เบคเคนบาวเออร์ และ ฟาน ไดจ์ค แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองคนที่เอาเขามาเปรียบเทียบอย่าง สเวน โกรัน อีริคส์สัน และ นีล วอร์น็อค ต่างพูดตรงกันนั่นคือวิธีการเล่นของ บัมบา ที่เป็นกองหลังที่เน้นการอ่านทางบอล รวมถึงการออกบอลสั้นยาวได้ดี 

โดย อีริคส์สัน ที่ดึงตัว บัมบา มาจาก ฮิเบอร์เนี่ยน ในสมัยที่เขาคุมทีม เลสเตอร์ ได้บอกว่า "ตลอดชีวิตผมได้ซื้อตัวนักเตะดี ๆ สร้างดีลเจ๋ง ๆ มามากมาย แต่สำหรับ บัมบา นั้นผมยกให้เป็นหนึ่งในยอดดีลเลย ถ้าเขายังเล่นได้เยี่ยมแบบนี้จะเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมาก ๆ"

"เขาเป็นกองหลังที่เล่นด้วยความมั่นใจแต่บางครั้งก็มากเกินไปหน่อย ผมยอมรับว่าผมหัวใจจะวายเวลาที่เขาพยายามทำตัวเหมือนกับเป็นเบคเคนบาวเออร์  แต่โชคดีที่เขาก็ไม่ได้พลาดอะไร ที่สุดเเล้วเขายังยอดเยี่ยมมากเหมือนเดิม" อีริคส์สัน พูดถึง บัมบา ตอนอายุ 26 ปี 

ขณะที่อีก 3 ปีให้หลัง บัมบา ก็ย้ายไปอยู่กับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ที่กำลังมีลุ้นเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก ตอนนั้นกุนซืออย่าง นีล วอร์น็อค ชอบใจมากที่มี บัมบา เป็นผู้นำในเกมรับ เขาชอบสั่งการ ชอบเข้าปะทะ และจ่ายบอลสั้นยาวได้ดีเหมือนกับที่ อีริคส์สัน บอก แม้ตัว วอร์น็อค จะชม บัมบา ผ่านสื่อหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่เป็นไวรัลเท่ากับตอนที่เขานำไปเปรียบเทียบกับ เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค เมื่อปี 2017 ตอนที่ ฟาน ไดจ์ค ย้ายจาก เซาธ์แฮมป์ตัน ไปอยู่กับ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์อีกแล้ว

 

"ผมคิดว่า ฟาน ไดจ์ค เข้าปะทะและเล็งที่ลูกฟุตบอลได้ดีกว่า โซล บัมบา แต่ผมไม่คิดว่าเขาเป็นกองหลังที่ดีกว่า บัมบา มากมายหรอกนะ" วอร์น็อค กล่าว

"เอาตรง ๆ รวม ๆ กันแล้ว บัมบา เก่งกว่า ฟาน ไดจ์ค ในแง่ของการเล่นเกมรับ ผมคิดว่า ฟาน ไดจ์ค มีความมั่นใจสูง ท่าทีสง่า แต่ภาพรวมเกมรับของทั้งคู่ไม่ได้แตกต่างกันมากมายนัก” 

"จริง ๆ แล้วผมเคยอยากซื้อ ฟาน ไดจ์ค ตอนที่ผมคุมทีมคริสตัล พาเลซ ตอนนั้นเรากำลังจะซื้อเขาได้ที่ 6 ล้านปอนด์ แต่หัวหน้าแมวมองก็บอกผมว่าเขาเร็วไม่พอและไม่คิดว่าเขาจะเก่งกาจได้มากกว่าสมัยที่เล่นอยู่ในลีกสกอตแลนด์ ตอนนี้ไอ้หัวหน้าแมวมองคนนั้นคงหงายท้องไปแล้ว เมื่อเห็นราคาค่าตัวปัจจุบันของ ฟาน ไดจ์ค ที่มีราคา 75 ล้านปอนด์แบบนี้!"

โอเคล่ะ เขาไม่ใช่กองหลังที่ดีขนาดทั้งสองคนนั้น และห่างไกลหลายขุมเท่าที่พวกเรารู้และทราบกันผ่านการดูการถ่ายทอดสดหรืออ้างอิงด้วยสถิติต่าง ๆ แต่ บัมบา ก็คือ บัมบา การเล่นในลีกรองถือเป็นของชอบของเขา เขาเก่งในระดับนี้ และหากจะพูดให้ถูกคือเขาเป็น ฟาน ไดจ์ค ในเวอร์ชั่น แชมเปี้ยนชิพ คงจะถูกต้องกว่า  

ซึ่งข้อนี้แม้แต่ตัวของ บัมบา เองก็รู้ดี เขาเคยออกมาพูดแบบเขิน ๆ และติดตลกหลังจากโดนสื่อถามว่าสิ่งที่ วอร์น็อค พูดมานั้นจริงหรือไม่ และ บัมบา ก็ยอมรับว่า "มันจะไปจริงได้ยังไงล่ะครับพี่ ... ผมว่าเขาก็พูดเกินไป และเอาตรง ๆ ผมก็ไม่เคยคิดแบบนั้นเลย ไม่มีทาง" บัมบา หัวเราะชอบใจที่ได้ตอบคำถามนี้

ชัยชนะในตอนจบ 

บัมบา นั้นแก่กว่า ฟาน ไดจ์ค อยู่ 6 ปี แน่นอนว่าตอนนี้ทุกอย่างกระจ่างชัดแล้ว ฟาน ไดจ์ค ทิ้งเขาเป็นทุ่งในแง่ของฝีเท้าและความสำเร็จ แต่อย่างน้อย ๆ ก็ใช่ว่า บัมบา จะไม่มีเคยมีเรื่องน่าประทับใจให้กล่าวถึงเลยในอาชีพค้าแข้ง แม้เขาจะไม่เคยชนะและเป็นแชมป์กับสโมสรไหน ทว่าเขาชนะในเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ... นั่นคือเกมชีวิต 

ปัญหาของ บัมบา เริ่มขึ้นหลังจากที่เขากลายเป็นคัลต์ฮีโร่ (Cult Hero : นักเตะที่อาจไม่ได้เก่งหรือโดดเด่นระดับลีกหรือระดับโลก แต่เป็นที่รักของแฟน ๆ ประจำสโมสร) ของแฟน ๆ คาร์ดิฟฟ์ และควรจะได้แขวนสตั๊ดไปกับทีม ๆ นี้ ทว่าช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น ในปี 2020 เขาในวัย 36 ปีถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด นอน-ฮอดจ์กิน (Non- Hodgkin's lymphoma) ซึ่งเป็นมะเร็งชนิดหนึ่งที่เกิดในระบบน้ำเหลือง ผู้ป่วยมักจะมีอาการบวมบริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ หรือส่วนอื่นของร่างกายที่มีต่อมน้ำเหลือง

ไม่ว่าจะเป็นคนใจใหญ่แข็งแกร่งขนาดไหน แต่เมื่อถูกตรวจพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งรับรองได้เลยว่ามีผลกระทบทางจิตใจแทบทั้งสิ้น บัมบา เองก็เช่นกัน เขาเล่าว่ากว่าเขาจะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับทุกคนได้ก็ต้องใช้เวลาถึง 2 -3 วัน ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่เขาไม่ทันตั้งตัว

"ผมเเข็งแรงดีมาตลอดชีวิต ผมเล่นฟุตบอลอย่างตั้งใจ แล้วจู่ ๆ ผมก็พบว่าตัวเองแม่งอ่อนแอชะมัด แล้วมันก็เอาแต่แย่ลงเรื่อย ๆ" 

"กว่าจะยอมรับความจริงได้ก็ผ่านไป 2-3 วันแล้ว ... ผมเองก็เป็นมนุษย์เหมือนกับทุก ๆ คนนั่นแหละ เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นผมตัดสินใจที่ออกห่างจากฟุตบอลและรักษาตัวเองให้ดีก่อนเป็นอันดับแรก" บัมบา กล่าว

"แต่ก่อนสิ่งที่ผมไม่ชอบที่สุดคือการต้องให้ใครมาสงสารหรือเห็นใจ เพราะผมคิดว่าคนอย่างผมแข็งแกร่งพอที่จะยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง แต่ความจริงก็คือเวลาเกิดเรื่องใหญ่แบบนั้นคุณไม่มีทางผ่านมันไปได้ง่าย ๆ ถ้าไม่มีคนรอบข้างที่เข้าใจและให้กำลังใจคุณ"

บัมบา บอกเรื่องนี้กับทุกคนรอบตัวของเขา และยืนยันว่าเขาจะเริ่มเข้ารักษาอย่างจริงจัง ภรรยาของเขายืนหยัดเคียงข้างเขา เพื่อนนักเตะทุกคนร่วมส่งกำลังใจ แฟนบอลของ คาร์ดิฟฟ์ หลังได้รู้ข่าวก็เช่นกัน นี่คือช่วงเวลาที่ บัมบา รู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุดในโลก ไม่ต้องเก่งเหมือน เบคเคนบาวเออร์ ไม่ต้องเจ๋งเหมือนกับ ฟาน ไดจ์ค แต่เขาก็ได้มาอยู่ในที่ ๆ เขาเป็นคนเก่งของทุกคนรอบข้างแล้ว

"เมื่อถึงเวลาแบบนั้น การที่เราจะไปข้างหน้าได้คนรอบข้างสำคัญมาก ใบหน้าของแต่ละคนที่สโมสรและคนในครอบครัวช่วยผมได้เยอะเลย ฌอน มอร์ริสัน (กัปตันทีมของคาร์ดิฟฟ์) เป็นตัวแทนของทีมเดินเข้ามาคุยกับผมในวันที่ผมประกาศข่าวนี้ เขาบอกว่า 'ไปรักษาตัวซะ เราเชื่อว่าแกทำได้เพราะเรารู้ว่าแกคือใครและรู้ว่าแกแข็งแกร่งแค่ไหน แกผ่านมันได้แน่นอน ... เชื่อไหมผมน้ำตาแตกเลย ผมตอบเขากลับไปว่า 'รอหน่อยเพื่อน เดี๋ยวฉันจะกลับไปในที่ที่ฉันเคยอยู่" 

11 เดือนผ่านไป ครอบครัวและผู้คนที่เกี่ยวข้องกับสโมสรก็ได้รับข่าวดี โซล บัมบา ในวัย 36 ปี ไม่พบเชื้อมะเร็งในตัวอีกเเล้ว เขากลับมาและพร้อมลงสนามในเดือนพฤศจิกายน ปี 2021 ในเกมที่ คาร์ดิฟฟ์ พบกับ ร็อตเตอร์แฮม 

เขาเล่าว่าร่างกายของเขาหายเร็วกว่าที่เขาคาดคิดอย่างน่าเหลือเชื่อ โดยช่วงหนึ่งของการป่วยเขาไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นมานั่งดูทีวีด้วยซ้ำ แต่บทมันจะดีทุกอย่างก็ดีอย่างน่าใจหาย เขากลับมาเดินเล่น ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ เรื่อยมาจนกระทั่งถึงการลงซ้อมและกลับมาเตะฟุตบอลอีกครั้ง พร้อมกับการต้อนรับที่อบอุ่นจากแฟน ๆ 

ในวัย 37 ปี ไม่มีใครคิดว่าเขาจะไปไหวในเกมระดับสูง คาร์ดิฟฟ์ เองก็เห็นว่าถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะต้องแยกทางกัน บัมบา เองก็มองตัวเองและคิดว่าถึงเวลาเเล้วที่เขาจะหันไปเรียนโค้ชและเอาจริงเอาจังในด้านนี้ ทว่าอยู่ดี ๆ เขาก็ได้รับโทรศัพท์จาก นีล วอร์น็อค อดีตโค้ชคู่ใจที่เปรียบเทียบเขากับ ฟาน ไดจ์ค เนื้อความที่คุยกันคือ วอร์น็อค อยากจะได้ บัมบา มาร่วมงานกันอีกครั้งที่สโมสร มิดเดิลสโบรห์ โดยเริ่มจากการทดสอบฝีเท้าก่อน 

“คนเดียวที่สามารถช่วยผมได้จริง ๆ คือเจ้านายนี่แหละ เมื่อผมมาที่ มิดเดิลสโบรห์ ครั้งแรกผมไม่ได้ต้องการเซ็นสัญญา จริง ๆ แล้วผมแค่ต้องการสถานที่ฝึกซ้อมเพราะผมไม่อยากทำคนเดียว ทว่านับตั้งแต่นาทีที่ผมมา เด็ก ๆ ในทีมก็เยี่ยมมาก ผมทำดีที่สุดแล้ว และคิดว่าผมมีโอกาสได้รับสัญญา” บัมบา กล่าว  

เขาเข้าคุยกับ วอร์น็อค อีกครั้งอย่างจริงจัง ก่อนข้อเสนอจากนายเก่าจะมีอยู่ว่า "ผมไม่สามารถรับประกันว่าคุณจะได้ลงเล่นทุกเกม แต่ผมรู้ว่าคุณเล่นไหวแน่นอน ผมจะเสนอสัญญา 1 ปีให้กับคุณ ได้โปรดรับมันเถอะนี่คือข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับผม คุณ และทีม" วอร์น็อค บอกเช่นนั้น ก่อนที่ บัมบา จะตกปากรับคำ

คุณไม่มีทางคาดคิดได้เลยว่าชีวิตของเราจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์บ้าง ตัวของ บัมบา ที่เตรียมจะแขวนเกือกตัดสินใจรับสัญญา 1 ปีกับ เดอะ โบโร่ และ วอร์น็อค ก็เชื่อใจเขามากจนถึงขั้นให้ให้โอกาสลงสนามถึง 20 เกมในฤดูกาล 2021-22 และ บัมบา ก็ตอบกลับความไว้วางใจที่ วอร์น็อค มอบให้อย่างเต็มที่ ด้วยการมีส่วนสำคัญพาทีมคว้าตั๋วชิงโควตาเพลย์ออฟเพื่อขึ้นสู่ลีกสูงสุด นอกจากนี้ยังเป็นกำลังสำคัญที่พา มิดเดิลสโบรห์ คว่ำทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ในเกม เอฟเอ คัพ ได้ถึง 2 รอบติดต่อกัน  

การเปรียบเทียบ บัมบา กับนักเตะอย่าง ฟาน ไดจ์ค อาจจะเป็นเรื่องตลกของใครหลายคน แต่สำหรับ นีล วอร์น็อค แล้ว บัมบา คือนักเตะที่เขาเชื่อใจและมั่นใจในฝีเท้าเหมือนกับที่ เยอร์เกน คล็อปป์ ไว้ใจ ฟาน ไดจ์ค  

ที่สุดแล้วตัวของ บัมบา อาจจะไม่ได้มีแชมป์ใหญ่หรือชัยชนะสำคัญที่โลกฟุตบอลต้องจดจำ แต่ชีวิตคนเราจะมีอะไรน่ายินดีไปกว่าการมีผู้คนรอบข้างที่คอยหนุนหลังในวันที่เราไร้กำลังใจหมดแรงไปต่อ ... เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับ โซล บัมบา นี่คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขา มันคือชัยชนะของชีวิตคนอย่างแท้จริง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook