ซ้อมหนักจนอาเจียน : กว่าจะเป็น “ภูริพล บุญสอน” นักวิ่งมหัศจรรย์วัย 16 ปี
สถิติวิ่ง 100 เมตรของประเทศไทย ที่คงอยู่มายาวนานกว่า 24 ปี ได้ถูกทำลายลงเป็นที่เรียบร้อยด้วยฝีเท้าของเด็กหนุ่มอายุเพียงแค่ 16 ปี และไม่เพียงแค่อีเวนท์เดียวแต่เด็กคนนี้ยังทำลายสถิติประเทศไทยในระยะ 200 เมตรได้อีกในวันถัดมา
การทำลายสถิติ 2 รายการติดต่อกันได้กลายเป็นปรากฏการณ์และทำให้คนไทยทั้งประเทศได้รู้จัก “บิว” ภูริพล บุญสอน นักวิ่งดาวรุ่งมหัศจรรย์เจ้าของผลงานดังกล่าว จนถูกยกให้เป็นดาวจรัสแสงแห่งวงการกรีฑาไทยคนใหม่
ความมหัศจรรย์ของเด็กหนุ่มวัย 16 ปีรายนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ติดตามได้ที่ Main Stand
นักวิ่ง 100 เมตรที่เร็วที่สุดในประเทศไทย
เช้าวันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 2565 อาจเป็นวันหยุดพักผ่อนของใครหลายคน บางคนอาจปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรให้น่าจดจำ แต่ไม่ใช่กับ “บิว” ภูริพล บุญสอน นักวิ่งหนุ่มวัย 16 ปี เพราะวันนี้จะเป็นวันที่เขาต้องจดจำมันไปชั่วชีวิต
เช้าวันนั้นภูริพลมีภารกิจสำคัญต้องลงแข่งขันศึกวิ่ง 100 เมตรชายรอบคัดเลือก ให้กับบ้านเกิดของตัวเองทีมจังหวัดสมุทรปราการ ในมหกรรมกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 47 หรือ “ศรีสะเกษเกมส์” ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์กีฬาระดับท็อปของประเทศไทยที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมชิงชัย โดยไม่จำกัดว่าคุณจะเป็นนักกีฬาดีกรีทีมชาติหรือเป็นเพียงนักกีฬาสมัครเล่น
Photo : FB/Bew Puripol
ใจของเขาเต้นรัวเหมือนมีคนมารัวกระเดื่องกลองอยู่กลางอก เพราะนี่คือรายการที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตที่เจ้าตัวเคยลงแข่งขัน ซึ่งที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะแข่งในรายการระดับโรงเรียนและกีฬากรมพลศึกษาเสียมากกว่า หนำซ้ำคนที่อยู่ลู่ข้าง ๆ ยังเป็นรุ่นพี่นักวิ่งดีกรีทีมชาติไทยอย่าง “ใบพัน” ศิริพล พันธ์แพ ซึ่งเป็นไอดอลของตัวเองที่มาลงแข่งขันในนามจังหวัดสุราษฎร์ธานี อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้จะตื่นเต้นขนาดไหนแต่บิวยังคงยิ้มสู้ เด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดสีดำติด BIB หมายเลข 1091 ก้าวลงสู่สนามกรีฑา มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ สังเวียนที่ใช้แข่งขันอย่างไร้ความกดดัน เพราะการเดินทางมาแข่งขันครั้งนี้เขาไม่ต่างจากนักวิ่งดาวรุ่งที่ยังไร้ชื่อเสียง โดยหวังแค่เพียงมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์พร้อมทำผลงานออกมาให้ได้ดีที่สุด และแอบหวังเล็ก ๆ ว่าจะมีลุ้นได้เหรียญรางวัลติดมือกลับบ้านสักเหรียญ
ทว่าทุกอย่างกลับดีเกินคาด … บิวสามารถสร้างเซอร์ไพรส์เค้นฝีเท้าเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 ของรอบคัดเลือกฮีตแรก ด้วยเวลา 10.31 วินาที ซึ่งถือเป็นเวลาที่เทียบเท่ากับสถิติกีฬาแห่งชาติที่ “มิ้ว” จิระพงศ์ มีนาพระ อดีตลมกรดทีมชาติไทยเคยทำไว้เมื่อปี 2557 และนั่นทำให้เขาเริ่มมองถึงเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นกว่าการแค่มาหาประสบการณ์แล้ว
“ตอนแรกก็ตื่นเต้นมากเลยครับ ผมแอบหวังแค่ติด 1 ใน 3 ได้ก็ดีใจแล้ว ก่อนรอบคัดเลือกก็วอร์มเบา ๆ เน้นวิ่งอัดแค่ 2-3 เที่ยวแล้วรอแข่งเลย พอแข่งจริงสามารถทำเวลาได้ดีมาก ๆ ทำให้เราคิดว่าในรอบชิงฯ น่าจะทำเวลาได้ต่ำกว่านี้อีก เพราะรอบคัดเลือกผมอัดแค่ช่วงต้น พอช่วงปลายก็เป็นจังหวะก้าวไปเรื่อย ๆ” บิว กล่าวถึงความมั่นใจ
ผลงานดังกล่าวทำให้บิวผ่านเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศในช่วงเย็นวันเดียวกัน ในเวลานั้นเขาไร้ซึ่งความตื่นเต้นในจิตใจแล้ว พร้อมเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อที่เต้นสูบฉีดกระหายที่จะโชว์ฟอร์มต่อเนื่องแทน ซึ่งในรอบไฟนอลเด็กหนุ่มต้องฟาดฟันกับสตาร์รุ่นพี่ดีกรีทีมชาติที่ผ่านเข้ารอบมาเช่นกัน โดยนอกจาก “ใบพัน” ศิริพล พันธ์แพ แล้วยังมี “แม็ค” ณัฐพงศ์ วีระวงศ์รัตนศิริ และ “ไอซ์” ชยุตม์ คงประสิทธิ์ เจ้าของเหรียญทองซีเกมส์ 2019 ระยะ 200 เมตร
แม้เป็นนักวิ่งที่แทบจะไม่มีใครรู้จัก แต่ทันทีที่สัญญาณปล่อยตัวดัง บิวกลับสามารถสร้างเซอร์ไพรส์ได้อีกครั้งด้วยการระเบิดฝีเท้านำเดี่ยวตั้งแต่ออกสตาร์ทจนเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกได้สำเร็จ และเหนืออื่นใดก็คือเวลาบนสกอร์บอร์ดที่หยุดไว้ที่ “10.19 วินาที” เป็นเวลาที่เร็วที่สุดที่นักวิ่งไทยเคยทำได้
เวลาดังกล่าวได้ทำลายสถิติประเทศไทยของ เหรียญชัย สีหะวงษ์ อดีตนักวิ่งทีมชาติไทยชื่อดัง ที่ทำไว้ด้วยเวลา 10.23 วินาที ในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ปี 2541 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพลงอย่างราบคาบ … วินาทีนั้น “ภูริพล บุญสอน” ได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นนักที่เร็วที่สุดของประเทศไทยในระยะ 100 เมตร
“ตอนเข้าเส้นชัยมองเวลาตอนแรกเห็นแค่เวลา .21 ก็ช็อกไปแป๊ปนึง ตอนนั้นก็ดีใจแล้วรู้ว่าตัวเองทำลายสถิติประเทศไทยได้ แต่ไม่คิดว่าจะลงมาถึง .19 ได้ มันเป็นอะไรที่ภูมิใจมาก ไม่คิดว่าจะทำได้ เพราะมันยากมาก ที่ผ่านมาก็ไม่เคยทำเวลาได้เท่านี้มาก่อน” บิว เผย
สถิติที่คงอยู่มายาวนานกว่า 24 ปี ได้ถูกพังทลายลงอย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อนด้วยฝีเท้าของเด็กหนุ่มอายุเพียงแค่ 16 ปี แน่นอนว่ามันคือปรากฏการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ และทุกอย่างไม่ใช่เรื่องแค่บังเอิญ เพราะวันถัดมาเขาได้ย้ำให้คนทั้งประเทศได้เห็นอีกครั้งว่าตัวเองคือของจริง
ตอกย้ำความมหัศจรรย์
หลังจากทำลายสถิติประเทศไทยในระยะ 100 เมตรลงได้ ชื่อของ “บิว” ภูริพล บุญสอน ได้กลายเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศเพียงชั่วข้ามคืน หลายคนเข้ามาร่วมแสดงความดีใจพร้อมเอาใจช่วยเป็นกำลังใจให้กับเจ้าตัว แต่ก็มีบางส่วนที่มองว่าสถิติที่ทำได้อาจเป็นเพียงความบังเอิญที่เกิดขึ้น
ภูริพลไม่สนใจเสียงนกเสียงกา เขาไม่หลงระเริงไปกับคำชมและความสำเร็จที่ได้รับ แต่ยังคงมุ่งมั่นมีสมาธิเพื่อเตรียมพร้อมลงแข่งขันในรายการต่อไปของตัวเองในระยะ 200 เมตร ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นระยะที่ถนัดน้อยกว่า เพราะรู้สึกว่าช่วงเข้าโค้งยังทำได้ไม่ดีนัก
และในที่สุดเขาก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด โดยในรอบคัดเลือก สามารถเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกของฮีต 1 ด้วยเวลา 21.39 วินาที ก่อนลงชิงชัยในรอบชิงชนะเลิศช่วงเย็นวันเดียวกัน
Photo : FB/Bew Puripol
“เวลาที่ทำได้ตอนรอบคัดเลือกก็พอใจมาก ๆ แล้ว พอรอบชิงฯ มีอาการตึง ๆ ตรงแฮมสตริงเล็กน้อย ตอนแรกยังคิดว่าจะวิ่งไม่ได้ กล้วจังหวะกระชากแล้วกล้ามเนื้อจะกระตุก เลยมีความกังวลนิดนึง แต่พอออกตัวแล้วรู้สึกว่าโอเคเลยวิ่งได้เต็มที่” บิว เผย
แม้จะไม่ใช่ระยะที่ถนัดที่สุด แม้จะมีอาการเจ็บให้กังวล แต่เขาก็สามารถสร้างความมหัศจรรย์อีกครั้งด้วยการเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกคว้าเหรียญทองไปครองได้สำเร็จ พร้อมยังทำลายสถิติประเทศไทยได้อีกหนึ่งรายการด้วยเวลา 20.58 วินาที ซึ่งสถิติเดิมที่ทำไว้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นของเหรียญชัยที่เคยทำไว้ 20.69 วินาที ในศึกซีเกมส์เมื่อปี 2542 นั่นเอง
นาทีนี้ไม่มีใครสงสัยในความสามารถของเขาอีกแล้ว บิวก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าความเร็วคนใหม่ของเมืองไทยอย่างสมศักดิ์ศรี
แม้วันต่อมาเขาจะมีอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อจากความล้าที่สั่งสมมาจากการกรำศึกหนัก 2 วันติดต่อกันจนไม่สามารถลงแข่งขันในรายการสุดท้ายวิ่งผลัด 4 x100 เมตรได้ก็ตาม แต่การทำลายสถิติประเทศไทยทั้ง 2 รายการก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นแล้วถึงความมหัศจรรย์ของเจ้าตัว
ความมหัศจรรย์ที่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่ล้วนเกิดจากพรสวรรค์และพรแสวงที่ลงตัว … เชื่อว่าถึงจุดนี้หลายคนคงอยากรู้แล้วว่าชีวิตของเด็กคนนี้ผ่านอะไรมาบ้างแล้วปัจจัยอะไรที่ทำให้เขาวิ่งได้เร็วขนาดนี้
ฝึกหนักจนอ้วก
“น่าจะเป็นพรสวรรค์และการฝึกซ้อมด้วย” บิว เผยถึงที่มาของความสำเร็จของตัวเอง
Photo : FB/Bew Puripol
เขาอาจเป็นคนพูดน้อยและอธิบายไม่ถูกว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้เขาสร้างปรากฏการณ์ถึงขั้นทำลายสถิติประเทศไทยได้ 2 รายการติดต่อกัน เพราะส่วนตัวเขาแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองฝึกซ้อมเหมือนนักกีฬาคนอื่นทั่วไป มีหนักบ้าง เบาบ้าง ไม่มีอะไรพิเศษ แต่หากย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่เขาต้องฝ่าฟันมา เราอาจจะได้เห็นถึงที่มาของความมหัศจรรย์นี้ไม่มากก็น้อย
ภูริพลเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่รักและให้การสนับสนุนด้านกีฬาเป็นอย่างดี คุณพ่อและคุณแม่ของเขาล้วนเคยเป็นนักกีฬาระดับโรงเรียนมาก่อน โดยคุณพ่อสมควรเคยเป็นนักกรีฑา ขณะที่คุณแม่สุภาวดีก็เคยเป็นนักวอลเลย์บอล ดีเอ็นเอความเป็นนักกีฬาของทั้งคู่จึงถูกส่งต่อมาในสายเลือดของลูกชาย
พรสวรรค์ในการเป็นนักวิ่งของบิวเริ่มฉายแววตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ป.2 ที่โรงเรียนเซนต์ราฟาแอล จังหวัดสมุทรปราการ โดยเป็นอาจารย์ธนกฤต ศรีวัฒนา ครูผู้เป็นโค้ชกรีฑาของโรงเรียนที่เห็นแววของเจ้าตัวตอนวิ่งแข่งเล่นกับเพื่อนบนตึกเรียน ก่อนจะชักชวนมาฝึกซ้อมพร้อมส่งแข่งขันจนคว้าแชมป์มากมายในการแข่งขันกรีฑาระดับนักเรียนประจำจังหวัด
Photo : FB/Bew Puripol
ด้วยฝีเท้าที่รุดหน้าเกินเด็กรุ่นเดียวกัน อาจารย์ธนกฤตจึงพาเจ้าตัวย้ายไปเรียนต่อที่โรงเรียนอัสสัมชัญสมุทรปราการ ตอนอายุ 10 ขวบ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขัดเกลาและพัฒาฝีเท้าโดยมี “โค้ชอ๊อด” วัฒนา แสงสุวรรณ ที่เป็นโค้ชกรีฑาของโรงเรียนเป็นผู้ดูแล
ภายในรั้วขาว-แดงแห่งนี้ บิวได้เรียนรู้เทคนิคการวิ่งตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน แม้จะไม่ใช่โรงเรียนกีฬาที่คัดเลือกเด็กที่มีความสามารถอยู่แล้วเข้าปลุกปั้นโดยเฉพาะ แต่ด้วยความเอาใจใส่ของอาจารย์วัฒนาทำให้เขาถูกฝึกฝนในระดับที่ไม่ต่างกัน
ตัวอาจารย์วัฒนาเองในวัยเด็กก็เคยเป็นนักกรีฑามาก่อนแต่ต้องพับความฝันไปเพราะไม่มีโค้ชคอยสอนและสนับสนุนอย่างจริงจัง จึงตัดสินใจผันตัวมาเป็นครูเพื่อผลักดันเด็กที่ขาดการสนับสนุน โดยมีเป้าหมายคือการใช้กีฬาเป็นใบเบิกทางในการเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับเด็กที่บางคนอาจไม่ได้เก่งเรื่องวิชาการมากนัก
Photo : FB/Bew Puripol
“จุดยืนของผมคือนักกีฬาต้องไม่ขาดซ้อม ฝนจะตก ฟ้าจะร้องยังไงก็ไม่หยุดซ้อม หยุดแค่วันอาทิตย์วันเดียวต่อสัปดาห์” อาจารย์วัฒนา กล่าวอย่างจริงจัง
อาจารย์วัฒนาได้ขัดเกลาบิวและทีมนักวิ่งกว่า 20 คนของโรงเรียนอย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่การสร้างความแข็งแรงของร่างกายก่อนด้วยการ วิ่ง วิดพื้น วิดพื้นค้าง ควบคู่กับการเบสิคพื้นฐาน เช่น การยกเข่าต่ำ ยกเข่าสูง
เมื่อสรีระร่างกายแข็งแรงและมีเบสิคแล้วจากนั้นจึงเริ่มฝึกความเร็วและความคล่องตัวทั้งท่าทางการวิ่ง สเต็ปเท้า การฝึกก้าวยาว การยกสะโพก การแกว่งแขน ตลอดจนการฝึกระบบหายใจ โดยวางโปรแกรมฝึกซ้อมวันละ 2 ครั้ง ช่วงเช้า 06.00-07.00 น. และเย็น 17.00-19.00 น.
ขณะที่ทุกวันเสาร์แม้จะเป็นวันหยุดแต่ก็ยังไม่หยุดซ้อม นักกีฬาจะต้องนั่งรถไปฝึกซ้อมที่สนามกีฬากลางของจังหวัดเพื่อให้เกิดความคุ้นชินกับสนามที่ได้มาตรฐาน โดยต้องนั่งรถไป-กลับเที่ยวละเกือบชั่วโมง นอกจากนี้ยังส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันในรายการต่าง ๆ ทั้งรายการของกรมพลศึกษา และกีฬาเยาวชนแห่งชาติ อย่างต่อเนื่อง
Photo : FB/Bew Puripol
“ตอนแรกที่เข้ามาบิวตัวเล็กมาก เรื่องสรีระไม่ใช่จุดเด่นแน่นอน แต่เขามีพรสวรรค์อยู่แล้ว บวกกับมีพรแสวง มีความมุ่งมั่น มีระเบียบวินัย ไม่เคยขาดซ้อมเลยถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ทำให้ก้าวขึ้นมาอยู่จุดนี้ เขาแสดงให้เห็นตั้งแต่เด็ก เวลาวิ่งมีความคล่องตัวและเท้ามีความไวมาก เวลาวิ่งกับเด็กในวัยเดียวกันก็ทิ้งขาด เหมือนเขาอายุ 12 ขวบ มาแข่งกับเด็ก 10 ขวบ ทั้งที่อายุเท่ากัน เหมือนตอนนี้ที่อายุแค่ 16 ปี แต่สามารถสู้ในระดับประชาชนได้สบาย” อาจารย์วัฒนา พูดถึงลูกศิษย์คนเก่ง
ขณะที่ตัวบิวเองหลังจากได้ก้าวสู่วงการวิ่งอย่างจริงจังก็เริ่มมีสนุกกับมันมากขึ้นเรื่อย ๆ เขามุ่งมั่นฝึกซ้อมจนได้รับการคัดเลือกเข้าสู่โครงการสปอร์ตฮีโร่ โครงการพัฒนานักกีฬาท้องถิ่นของการกีฬาแห่งประเทศไทยตั้งแต่อายุ 11 ปี ซึ่งนับเป็นการจุดประกายความฝันของเจ้าตัวสู่การติดทีมชาติไทยเลยก็ว่าได้
“จากที่ตอนแรกวิ่งเพราะสนุก พอได้เข้าโครงการสปอร์ตฮีโร่ผมก็เริ่มคิดแล้วว่าไปทางนี้ได้ หลังจากนั้นผมก็ซ้อมหนักขึ้นเลย บางวันคอร์สหนักจนอ้วกเลยก็มี ยิ่งตอนช่วงฝึกระบบหายใจ ต้องวิ่งจับเวลาระยะ 30-50-70-120 เมตร แล้วตบท้ายด้วยวิ่งระยะไกล 250-300 เมตร ซึ่งทุกรอบจะต้องอัดวิ่งสปีดให้เต็มกำลัง มันเหนื่อยมากเลยนะ บางครั้งก็ต้องวิ่งลากเหล็ก ลากยางรถสิบล้อ เที่ยวละ 50 เมตร วันละ 2-3 รอบ แต่พอฝึกเสร็จผมก็รู้สึกว่ามันช่วยทำให้เร็วขึ้นและช่วยเพิ่มความแข็งแรงช่วงลำตัวด้วย” บิว เผย
Photo : FB/Bew Puripol
ความพยายามของบิวได้มอบรางวัลตอบแทนให้กับเขาด้วยผลงานในสนาม เขาเดินหน้ากวาดแชมป์รายการต่าง ๆ พร้อมทำสถิติส่วนตัวดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นการคว้าเหรียญทอง 100 เมตร ในกีฬากรมพลศึกษา ปี 2563 ด้วยเวลา 10.63 วินาที จนได้ถูกผลักดันเข้าไปร่วมฝึกซ้อมกับสมาคมกรีฑาแห่งประเทศไทย พร้อมได้เรียนรู้เทคนิคเพิ่มเติมจากโค้ชมืออาชีพและรุ่นพี่ทีมชาติทั้งเรื่องการวางเท้า การตีขา ตลอดจนการปรับท่าทางการวิ่ง ก่อนจะจารึกประวัติศาสตร์ในกีฬาแห่งชาติที่ผ่านมา
“ตอนอายุ 12 เขาทำเวลาได้ 11.99 วินาที พอฝึกซ้อมมาเรื่อย ๆ เริ่มฉายแววขึ้นมา จนอายุ 14 ปี แข่งกรมพลศึกษาทำได้ 10.63 วินาที ก่อนที่กรีฑาดาวรุ่งมุ่งเอเชียนเกมส์ ช่วงปลายปี 2564 จะทำได้ 10.24 วินาที ลึก ๆ ตอนนั้นผมเริ่มคิดแล้วว่า ไอเด็กคนนี้ ต่อไปในอนาคตเขาน่าจะทำได้ต่ำกว่า 10 วินาทีแน่นอน” อาจารย์วัฒนา มั่นใจ
เป้าต่อไปทำลายกำแพง 10 วินาที
ถึงวันนี้ภูริพลได้รับการจับตาและถูกคาดหวังจากแฟนกีฬาชาวไทยแล้วว่าเขาคือคนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นดาวจรัสแสงแห่งวงการกรีฑาไทยคนใหม่ ด้วยสถิติที่ทำได้ทั้งในระยะ 100 เมตร 10.19 วินาที และ 200 เมตร 20.58 วินาที
Photo : FB/Bew Puripol
ซึ่งหากวัดกันที่ในระยะ 100 เมตรที่เจ้าตัวเผยว่าเป็นระยะที่ถนัดที่สุดด้วยแล้วถือว่าอนาคตช่างสดใส เพราะเวลาดังกล่าวที่ทำได้นั้นปัจจุบันได้ก้าวข้ามระดับอาเซียนไปแล้ว โดยดีกว่าเจ้าของเหรียญทองซีเกมส์ 2019 อย่าง ฮานาฟี มูฮัมหมัด ไฮคาล จากมาเลเซีย ที่ทำไว้ 10.35 วินาที และและตามหลัง อากุง วิโบโว เจ้าของสถิติอาเซียนจากอินโดนีเซีย เพียง 0.02 วินาทีเท่านั้น (สถิติเอเชีย : ซู ปิง เถียน จากจีน 9.83 วินาที )
และด้วยอายุเพียงแค่ 16 ปี แถมยังมีหน่วยก้านรูปร่างที่ถือว่าเหมาะสม สูง 183 เซนติเมตร น้ำหนัก 70 กิโลกรัม ทำให้ในอนาคตยังมีโอกาสที่จะพัฒนาความสามารถให้สูงขึ้นไปอีก โดยเป้าหมายคือการทำลายกำแพงเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่วิ่งระยะ 100 เมตรได้ต่ำกว่า 10 วินาที
อย่างไรก็ตามก่อนจะถึงวันนั้น ในอนาคตอันใกล้นี้บิวยังมีภารกิจสำคัญรออยู่นั่นก็คือการลงชิงชัยในนามทีมชาติไทยเป็นครั้งแรก ในศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ที่ประเทศเวียดนาม เดือนพฤษภาคม โดยเจ้าตัววางคิวลงแข่งขัน 3 รายการ คือ 100 เมตร 200 เมตร และวิ่งผลัด 4x100 เมตร ซึ่งเจ้าตัวหวังถึงการกวาดเหรียญทองเลยทีเดียว
Photo : FB/Bew Puripol
“ผมคิดว่าจุดเด่นของผมอยู่ที่การตบเท้าได้เร็วกว่าคนอื่น และจังหวะก้าวที่รู้สึกว่าก้าวได้ยาวกว่า แต่ตอนนี้ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องปรับปรุงทั้งเรื่องการออกบล็อกจุดสตาร์ทที่ผมคิดว่าตัวเองยังออกไม่ค่อยดี ท่าทางยังไม่ถูกเท่าไหร่ รวมถึงยังต้องพัฒนาเรื่องกล้ามเนื้อ เล่นเวทเพิ่มความแข็งแรงอีกนิด ผมดูตัวบาง ๆ ไปหน่อย อยากทำให้การวิ่งแข็งแรงขึ้นไปอีก”
“ตอนนี้อยากพยายามทำเวลาให้ดีที่สุด อยากทำให้ต่ำกว่า 10 วินาทีให้ได้ มันคงจะเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก ส่วนความฝันสูงสุดของผมคืออยากไปวิ่งในโอลิมปิกสักครั้ง ถึงไปแล้วจะไม่ได้เหรียญก็เถอะแต่แค่ได้ผ่านเข้ารอบไปวิ่งได้ก็ดีใจแล้ว” บิว ทิ้งท้าย
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ