เชลซี vs ลิเวอร์พูล : 5 ประเด็นก่อนเกม เอฟเอ คัพ 2021/22 รอบชิงชนะเลิศ
การแข่งขัน: ฟุตบอล เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ
วันแข่งขัน: วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม 2022
คิกออฟ: 22:45 น. ตามเวลาประเทศไทย
คู่แข่งขัน: เชลซี พบ ลิเวอร์พูล
สนาม: เวมบลีย์
ถ่ายทอดสด: beIN SPORTS 1
1. กองกลางตัวหลักทั้งสองทีม อาจชวดลงสนาม
ก่อนเกมดูเหมือนว่าจะมีข่าวร้ายสำหรับทั้งสองทีมกับปัญหาผู้เล่นในแดนกลางที่บาดเจ็บและมีโอกาสสูงที่จะลงสนามในเกมนี้ไม่ได้ ด้าน ลิเวอร์พูล ฟาบินโญ ที่เจ็บกล้ามเนื้อต้นขาในเกมที่เฉือนชนะ แอสตัน วิลลา 2-1 เยอร์เกน คล็อปป์ เองก็ออกมายอมรับแล้วว่ามีโอกาสสูงที่มิดฟิลด์ชาวบราซิลรายนี้จะพลาดการลงสนามในสุดสัปดาห์นี้ค่อนข้างแน่นอนแล้ว
ทางฝั่ง เชลซี เป็น มาเตโอ โควาชิช ที่ได้รับบาดเจ็บข้อเท้าในเกมกับ ลีดส์ เมื่อวันพุธที่ผ่านมาก็จะไม่สามารถลงช่วยทีมในเกมนี้ได้เช่นกัน แถมกองกลางคนสำคัญอีกคนอย่าง เอ็นโกโล ก็องเต ก็ส่อแววยังไม่พร้อมลงสนามในคืนวันเสาร์นี้อีกด้วย
2. ซาลาห์ เงียบ ไม่เป็นไร เพราะ ดิอาซ กำลังมา
เรียกได้ว่าฟอร์มดร็อปลงไปดื้อๆ สำหรับตัวความหวังของ ลิเวอร์พูล อย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ 16 นัดหลังรวมทุกรายการ เจ้าตัวยิงไปได้เพียง 3 ประตูเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่แค่ผลงานการถล่มประตูที่หดหายไป แต่ต้องบอกว่าการมีส่วนร่วมกับเกมรวมถึงความมั่นใจก็เห็นได้ชัดว่าลดน้อยลงกว่าช่วงต้นฤดูกาล จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคนเริ่มตั้งความหวังกับ ซาดิโอ มาเน มากขึ้นในช่วงหลัง
อย่างไรก็ตาม คนที่กลายมาเป็นเป็นตัวทีเด็ดให้กับทีมในช่วงที่ ซาลาห์ เงียบๆไปอีกคนหนึ่งก็คือ หลุยส์ ดิอาซ แข้งใหม่ป้ายแดงที่แม้ว่าเพิ่งจะย้ายมาแต่ก็สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นกำลังหลักที่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ของเกมได้ แถมการที่เจ้าตัวลงมาสร้างสรรค์เกมทางกราบซ้าย ทำให้ มาเน ต้องขยับโยกมาเล่นตรงกลางและก็ดูจะประสานงานกันได้เป็นอย่างดี ทำให้คาดว่า คล็อปป์ เองก็คงจะใช้งานทั้งสามคนดังกล่าวเป็นตัวความหวังในการล่าแชมป์ที่สองของฤดูกาลในเกมวันเสาร์นี้
3. เชลซี ก็ไม่น้อยหน้า ลูกากู "คัมแบ็ค"
ก่อนหน้าที่หลายคนคงเห็นตรงกันว่า โรเมลู ลูกากู เตรียมจะขึ้นแท่นเป็นอีกหนึ่งดีลสุดเฟลของ เชลซี ในฤดูกาลนี้ เนื่องจากผลงานอันย่ำแย่ทั้งฟอร์มการถล่มประตูที่หายไปแบบดื้อๆ บวกกับสภาพจิตใจที่ดูเหมือนจะอ่อนไหวต่อแรงกดดันจนทำให้ผลงานในสนามเปลี่ยนแปลงเป็นคนละคน
จนกระทั่งไม่รู้ว่า โธมัส ทูเคิล อัดยาอะไรเข้าไป จู่ๆนับตั้งแต่ขึ้นเดือนพฤษภาคมมา ดูเหมือนว่าความมั่นใจของเขาจะเริ่มกลับมาอีกครั้งจากผลงาน 3 ประตูใน 2 เกมหลังบวกกับการสวมวิญญาณจอมพลังที่สามารถพักบอลเก็บบอลและพลิกบอลเข้าไปยิงได้อย่างแข็งแกร่งตามแบบที่ควรจะเป็นได้อีกครั้ง แน่นอนว่าของกำลังร้อนๆอะไรก็หยุดไม่อยู่ จึงไม่น่าแปลกใจหาก ทูเคิล จะใช้งานดาวเตะชาวเบลเยียมรายนี้เป็นตัวจริงในเกมสุดสำคัญคืนวันเสาร์นี้
4. สถิติที่น่าสนใจของสองกุนซือ
สถิติของสองผู้จัดการทีมเลือดอินทรีเหล็กทั้ง เยอร์เก้น คล็อปป์ และ โธมัส ทูเคิล ที่ก่อนหน้านี้เคยพบกันมาแล้วถึง 18 ครั้งโดย คล็อปป์ เป็นกุนซืออันดับหนึ่งที่ ทูเคิล เคยปะทะด้วยบ่อยที่สุดนับตั้งแต่เริ่มคุม ไมนซ์, ดอร์ทมุนด์, ปารีส แซงต์ แชร์กแมง และ เชลซี ซึ่ง 18 นัดดังกล่าว ทูเคิล เอาชนะไปได้เพียง 3 เกมเท่านั้น ขณะที่ คล็อปป์ เอาชนะไปได้ถึง 10 และเสมออีก 5
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่มาคุม เชลซี ทูเคิล ยังมีสถิติที่ดีในการเจอกับ ลิเวอร์พูล ด้วยการไม่เคยแพ้ในเวลาปกติเลยแม้แต่เกมเดียว ชนะ 1 เสมอ 2 และแพ้ดวลจุดโทษชี้ขาดไปหนึ่งครั้งในเกม คาราบาว คัพ รอบชิงชนะเลิศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
5. อีก 4 เกมที่เหลือของหงส์แดงคือนัดชิงทุกนัด
อย่างที่ทราบกันดีว่า เชลซี เหลือเพียง เอฟเอ คัพ ที่ยังมีลุ้นคว้าแชมป์เพียงรายการเดียวเท่านั้น และแน่นอนพวกเขาจะทุ่มเทสุดชีวิตให้กับเกมๆนี้ได้โดยที่ไม่ต้องกังวลใดๆ เพราะสถานการณ์ในลีก สิงห์บลูส์ต้องการอีกเพียงคะแนนเดียวก็แทบจะการันตี 99.9% ในการไปคว้าตั๋วไปเล่นยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า
แต่ขณะที่หงส์แดง 4 เกมที่เหลือพวกเขาจำเป็นต้องคว้าชัยมาให้ได้เท่านั้น เริ่มจากเกมนัดชิงเอฟเอ คัพ กับ เชลซี ต่อด้วยเกมลีกที่พวกเขายังตาม แมนฯ ซิตี้ อยู่ 3 คะแนน โดยต้องบุกไปเยือน เซาแธมป์ตัน และเปิดบ้านเจอ วูล์ฟแฮมป์ตัน ก่อนจะปิดท้ายในนัดชิงชนะเลิศยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ที่จะพบกับ เรอัล มาดริด ในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ แน่นอนว่าหากพลพรรคหงส์แดงต้องการจะแสดงให้เห็นถึงสปิริตอย่างแท้จริง 4 เกมดังกล่าวจะถือเป็นนัดชิงชนะเลิศในสายตาพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน
- ติดตามผลบอล เอฟเอคัพ ทุกคู่ที่นี่ https://www.sanook.com/sport/program/
- ดูตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก ล่าสุด ได้ที่นี่ https://sport.sanook.com/football/table/premierleague/