5 ประเด็นร้อนก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เรอัล มาดริด พบ ลิเวอร์พูล
ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2021/22 รอบชิงชนะเลิศ
คืนวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2022
เวลาแข่งขัน: 02:00 น. ตามเวลาประเทศไทย
เรอัล มาดริด พบ ลิเวอร์พูล
สนาม: สตาด เดอ ฟรองส์
ถ่ายทอดสด: beIN SPORTS 1
ลิเวอร์พูล รอลุ้น 2 แข้งตัวเก่งฟิตทันลงสนาม
ก่อนหน้านี้ หงส์แดง เจอปัญหาใหญ่ที่อาจส่งผลถึงนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก นั่นคืออาการบาดเจ็บของ 2 มิดฟิลด์ตัวเก่งที่ฟอร์มกำลังร้อนแรงอย่าง ฟาบินโญ ที่เจ็บต้นขามาตั้งแต่หลายสัปดาห์ก่อนซึ่ง คล็อปป์ เองก็จัดการให้ตัวรับชาวบราซิลได้พักอย่างเต็มที่เพื่อหวังว่าจะฟิตเต็มร้อยได้ทันเกมสุดสัปดาห์หน้า
ส่วนอีกรายคือ ติอาโก้ อัลคันทารา ที่มีอาการบาดเจ็บจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกไปในเกมที่พบกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ที่ตอนแรกมีข่าวว่าอาการบาดเจ็บดูจะร้ายแรงและมีโอกาสน้อยที่จะหายทันเกมกับ ราชันชุดขาว แต่ล่าสุดนายใหญ่ชาวเยอรมันออกมาเปรยว่าเขามีอาการดีขึ้นมากแต่ก็จะไม่รีบเข็นลงซ้อมเต็มรูปแบบ แล้วค่อยมาลุ้นกันอีกทีก่อนเกมวันเสาร์ อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล อาจจะไม่มีชื่อของตัวนำโชคอย่าง อิวอค โอริกี้ ที่บาดเจ็บจากการฝึกซ้อมเมื่อสัปดาห์ก่อน
ราชัน กับเส้นทางการคัมแบ็คปาฏิหารย์
แม้ว่าฤดูกาลนี้ เรอัล มาดริด จะสามารถผงาดคว้าแชมป์ ลาลีกา มาครองได้สำเร็จ พร้อมกับผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยการเอาชนะยักษ์ใหญ่ทั้ง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาในรอบก่อน ๆ
แต่หากดูจากภาพรวมและฟอร์มการเล่นดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังไม่สามารถเทียบชั้นกับยุคทองสมัย ซีเนดีน ซีดาน ที่มี คริสเตียโน โรนัลโด้ นำทัพมาพร้อม ๆ กับซุเปอร์สตาร์หลายคนในทีมชุดปัจจุบันที่กำลังอยู่ในช่วงพีคได้ เห็นได้ชัดจากผลงานที่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ได้ไร้เทียมทานอะไรมากมายโดยเฉพาะในรายการนี้ที่รูปเกมตกเป็นรองคู่แข่งทั้งหมด
ตั้งแต่เกมกับ เปแอสเช ที่นัดแรกทีมดังจากลีกเอิงพับสนามบุกอยู่ข้างเดียวและเอาชนะมาได้ 1-0 แถมยังบุกมายิงนำที่สเปนไปก่อน แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นฝ่าย ปารีสฯ เองที่ไม่นิ่งพอหลังจากถูกตีไข่แตกพวกเขาก็เสียสมาธิจนโดนยิงเพิ่มอีก 2 ลูกพ่ายไป 2-3 ต่อมาที่เกมกับ สิงโตนำเงินคราม เกมแรก มาดริด บุกไปถล่มก่อนถึง 3-1
แต่เกมที่ เบอร์นาเบว เป็น เชลซี ที่บุกมายิงนำถึง 0-3 ก่อนที่เจ้าบ้านจะได้ความยอดเยี่ยมของ โรดริโก้ ลงมาเป็นซุเปอร์ซับยิงไล่มาเป็น 1-3 ในช่วงท้ายเกมก่อนที่ เบนเซมา จะมาโขกประตูชัยในช่วงต่อเวลาจนเบียดแซงกลับมาเอาชนะได้อีกครั้ง และล่าสุดกับ แมนฯ ซิตี้ ที่ทีมของ เป๊ป ยิงทิ้งยิงขว้างแต่ก็ยังเอาชนะในเกมแรกมาได้ 4-3 ก่อนที่นัดสอง เรือใบสีฟ้า ก็บุกมายิงขึ้นนำไปก่อน จนกระทั่งเกิดปาฏิหารย์ในช่วงทดเวลาจาก โรดริโก้ คนเดิมที่ยิงคืน 2 ประตูใน 2 นาที ก่อนที่ เบนเซมา จะมาซัดจุดโทษในช่วงต่อเวลาพิเศษให้ เรอัล มาดริด เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้ในที่สุด
คีย์แมนของทั้งสองทีม
แน่นอนว่าฝั่ง เรอัล มาดริด คนที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษคงหนีไม่พ้น คาริม เบนเซมา หัวหอกชาวฝรั่งเศษที่เพิ่งจะมาพีคตอนแก่ยิงประตูถล่มทลายแบบคมกริบชนิดง้างเป็นหาย แต่แน่นอนเบื้องหลังความยอดเยี่ยมของเขาย่อมต้องมีเพื่อนร่วมทีมชั้นยอดคอยสนับสนุนซึ่งคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ วินิซิอุส จูเนียร์ หัวหอกความเร็วจัดจ้านที่เรียกได้ว่าถ้ามีพื้นที่ได้กระชากก็ยากที่ใครจะหยุดได้แถมยังเข้าขารู้ใจกับ เบนเซมา สุด ๆ คนต่อมาคือชายผู้ปิดทองหลังพระอย่าง ลูก้า โมดริช ที่แม้ว่าจะอายุปาเข้าไป 36 ปีแล้วแต่เขาก็ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในแดนกลางของ ราชันชุดขาว ทั้งความสามารถเฉพาะตัวและการจ่ายบอลอันแม่นยำก็เป็นอีกคนที่จะประมาทไปไม่ได้ และสุดท้ายกับซุเปอร์ซับอย่าง โรดริโก้ ที่ อันเช่ มักจะเก็บไว้เป็นแผนสำรองบนม้านั่งที่คอยลงมาเปลี่ยนเกมในเวลาคับขัน ซึ่งเขาก็มีส่วนสำคัญช่วยให้ทีมเข้ารอบมาแล้วนักต่อนัก
ฝั่ง ลิเวอร์พูล แม้ว่า โม ซาลาห์ จะอยู่ในช่วงฟอร์มตก แต่พวกเขาก็ได้ความยอดเยี่ยมของ ซาดิโอ มาเน ที่ผลงานโดดเด่นสุด ๆ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาช่วงผยุงทีมเอาไว้ รวมถึงแข้งใหม่ป้ายแดงอย่าง หลุยส์ ดิอาซ ที่ปรับตัวได้ดีจนผลงานแจ่มจรัสและยึดตัวหลักของทีมได้สำเร็จ แต่ก็อย่างที่ทราบกันว่าอีกหนึ่งจุดสำคัญที่น่าจับตามองของ หงส์แดง ในเกมนี้คือแบ็คทั้งสองฝั่งอย่าง เทรนต์ และ โรเบิร์ตสัน ที่แน่นอนเกมรุกขึ้นชื่ออยู่แล้ว แต่ปัญหาคือเกมรับที่ปกติการเติมขึ้นสูงมักจะเปิดพื้นที่ให้คู่แข่งได้สวนกลับ ชัดเจนว่า อันเชล็อตติ ก็ทราบในจุดนี้ดีและคงเตรียมให้ วินิซิอุส มาประจำการวิ่ง 4x100 อยู่แล้วแน่นอน ซึ่งคนที่จะดวลกันโดยตรงคงหนีไม่พ้น เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาโนลด์ ที่เกมรับก็ต้องบอกว่าไม่ได้แน่นอนขนาดนั้น บางที คล็อปป์ คงต้องสั่งให้เซ็นเตอร์มาคอยซ้อนแต่นั่นก็เสี่ยงพอตัวเพราะเท่ากับว่า เบนเซมา จะมีพื้นที่ในกรอบเขตโทษมากขึ้นนั่นเอง
สถิติ ราชัน ข่มกระจาย 10 ปีหลัง
อันที่จริงแล้วทั้งสองทีมมักจะโคจรมาพบกันอยู่บ่อย ๆ ในรายการนี้ โดย 5 นัดหลังสุดนับตั้งแต่ปี 2014 เป็น เรอัล มาดริด ที่ชนะไปได้ถึง 4 และจบด้วยการเสมออีก 1 ซึ่ง ลิเวอร์พูล โดนยิงไปถึง 10 ลูกและทำได้เพียง 2 ประตูเท่านั้น โดยในยุคของ เยอร์เก้น คล็อปป์ นับตั้งแต่มาคุมทีมในอังกฤษเคยพบกับ ราชันชุดขาว แล้ว 3 เกมพ่ายไป 2 ด้วยสกอร์ 3-1 ทั้งสองนัดและเสมอ 0-0 อีกหนึ่งนัด ซึ่งเกมที่หลายคนคงจำกันได้นั่นคือนัดชิงชนะเลิศเมื่อปี 2018 ที่พ่ายไปอย่างน่าเจ็บใจ และอีกสองนัดคือเมื่อฤดูกาลก่อนที่ หงส์แดง ถูกเขี่ยตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปด้วยสกอร์รวมสองนัด 3-1
คาดการณ์ก่อนเกม
แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล น่าจะดูเหนือกว่าเล็กน้อยและคาดว่าจะเป็นฝ่ายครองบอลบุกเข้าใส่ตามสไตล์ที่ถนัด ส่วน เรอัล มาดริด คงเล่นในแบบเดิมนั่นคือการเน้นตั้งรับให้เหนียวแน่นและอาศัยการโต้กลับเร็วในการเข้าทำ ซึ่งคงต้องวัดกันว่าฝ่ายใดจะเฉียบคมกว่ากันเพราะประตูแรกอาจจะเป็นประตูที่ตัดสินเกมเลยก็ว่าได้ ฉนั้นเราอาจจะได้เห็นทั้งคู่เล่นกันอย่างรัดกุมไว้ก่อน ค่อย ๆ ดูเชิง และอาศัยความผิดพลาดในการเข้าทำ โดยต้องบอกว่านัดนี้เดาผลการแข่งขันค่อนข้างยากเลยทีเดียว แต่ก็เชื่อว่า หงส์แดง มีสิทธิเบียดชนะในเวลาได้ อย่างไรก็ตาม... หากเกมยืดเยื้อถึงการต่อเวลาพิเศษและดวลจุดโทษนาทีนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่อย่างน้อย ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็มีโอกาสซ้อมดวลจุดโทษชี้ขาดในเกมนัดชิงชนะเลิศมาแล้วถึง 2 ทั้ง คาราบาว คัพ และ เอฟเอ คัพ เพราะงั้นตรงนี้อาจจะเป็นข้อได้เปรียบของ ลิเวอร์พูล ในวันเสาร์นี้ก็เป็นได้