อยู่ต่อก็ลุ้นอีกเยอะ : มาเน่ จะได้อะไรหากย้ายไปบาเยิร์น มิวนิค ?
แม้จะพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกและยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลนี้ แต่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า ลิเวอร์พูล กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้น เพราะพวกเขายังคงเป็นทีมที่มีโอกาสลุ้นแชมป์ในทุกรายการที่ลงแข่งขัน ซึ่งจะเรียกว่าเป็น "ยุคสมัย" ของพวกเขาก็คงไม่มากจนเกินไป
อย่างไรก็ดีทั้งที่อยู่ในสถานการณ์นี้ แต่นักเตะตัวเด่นของทีมอย่าง ซาดิโอ มาเน่ กลับอยากจะย้ายทีม และมีโอกาสสูงมากที่เขากำลังจะเป็นสมาชิกใหม่ของ บาเยิร์น มิวนิค ทีมดังจากเยอรมัน
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เราจะลองมาพิจารณาดูพร้อม ๆ กันว่าทำไม มาเน่ ผู้เป็นที่รักของแฟนบอลจึงอยากย้ายออก ? และทำไมต้องเป็นบาเยิร์น ?
ติดตามได้ที่ MainStand
ทำไมมาเน่จึงอยากย้าย ?
คำตอบของคำถามดังกล่าวไม่เคยออกจากปากของตัว ซาดิโอ มาเน่ เองเลยสักครั้ง ดังนั้นวิธีที่จะหาคำตอบก็ควรเกิดจากการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ รอบตัวของเขาแทน ซึ่งสื่อแทบทุกเจ้าจากอังกฤษทั้ง The Athletic และ The Guardian ต่างชี้เหตุผลไปในทางเดียวกัน นั่นคือ "ต้องการความท้าทายใหม่"
มาเน่ อยู่กับลิเวอร์พูลมาตั้งแต่ปี 2016 ผ่านมาถึงตอนนี้ก็ 6 ปีแล้ว เขากวาดทุกแชมป์ที่ลงแข่งขัน ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกไปทั้งหมด 111 ลูก ถือเป็นนักเตะที่ยิงประตูในลีกโดยไม่มีจุดโทษมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ตลอดกาล เป็นรองเพียง เลส เฟอร์ดินานด์ ตำนานนักเตะของ นิวคาสเซิล และ สเปอร์ส เท่านั้น
ไม่ใช่แค่แฟนบอลที่รักมาเน่ นักเตะเพื่อนร่วมทีม และโค้ชอย่าง เยอร์เกน คล็อปป์ ก็ให้เครดิตผลงานของมาเน่มาโดยตลอด โดยในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของฤดูกาล 2021-22 ที่ผ่านมาที่มาเน่ขยับมาเล่นตำแหน่งหมายเลข 9 อยู่บ่อย ๆ จนทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม คล็อปป์ยังเคยบอกว่า มาเน่ เหมือนกับ "เครื่องจักร" ในแง่ของความสม่ำเสมอ และยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักเตะระดับโลก
เขาอาจจะมีโอกาสได้แชมป์กับลิเวอร์พูลมากกว่านี้ แต่มาเน่ในวัย 30 ปีเหลือสัญญากับสโมสรอีกเพียง 12 เดือนเท่านั้น ... ว่ากันว่าในช่วงวัย 30 คือช่วงเวลาที่นักเตะหลายคนทบทวนถึงอนาคตของพวกเขา เพราะสัญญาระยะยาวฉบับต่อไประดับ 3-5 ปีอาจจะเป็นฉบับสุดท้ายของอาชีพค้าแข้ง
เพราะหลังจากหมดสัญญาฉบับนี้พวกเขาจะได้สัญญากันแบบปีต่อปี และถ้าโชคไม่ดี ความฟิตไม่เหมือนเดิม มาตรฐานการเล่นลดลง พวกเขาก็อาจจะต้องยอมรับความจริง เลือกถอยหลังเล็กน้อยสู่ทีมที่เล็กกว่าที่ยังสามารถจ่ายค่าเหนื่อยในระดับที่ไม่ต่างจากเดิมมากนัก
ในวัย 30 ปี มาเน่ ในฐานะผู้เล่นตำแหน่งริมเส้นที่ใช้ความเร็วและความแข็งแรงเป็นอาวุธหลักกำลังเหลือช่วงเวลาพีกอีกไม่มากนัก ยิ่งในฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่ต้องการคุณสมบัตินี้เป็นพิเศษยิ่งมีผลมากกว่าลีกในประเทศอื่นอย่างแน่นอน
เชื่อว่าหากมาเน่อายุมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาเองก็จะต้องได้รับผลกระทบจากร่างกายมากขึ้นแน่นอน ยกเว้นเสียแต่ว่าเขาจะเปลี่ยนมาเล่นในตำแหน่งที่ต้องใช้ความเร็วน้อยลงและใช้ความแน่นอนให้มากขึ้น อาทิ ตำแหน่งกองหน้าหมายเลข 9 เหมือนที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในวัย 36 ปีเป็นอยู่ ณ ตอนนี้
สิ่งที่เรากำลังร่ายยาวมาก็เพื่อจะบอกว่าการย้ายทีมของ มาเน่ ไปยัง บาเยิร์น มิวนิค หากเป็นไปตามข่าวเขาจะได้รับการการันตีตัวจริงอย่างแน่นอน และจะเป็นสตาร์ของทีมอีกด้วย จากการย้ายออกของกองหน้าตัวเก่งของเสือใต้อย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี
เขาจะได้ลงเล่นในทีมใหม่ที่มีประวัติศาสตร์และความยิ่งใหญ่ไม่แพ้ลิเวอร์พูล เหนือสิ่งอื่นใดคือโอกาสคว้าความสำเร็จด้านถ้วยรางวัลจะมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย การย้ายไปอยู่บาเยิร์นเหมือนเป็นการการันตีแชมป์ลีกไปแล้ว 1 ถ้วย ส่วนรายการอื่น ๆ ก็เข้ารอบลึก ๆ มีลุ้นกันทุกปีเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่การย้ายทีมที่ถอยหลังลงคลองแน่นอน เผลอ ๆ เขาจะมีโอกาสสะสมถ้วยรางวัลมากกว่าตอนอยู่กับลิเวอร์พูลด้วยซ้ำ เพราะที่บุนเดสลีกาการแข่งขันไม่ได้มากเท่า อีกทั้งยังมีตัวอย่างผู้เล่นริมเส้นของเสือใต้อย่าง อาร์เยน ร็อบเบน และ ฟรองค์ รีเบรี ที่เล่นกับทีมได้ยาวจนอายุ 35 ปีในฐานะตัวหลัก บางทีบุนเดสลีกาอาจจะเหมาะกับปีกที่อายุเริ่มเยอะอย่างเขาก็ได้ไม่มีใครรู้ ?
ดังนั้นทั้งหมดนี้แหละที่เรียกว่า "ความท้าทายใหม่" ที่สื่อต่าง ๆ อ้างถึงเหตุผลของมาเน่ ... เหมือนกับที่ ติอาโก้ อัลคันทาร่า อยากย้ายจาก บาเยิร์น มา ลิเวอร์พูล, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ย้ายจาก เรอัล มาดริด มา ยูเวนตุส เป็นต้น พวกเขาไม่มีอะไรให้คนอื่นต้องสงสัยอีกแล้ว ไม่แปลกที่เหล่านักเตะที่เต็มไปด้วยความกระหายจะอยากลองอะไรใหม่ ๆ บ้าง
นอกจากความท้าทาย
เป็นอีกครั้งที่เราต้องย้ำถึงอายุของมาเน่ว่าในวัย 30 ปีนั้นคือช่วงเวลาแห่งการเซ็นสัญญาก้อนโตครั้งสุดท้ายในอาชีพของพวกเขา
ที่ ลิเวอร์พูล แม้เขาจะถูกมองในฐานะสตาร์แถวหน้าของทีม แต่หากมองไปที่ค่าตอบแทน มาเน่ได้ค่าเหนื่อยเพียงสัปดาห์ละ 1 แสนปอนด์ เท่านั้น ... มีนักเตะในทีมลิเวอร์พูลอีก 11 คนที่ได้ค่าเหนื่อยมากกว่าเขา แม้กระทั่งตัวสำรองที่ได้โอกาสลงสนามน้อยอย่าง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ยังได้ค่าเหนื่อยมากกว่าด้วยซ้ำ (1.2 แสนปอนด์ / สัปดาห์)
จริงอยู่ที่เราอาจจะบอกได้ว่าหาก มาเน่ ต่อสัญญาฉบับใหม่กับ ลิเวอร์พูล ในปี 2023 เขาจะได้ค่าจ้างมากขึ้น แต่ที่แน่ ๆ คือ ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่มีเพดานเงินเดือนไม่สูงมากนัก นักเตะที่ได้ค่าเหนื่อยสูงสุดตอนนี้คือ เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ที่ได้รับอยู่ที่สัปดาห์ละ 2.2 แสนปอนด์เท่านั้น
หากเทียบกับทีมอื่น ๆ ในพรีเมียร์ลีกอย่าง เชลซี, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่จ่ายให้นักเตะที่ค่าจ้างสูงที่สุดในทีมเกือบ ๆ แตะ 4 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ เรียกได้ว่าต่างกันเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ... ดังนั้นมีโอกาสแค่ไหนหากมาเน่จะได้ค่าเหนื่อยมากเท่าที่เขาต้องการสำหรับสัญญาฉบับใหม่ซึ่งว่ากันว่าเขาต้องการที่ 3 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ ?
เรื่องนี้เรามีกรณีตัวอย่าง นั่นคือการเจรจาค่าเหนื่อยของ "แข้งเบอร์ 1" ของลิเวอร์พูลอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่มีข่าวเรื่องการต่อสัญญามากกว่า 1 ปีแล้วแต่ก็ยังหาข้อสรุปกันไม่ได้ หลายสื่อบอกว่าซาลาห์ต้องการ 4 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ แต่นั่นเป็นตัวเลขที่มากเกินไปสำหรับลิเวอร์พูล ซึ่งตอนนี้สัญญาฉบับใหม่ของซาลาห์ก็ยังไม่เกิดขึ้นแม้เจ้าตัวบอกว่าจะอยู่กับทีมในฤดูกาลหน้าอย่างแน่นอน
ซาลาห์ กับ มาเน่ อยู่ในสถานการณ์ที่คล้าย ๆ กันคืออยู่ในช่วงวัย 30 ปี และต้องการเงินก้อนโตจากสัญญาฉบับใหม่ แน่นอนว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เพราะพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างยุคสมัยของลิเวอร์พูลในช่วง 5 ปีหลังสุด แต่เมื่อสโมสรปล่อยให้พวกเขาเหลือสัญญาปีสุดท้าย พวกเขาจะเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่า และอยู่ในสถานะที่รอฟังข้อเสนอจากสโมสรอื่น ๆ ได้ในอีก 6 เดือนต่อจากนี้ตามกฎบอสแบน
"เมื่อผู้เล่นเหลือสัญญาแค่ปีเดียว เขาและเอเยนต์จะมีความต้องการสูงกว่าสิ่งที่คุณสามารถจ่ายไหว โดยเฉพาะรายที่มีแววโชว์ฟอร์มได้อีก 4-5 ปี คุณจะโดนเอเยนต์พูดในแนวว่า 'ถ้าคุณซื้อนักเตะใหม่มาแทนผู้เล่นในการดูแลของเขา ต้องใช้เงิน 15 ล้านปอนด์ จะดีกว่าไหมถ้าเอาแค่ 10 ล้านปอนด์มาให้กับนักเตะและตัวเขาเอง" ประธานฝ่ายเทคนิคของสโมสรหนึ่งในพรีเมียร์ลีก ได้เปิดเผยกับสื่อ The Athletic
แม้ ลิเวอร์พูล จะอยากต่อสัญญากับ มาเน่ ขนาดไหน แต่พวกเขาต้องคิดหนักพอสมควร เพราะในปี 2023 นอกจาก มาเน่ ที่จะหมดสัญญาแล้ว ยังมี โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซึ่งทุกคนจะต้องการค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นกว่าเดิมแน่นอน และการจะให้ทุกคนได้ในสิ่งที่ต้องการย่อมส่งผลต่อโครงสร้างทางการเงินของสโมสรแน่นอน ซึ่งลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ซีเรียสเรื่องรายจ่ายเป็นอย่างมาก สิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้นคือนักเตะคนอื่น ๆ จะเริ่มเรียกร้องเมื่อถึงเวลาของตัวเอง สุดท้ายจะเป็นการทุบเพดานค่าเหนื่อยตัวเองไปเรื่อย ๆ และเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาหลายอย่างตามมา
แล้ว มาเน่ จะได้อะไรจาก บาเยิร์น หากเขาย้ายทีม ... คำถามนี้ตอบง่ายมาก เพราะบาเยิร์นเป็นทีมที่มีผลประกอบการแบบได้กำไรทุกปี พวกเขามีเพดานค่าเหนื่อยนักเตะสูงกว่าลิเวอร์พูลมากพอสมควร ณ ตอนนี้มีนักเตะของทัพเสือใต้ถึง 7 คนที่ได้รับค่าเหนื่อยระดับ 3 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ ไล่เรียงกันมาตั้งแต่ เลวานดอฟสกี, มานูเอล นอยเออร์, โทมัส มุลเลอร์, โจชัว คิมมิช หรือแม้กระทั่งนักเตะอย่าง ลูกัส เอร์นานเดซ และ เลรอย ซาเน่ ซึ่งหากเทียบผลงานมาเน่กับนักเตะในลิสต์นี้ก็ต้องบอกว่าทั้งศักดิ์และศรีของมาเน่ไม่แพ้ใครแน่นอน
มาเน่ จะได้ค่าเหนื่อยแบบที่เขาต้องการ ได้เงินค่าเซ็นสัญญากินเปล่าแน่นอนหากการย้ายทีมเกิดขึ้นในซัมเมอร์นี้ หรือแม้กระทั่งการย้ายทีมหลังจากหมดสัญญาหลังฤดูกาลหน้าสิ้นสุดลงก็ตาม ... สัญญาก้อนใหญ่ฉบับสุดท้ายกับอาชีพนักฟุตบอลที่ไม่ได้ยาวนานนั้นคือสิ่งที่เหมาะสมกับที่นักเตะอย่างมาเน่สมควรได้รับเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าเขาจะต่อสัญญากับลิเวอร์พูลหรือจะย้ายทีมก็ตาม
นอกจากเรื่องฟุตบอลมีไหม ?
เหตุผลเรื่องฟุตบอลทั้งหมดที่ได้กล่าวมาในข้างต้นชี้ให้เห็นว่าไม่ว่า มาเน่ จะอยู่กับ ลิเวอร์พูล ต่อหรือย้ายไป บาเยิร์น เขาก็สมควรได้รับสิ่งที่สมควรอยู่แล้ว ผลงานของมาเน่โดดเด่นมาตลอด เขาสมควรได้รับคำชม รายได้ ถ้วยรางวัล แต่นอกจากนี้ยังมีอะไรอีกล่ะ ?
หากทุกคนนึกถึงลิเวอร์พูล เชื่อว่าภาพของนักเตะคนแรกที่นึกออกคงหนีไม่พ้น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ อย่างแน่นอน ซาลาห์เป็นกำลังสำคัญของลิเวอร์พูลนับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมในปี 2017 และกลายเป็นพระเอกที่ใครต่อใครก็พูดถึงเป็นอันดับแรกเสมอ ครั้งหนึ่ง แกรี่ เนวิลล์ อดีตนักเตะของ แมนฯ ยูไนเต็ด เปรียบเทียบ ซาลาห์ และ มาเน่ เหมือนกับ 2 คู่หูของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในช่วงปลายยุค 2000s อย่าง โรนัลโด้ และ เวย์น รูนี่ย์ ที่ถึงแม้จะยิงประตูและมีความสำคัญต่อทีมไม่แพ้กัน แต่ที่สุดแล้วย่อมต้องมีคนหนึ่งได้รับเครดิตมากกว่า
"ผมนึกถึง โรนัลโด้ และ รูนี่ย์ สมัยครั้งที่เป็นคู่หูกัน บริบทของทั้งคู่เหมือนกับคู่ของ ซาลาห์-มาเน่ นั่นแหละ" แกรี่ เริ่มว่า
"ผมว่า โม (ซาลาห์) จะก้าวขึ้นไประดับสูงกว่า ซาดิโอ ... เหตุผลประกอบคือนักเตะประเภทนี้จะแตกต่างจากมนุษย์มนา พวกเขาคิดในหัวตลอดว่า 'กูนี่แหละจะกลับบ้านในฐานะนักเตะที่ดีสุดของโลก' มันเป็นหลักการในโลกของพวกที่เกิดมาเพื่อเป็นสตาร์ ขณะที่ มาเน่ หรือ รูนี่ย์ พวกเขาปักหมุดสู้เพื่อทีม"
แม้ มาเน่ อาจจะไม่เคยแสดงท่าทางของความอิจฉาจากการเป็นพระรองของทีม แต่ก็มีครั้งหนึ่งที่เขาออกอาการไม่พอใจ ซาลาห์ ที่พยายามเล่นเพื่อตัวเองจนไม่ยอมส่งบอลให้กับเขา โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในเกมระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ เบิร์นลี่ย์ เมื่อฤดูกาลก่อน จนนักเตะรุ่นพี่ในทีมอย่าง เจมส์ มิลเนอร์ รวมถึงกุนซืออย่าง คล็อปป์ ต้องมาเบรกอารมณ์ของ มาเน่ ในวันนั้น
"ในห้องแต่งตัวซาลาห์เดินมาหาผมแล้วบอกผมว่าทำไมนายต้องโมโหแบบนั้น ซึ่งผมก็ตอบไปว่า นายต้องจ่ายบอลให้ฉันบ้าง เขาก็ตอบกลับมาว่า เขามองไม่เห็นผมจริง ๆ เขาบอกว่าเขาไม่เคยมีปัญหากับผมนะ" มาเน่ กล่าวหลังเกมนั้นก่อนที่ทั้งคู่จะเคลียร์ใจกันอย่างรวดเร็ว
จากสถานการณ์ดังกล่าวแม้มาเน่จะบอกว่าไม่มีอะไรติดค้าง แต่อีกมุมหนึ่งที่เขาเคยให้สัมภาษณ์เขาก็เคยแสดงออกให้เห็นถึงความทะเยอทะยาน เขาเล่าถึงความฝันในการคว้ารางวัลบัลลงดอร์ และเขาเองก็ผิดหวังที่ตัวเองไม่เคยติดแคนดิเดต 3 คนสุดท้ายเลยแม้ว่าผลงานจะดีแค่ไหนก็ตาม
"มันเป็นเรื่องจริงที่ผมค่อนข้างผิดหวัง ผมจะบอกอะไรกับตัวเองได้บ้าง แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ คือหนึ่งในความสำเร็จที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตผม ผมพยายามเต็มที่เพื่อจะคว้าแชมป์นี้ แต่เมื่อทำสำเร็จกลับไม่มีความหมาย ไม่มีนักเตะจากแอฟริกันคนไหนที่ได้บัลลงดอร์ตั้งแต่ที่ จอร์จ เวอาห์ เคยทำได้ในปี 1995 ... คุณคิดว่าเรื่องนี้มันน่าเศร้าไหมล่ะ ?" มาเน่ กล่าว
การย้ายไปบาเยิร์นคือโอกาสสำคัญที่จะทำให้ มาเน่ ได้กลายเป็นนักเตะคนสำคัญอันดับ 1 ของทีมเสือใต้ ซึ่งคุณสมบัติ "เบอร์ 1 ของทีม" มีผลอย่างมากต่อการพิจารณารางวัลบัลลงดอร์ เพราะที่ลิเวอร์พูลเขาอยู่ใต้เงาของ ซาลาห์ หรือแม้กระทั่งกองหลังอย่าง ฟาน ไดจ์ค ที่เคยเข้าชิงบัลลงดอร์ 3 คนสุดท้ายมาแล้วทั้งสิ้น
การขยับขยายย้ายทีมมายัง บาเยิร์น มิวนิค คือความท้าทายใหม่ที่คนทะเยอทะยานอย่างมาเน่ต้องการมันแน่นอน ไม่มีการการันตีว่ามันจะดีกว่าเดิมหรือไม่ แต่เขาก็อยู่ในช่วงท้าย ๆ ของอาชีพค้าแข้งแล้ว การตัดสินใจครั้งนี้จะช่วยให้เขาไม่ต้องรู้สึกเสียดายในวันที่การแขวนสตั๊ดมาถึงอย่างแน่นอน