มาร์ค โนเบิล : สุภาพบุรุษลูกหนัง "วันคลับแมน" คนสุดท้ายของฟุตบอลอังกฤษ
"ผมใช้ชีวิตอยู่กับความฝันของแฟนบอลทุกคน" มาร์ค โนเบิล กล่าว
ทันทีที่พรีเมียร์ลีกปิดฉากรูดม่านก็เป็นเหมือนสัญญาณของการจากลา บางคนย้ายออก บางคนหมดสัญญา และบางคนก็แขวนสตั๊ด หนึ่งในนั้นคือ มาร์ค โนเบิล กองกลางจอมเก๋าของเวสต์แฮม
หลังจากโลดแล่นอยู่ในลีกแดนผู้ดีมาตั้งแต่ปี 2004 จอมทัพวัย 35 ปีก็ถึงคราวอำลาชีวิตนักเตะอาชีพ ด้วยสถิติลงเล่นให้กับทีมจากลอนดอนตะวันออกไปถึง 550 นัด
นอกจากนี้เขาไม่เคยเปลี่ยนทีม นอกจากถูกปล่อยออกไปหาประสบการณ์ในฐานะนักเตะตัวยืม และทำให้เขากลายเป็น "วันคลับแมน" คนสุดท้ายของวงการฟุตบอลอังกฤษ
ติดตามเรื่องราวของชายที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น "สุภาพบุรุษลูกหนัง" คนหนึ่งของโลก ไปพร้อมกับ Main Stand
แฟนตัวยงขุนค้อน
ชีวิตของ มาร์ค โนเบิล อาจเรียกได้ว่าผูกพันกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด มาตั้งแต่เกิด พ่อกับแม่ของเขาคือแฟนเวสต์แฮมตัวยง และมีบ้านที่ตั้งอยู่ห่างจาก อัพตัน พาร์ก รังเหย้าเก่าของขุนค้อนแค่เพียงไมล์เดียว
แม้ว่าโชคชะตาของเขาจะหักเหไปเล็กน้อย เมื่อทีมเยาวชนแรกของลีกอาชีพที่ได้สังกัดคือ อาร์เซนอล คู่แข่งร่วมเมือง และเขาเกือบจะกลายเป็นนักเตะของทัพปืนใหญ่ แต่ท้ายที่สุดเขาก็เซ็นสัญญาเยาวชนกับ เวสต์แฮม ทีมที่เขาเชียร์มาตั้งแต่เด็ก ในนาทีสุดท้ายตอนอายุ 11 ปี
"ผมได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งที่บอกว่าโนเบิลกำลังจะเซ็นสัญญากับอาร์เซนอลในวันพรุ่งนี้ และมันก็ใกล้จะเรียบร้อย เราจึงได้ร่างสัญญา ไม่ใช่เพราะแค่เขาเป็นนักเตะที่ดี แต่เรารู้ว่าเขาเชียร์เวสต์แฮม" จิมมี่ แฮมป์สัน อดีตแมวมองของเวสต์แฮมกล่าวกับ The Athletic
"ดังนั้นผมและ จิมมี่ ทิลดอลล์ จึงไปที่บ้านของโนเบิล เรานั่งลงและคุยกับพ่อและแม่ของเขานานมากเพื่อจะให้เขาเซ็นสัญญากับเวสต์แฮม"
"การเซ็นสัญญาเขามาจากอาร์เซนอลเป็นความทรงจำที่ผมชอบเสมอเมื่อพูดถึงโนเบิล ตอนที่ผมออกมาจากบ้านของพวกเขา ผมแน่ใจว่าผมลากพ่อของโนเบิลออกมาด้วย ผมไม่อยากปล่อยมันไป ในรถระหว่างกลับบ้านผมหยุดยิ้มไม่ได้เลย"
และมันก็เป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิด เมื่อโนเบิลฉายแววเด่นตั้งแต่ในทีมเยาวชน จนตอนอายุ 15 ปีเขาก็ถูกดันขึ้นไปเล่นในทีมสำรอง และกลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้เล่นในทีมชุดนี้ ก่อนที่ใน 2 ปีต่อมาเขาจะได้ประเดิมสนามให้กับทีมชุดใหญ่ในเกมลีกคัพกับ เซาธ์เอน ยูไนเต็ด ในเดือนสิงหาคม 2004
จากนั้นในเดือนมกราคม 2005 โอกาสสำคัญของเขาก็มาถึง หลังถูกส่งลงเล่นในเกมพบกับ วูล์ฟแฮมตัน วันเดอเรอร์ส ในศึกแชมเปี้ยนชิพ แถมยังได้ลงสนามในเกมเพลย์ออฟชิงตั๋วสู่พรีเมียร์ลีกกับ เปรสตัน นอร์ธเอนด์ ที่ท้ายที่สุดทีมรักของเขาก็สมหวัง ได้เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุด
"ตอนที่ผมย้ายมาร่วมทีม นักเตะดังบางคนลาทีมไป ผมจึงถาม อลัน (พาร์ดิว) ว่า 'เราจะทำยังไงกันต่อ' เขาบอกผมว่าเรามีนักเตะเด่นสองคนที่กำลังขึ้นมา ชื่อ มาร์ค โนเบิล และ คริส โคเฮน ที่เราตั้งความหวังไว้ได้เลย" จิมมี่ วอล์กเกอร์ ผู้รักษาประตูเวสต์แฮมในตอนนั้นย้อนความหลัง
"โนเบิลเพิ่งจะอายุ 17 และขึ้นมาป้วนเปี้ยนในทีมชุดใหญ่ เขามีบุคลิกที่โดดเด่น ในช่วงวัยรุ่นเขาฟัง เท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม มากเลย และพวกเขาก็เข้ากันได้ดี โนเบิลถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเขาจะเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยม"
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของตำนาน
มิสเตอร์เวสต์แฮม
โนเบิล โดดเด่นและแข็งแกร่งเกินวัย แม้ช่วงแรกเขาจะถูกปล่อยให้ อิปสวิช ทาวน์ และ ฮัลล์ ซิตี้ ยืมตัวไปใช้งาน แต่หลังจากกลับมาเขาก็กลายเป็นขาประจำในทีมชุดใหญ่ และลงเล่นไปถึง 31 นัดในฤดูกาล 2007-2008 ในวัยเพียงแค่ 20 ปี
หลังจากนั้นเขาก็เป็นนักเตะที่ขาดไม่ได้สำหรับเวสต์แฮมและ เป็นหัวใจสำคัญในแดนกลางจากทักษะการจ่ายบอลที่ยอดเยี่ยม รวมไปถึงการยิงจุดโทษที่เฉียบคม เขาลงเล่นให้เวสต์แฮมไปถึง 550 นัด ตลอด 18 ฤดูกาลที่นี่
"เมื่อคุณได้เล่นกับโนเบิล คุณจะรู้ได้เลยว่าเขาเก่งแค่ไหน เขาอาจจะเป็นหนึ่งในนักเตะที่คุณเห็นและไม่ได้คิดว่า 'ว้าว นี่มันนักเตะอะไรกันเนี่ย' แต่สำหรับแฟนเวสต์แฮมแล้วจะยกย่องเขา" เท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม ที่เล่นให้เวสต์แฮมในช่วงปี 2004-2007 กล่าวกับ The Athletic
"คุณต้องดูเขาเล่นสัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่าเพื่อทำความเข้าใจว่าเขาทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร เขาอาจจะไม่ใช่นักเตะที่เลี้ยงผ่านผู้เล่นและยิงเสียบมุมเข้าไป"
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือแพชชั่นของเขาที่มีต่อเกม เขาเต็มที่ในการลงเล่นทุกนัด ไม่เคยบ่นอิดออดแม้จะผิดหวังแค่ไหน เพราะสำหรับเขาเวสต์แฮมไม่ได้เป็นแค่ต้นสังกัด แต่เป็นทีมที่เขาสนับสนุน รัก และผูกพัน
"ไม่ว่าจะชนะ แพ้ หรือเสมอ มาร์คก็สนุกกับฟุตบอล มาร์คเป็นคนเรียบง่ายแบบนั้น และเขาไม่ต้องการจะไปที่ไหน เขาจึงภูมิใจที่ผมให้โอกาสเขาลงเล่น" อลัน พาร์ดิว อดีตกุนซือเวสต์แฮม ที่เป็นคนให้โนเบิลลงประเดิมสนามในทีมชุดใหญ่ย้อนความหลัง
ทำให้ไม่ว่าจะได้รับข้อเสนอจากทีมใหญ่แค่ไหนโนเบิลก็ยังแน่วแน่ที่จะอยู่กับเวสต์แฮม รวมไปถึงช่วงเวลาที่เลวร้ายหลังจากต้นสังกัดร่วงตกชั้นลงไปเล่นในแชมเปี้ยนชิพ ด้วยการจบอันดับสุดท้ายของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2010-2011
"ผมมีโอกาสหลายครั้งแต่ผมก็อยากจะอยู่ที่นี่เสมอ" โนเบิล บอกกับ BBC Sports
"ในจุดหนึ่งเราเคยตกชั้น ผมคิดว่านี่คือสโมสรที่ทำให้ผมแจ้งเกิดและเชื่อในตัวผมตอนที่ผมยังเด็ก ดังนั้นผมจึงไม่คิดจะยอมแพ้แล้วย้ายไปที่อื่นหรอก"
"ผมทำแบบนั้นด้วยเป้าหมายที่จะช่วยให้ทีมกลับไปพรีเมียร์ลีก"
ปี 2015 หรือปีที่ 12 ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา โนเบิล ก็ได้รับเกียรติสูงสุดหลังได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันเวสต์แฮมต่อจาก เควิน โนแลน ที่อำลาทีมไป
โนเบิลแสดงให้เห็นภาวะผู้นำอยู่เสมอและทำให้แฟนเวสต์แฮมมีความทรงจำที่ดีต่อเขามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแบก อันเดอร์ เอร์เรรา ออกจากสนาม หลังจากกองกลางชาวสเปนพยายามถ่วงเวลาในเกมเอฟเอ คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ เมื่อปี 2016
หรือการออกโรงด่า เดวิด ซัลลิแวน เจ้าของสโมสร หลังขาย ดราดี เดียนกานา เด็กปั้นของสโมสรไปให้ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน ที่สร้างความขุ่นเคืองใจในหมู่แฟนบอลและนักเตะ
"ในฐานะมนุษย์เขาเป็นศูนย์รวมและผู้นำ เขามีคุณสมบัติหลายอย่างเหมือนกับ รอย คีน ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่ลิเวอร์พูล หรือ จอห์น เทอร์รี่ ที่เชลซี เขามีทุกอย่าง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาจึงเป็นนักเตะชั้นนำของที่นี่นานขนาดนี้" โรเบิร์ต สน็อดกราสส์ อดีตแข้งขุนค้อนอธิบาย
แต่สิ่งที่โนเบิลมอบให้เวสต์แฮมไม่ได้มีแค่นี้
ใจดีและมีน้ำใจ
นอกจากการเป็นผู้นำในสนาม บทบาทของโนเบิลคือการเป็นพี่หรือพ่อให้แก่นักเตะรุ่นน้อง เขาคือคนที่ช่วยให้ จอร์แดน ฮักกิลล์ ที่ย้ายจาก เปรสตัน มาอยู่เวสต์แฮมในปี 2018 ปรับตัวได้ รวมไปถึง นิกกี เมย์นาร์ด ที่มาเล่นกับทัพขุนค้อนในปี 2012
"เขาพยายามทำให้ผมรู้สึกถึงการต้อนรับจริง ๆ โนเบิลยังไม่ได้เป็นกัปตันในตอนนั้น กัปตันคือเควิน โนแลน มันเป็นครั้งแรกในชีวิตนักฟุตบอลอาชีพที่มีใครบางคนพยายามดึงผมเข้ามาและทำให้ผมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีมทันที" เมย์นาร์ด ย้อนความหลัง
โนเบิล ยังเป็นคนปลุกใจให้ ซาอิด เบนราห์มา ยิงประตูในเกมกับ นอริช ซิตี้ ในวันที่ 8 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันเกิดของเขา ก่อนที่ปีกชาวแอลจีเรียจะมอบของขวัญด้วยการซัดไปถึง 2 ประตู พาเวสต์แฮมบุกไปอัดเจ้าถิ่น 4-0
นอกจากนี้เขายังเป็นคนหนึ่งที่ทำให้ ดาวิด มาร์ติน ใจเย็นลง หลังโกลสำรองรายนี้ ถูกส่งประเดิมสนามในเกมแห่งความทรงจำที่บุกเยือนเชลซีในเดือนพฤศจิกายน 2019 ที่เขาเซฟอุตลุด ช่วยให้เวสต์แฮมบุกไปคว้า 3 คะแนนมาได้สำเร็จ
ขณะเดียวกันเขายังเป็นแบบอย่างที่ดีแก่รุ่นน้อง เพราะเขาจะรับหน้าที่เก็บกวาดห้องแต่งตัวทุกครั้งเมื่อเวสต์แฮมต้องออกไปเล่นเป็นทีมเยือน
แน่นอนว่าบุคลิกและอิทธิพลของ โนเบิล ส่งไปถึงนักเตะรุ่นหลัง ปัจจุบัน เบน จอห์นสัน ที่เป็นเจ้าของรางวัล Mark Noble Young Hammer of the Year Award หรือรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีเวสต์แฮม ที่ตั้งชื่อเป็นเกียรติให้แก่โนเบิล คือคนที่รับหน้าที่ทำความสะอาดห้องแต่งตัวต่อจากรุ่นพี่ของเขา
อย่างไรก็ดีไม่ใช่แค่ในสนามเท่านั้น ความใจดีและมีน้ำใจของโนเบิลยังได้เผื่อแผ่ไปให้อดีตผู้เล่นของทีม อย่างการไปคุยกับผู้อำนวยการอคาเดมีของเวสต์แฮมเพื่อให้ แชมร็อค โรเวอร์ส U-15 ที่มี โจอี้ โอไบรอัน อดีตแข้งเวสต์แฮมเป็นโค้ช ได้มาเตะกับทีมเยาวชนของพวกเขา
"มาร์คไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น และถ้าไม่มีเขาผมคงไม่สามารถพาเด็กของผมไปเล่นกับพวกเขาได้" โอไบรอัน กล่าวกับ The Athletic
"สำหรับผมสิ่งนั้นแสดงให้เห็นว่าเขามีความเป็นมนุษย์มากแค่ไหน ผมย้ายออกจากทีมไปนานแล้ว การที่มาร์คไม่มีปัญหาเลย ที่ผมไปขอความช่วยเหลือมันมีความหมายกับผมมาก"
หรือการแนะนำให้ แจ็ค คอลลิสัน อดีตแข้งเวสต์แฮมที่ต้องแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียง 27 ปีจากอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า เมื่อปี 2016 ได้งานเป็นโค้ชเยาวชนขุนค้อนชุด U-16 และช่วยเป็นแขกรับเชิญของ คอลลิสัน หลังเจ้าตัวย้ายไปเป็นโค้ชทีมชุด U-17 ของแอตแลนตา ยูไนเต็ด ในสหรัฐอเมริกา
"มันเป็นหนึ่งใน Q&A ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น" คอลลิสัน กล่าว
ทั้งนี้โนเบิลยังช่วยเหลือชุมชนอยู่เสมอ เมื่อปี 2020 เขาบริจาคเงิน 35,000 ปอนด์ เพื่อเป็นค่าอาหารและยาให้กับเด็กกลุ่มเสี่ยงในเมืองบาซิลดอน และไปช่วยเสิร์ฟอาหารให้แก่เด็ก ๆ ผู้หิวโหยที่ Stratford Circus Arts Centre ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของลอนดอน
ในปี 2016 เขายังได้มอบเงินที่ได้รับจากเทสโมเนียลแมตช์ ให้แก่องค์กรการกุศลมากมาย ทั้ง DT38 Foundation, Help for Heroes และ Richard House Children's Hospice ซึ่งต่างเป็นองค์กรช่วยเหลือเด็กผู้ยากไร้
ชีวิตของเขาจึงดูเรียบง่ายแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความสุข ทว่ามันอาจจะมีรอยด่างเพียงอย่างเดียวนั่นคือ "ทีมชาติอังกฤษ"
แข้งดีที่ทรีไลออนมองข้าม
โนเบิล คือนักเตะที่ฉายแววเก่งมาตั้งแต่เยาวชน และทำให้เขาติดทีมชาติอังกฤษในชุดเล็กมาเกือบทุกชุด ตั้งแต่ U-16, 17, 18, 19, 21 และเป็นหนึ่งในขุนพลทีมชาติอังกฤษ ชุดรองแชมป์ยุโรป U-21 เมื่อปี 2009
แต่น่าเศร้าที่จอมทัพของเวสต์แฮมไม่เคยได้สัมผัสกับทีมชาติชุดใหญ่เลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่าจะเป็นยุคของ ฟาบิโอ คาเปลโล, รอย ฮอดจ์สัน หรือล่าสุดอย่าง แกเร็ธ เซาธ์เกต ก็ล้วนแต่มองข้ามเขา
"ผมคิดว่ามันเป็นอาชญากรรมที่เขาไม่เคยได้รับโอกาสเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ" แฮมป์สัน แมวมองที่ทำงานกับเวสต์แฮมมากว่า 18 ปี กล่าวกับ The Athletic
"ใช่ มีนักเตะที่เก่งกว่าเขา แต่โนเบิลสมควรถูกเรียกติดทีมชาติอย่างน้อยสักชุดแน่นอน"
ขณะที่ สจวร์ต ดาวนิง อดีตแข้งเวสต์แฮมที่ประเดิมทีมชาติอังกฤษเมื่อปี 2005 และมีชื่อผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลก 2006 และ 2014 ก็เห็นด้วย เขาเชื่อว่าโนเบิลควรจะได้เล่นให้ทัพสิงโตคำรามอย่างน้อย 1 นัด และไม่เข้าใจว่าทำไมมันไม่เป็นเช่นนั้น
"มาร์คสมควรได้รับโอกาสเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ ตอนที่ผมกลับมาจากเล่นทีมชาติฮอดจ์สันมาดูเกมที่สนามของเราเกือบทุกสัปดาห์ แซม (อัลลาไดซ์) บอกผมว่าฮอดจ์สันกำลังดูผม, โนเบิล, ทอมกินส์ และ อารอน เครสเวลล์" ดาวน์นิง ให้ความเห็นกับ The Athletic
"มันเป็นตอนที่เวสต์แฮมกำลังบินสูง เราอยู่ในอันดับ 3 ของลีก และเรากำลังติดปีก ผมคิดกับตัวเองว่า 'ถ้ารอยไม่สนใจเรา เราคงไม่มีโอกาสแล้ว' เขาเลือกผม ผมคิดว่าเครสเวลล์น่าจะเป็นตัวสแตนบายหากมีใครเจ็บ และรอยก็เลือกคนอย่าง (ฟาเบียน) เดลฟ์ ที่เจ็บเกือบเป็นปี นั่นเป็นตอนที่ผมรู้ว่าโนเบิลไม่ได้รับเลือก"
"เวสต์แฮมกำลังลุ้นที่ 6 หรือ 7 แต่โนเบิลไม่มีชื่อแม้กระทั่งชุด 30 คน ผมไม่ได้ไม่เคารพ เจค ลิเวอร์มอร์ นะ แต่ตอนนั้นเขาอยู่กับ ฮัลล์ ซิตี้ และพวกเขากำลังดิ้นรนอยู่ท้ายตาราง ถ้าลิเวอร์เมอร์ติดทำไมโนเบิลไม่ติดล่ะ"
อันที่จริง โจอี้ โอไบรอัน ที่ติดทีมชาติไอร์แลนด์ไป 5 นัดก็เคยมาชวนโนเบิลให้ไปเล่นให้กับทัพยักษ์เขียว เนื่องจากแม่ของเขามีเชื้อสายไอริช แต่ตัวเขาก็ปฏิเสธไป
"เขาเคยบอกผมว่าไอร์แลนด์อยากให้เขาไปเล่นด้วยอย่างเต็มที่ เพราะแม่ของเขาเป็นไอริช เธอก็อยากให้เขาเล่นให้ไอร์แลนด์เหมือนกัน บอกตามตรงผมคิดว่าเขาจะเล่นให้พวกเรา แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ทำ" ดาวน์นิง กล่าว
วันคลับแมนคนสุดท้ายของฟุตบอลอังกฤษ
"ในทุกวันนี้และยุคนี้ น้อยคนนักที่จะใกล้เคียงกับ มาร์ค โนเบิล เราควรชื่นชมและให้คุณค่านักเตะอย่างเขา การเป็นวันคลับแมนนั้นน่าทึ่งมาก" อัลลี แมคโคอิสต์ ตำนานของกลาสโกว์ เรนเจอร์ส กล่าว
สำหรับ โนเบิล ใจของเขานั้นยิ่งใหญ่กว่าความสำเร็จ เขาพร้อมที่จะสละตัวเองเสมอหากสามารถช่วยอดีตเพื่อนร่วมทีมหรือเวสต์แฮมสโมสรที่เขารัก นั่นจึงทำให้เขาบอกว่าถ้าเขาไม่ได้ลงเล่นในเกมในบ้านนัดสุดท้ายที่พบกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ไม่เป็นไร
"ผมไม่สนใจหรอก (ว่าจะได้เล่นหรือไม่) ผมบอกเรื่องนี้กับผู้จัดการทีมไปแล้ว สำหรับผมการที่สโมสรได้ไปยุโรปได้เล่นในยูโรปาลีกมันมีค่ามากกว่าสำหรับผม" โนเบิล กล่าวกับ whufc.com เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของเวสต์แฮม
"แน่นอนว่าผมได้รับการตอบรับที่ดี ผมรู้เรื่องนั้น และบางครั้งถ้าผมได้ลงสักนาทีมันคงเยี่ยม แต่ผมก็ได้เล่นเพียงพอแล้วในชีวิตของผมจนไม่ต้องการฟุตบอลอีกแล้ว"
ท้ายที่สุดเกมวันนั้นเขาถูกส่งลงสนามในนาทีที่ 77 และช่วยให้ทีมเสมอกับ แมนฯ ซิตี้ ไปอย่างสนุก พร้อมกับพิธีอำลาที่เต็มไปด้วยเสียงปรบมือและคราบน้ำตาไปทั่วสนาม นี่แสดงให้เห็นว่าโนเบิลเป็นที่รักทั้งในหมู่แฟนบอล นักเตะ รวมไปถึงโค้ชอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา
"ผมชื่นชอบวิถีของนักเตะประเภทนี้ ทุกเกมของเขาที่นี่ที่บ้านของเขาเวสต์แฮมไม่ว่าจะกี่ปีหรือกี่เกม โชคร้ายที่มันอาจจะเป็นหนึ่งในสิ่งสุดท้ายที่เราจะได้เห็นในโลกฟุตบอล" กวาร์ดิโอลา พูดถึงโนเบิลหลังเกม
"หวังว่าเขาจะอยู่ในวงการฟุตบอลต่อ เพราะว่าเขามีความรู้ที่สุดยอดสำหรับฟุตบอลอังกฤษ สำหรับพรีเมียร์ลีก สำหรับเวสต์แฮม ในฐานะตัวแทนของแมนฯ ซิตี้ ผมขอแสดงความยินดีกับความสุดยอดของอาชีพที่ยาวนานของเขา"
เพราะสำหรับ โนเบิล เวสต์แฮมไม่ใช่แค่สโมสรฟุตบอล ไม่ใช่แค่ทีมที่เชียร์ แต่เป็นศูนย์รวมจิตใจ เป็นสิ่งที่เขารักและผูกพัน จนทำให้ทุกนาทีที่นี่ของเขานั้นมีความหมาย
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือสิ่งที่เขามอบให้แก่สโมสรด้วยใจจริง และทำให้เขาได้รับการยกย่องในฐานะมิสเตอร์เวสต์แฮมและตำนาน "วันคลับแมน" คนสุดท้ายของฟุตบอลอังกฤษ หรือบางทีอาจจะเป็นของโลกก็เป็นได้ แม้สื่อบางสำนักจะเห็นแย้ง โดยมองว่าเขาขาดคุณสมบัติในการเข้าทำเนียบนี้ จากการเคยเล่นให้สโมสรอื่นผ่านการยืมตัวก็ตาม
"อย่างที่รู้ ผมเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งของคุณ เป็นแฟนที่เติบโตมาจากมุมหนึ่งของโบลีน และเคยอยู่บนลานหน้าสนามเพื่อขอเสื้อผู้เล่น" โนเบิล กล่าวในจดหมายอำลาแฟนบอล
"ผมไม่เคยจินตนาการว่าผมจะได้เล่นกับสโมสรที่น่าทึ่งนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า และได้รับเกียรติให้สวมปลอกแขนกัปตันมาอย่างยาวนาน"
"แต่ละนาทีมันพิเศษมาก เพราะว่าผมได้เป็นตัวแทนของพวกคุณ"
"ความผูกพันและความรักที่มีต่อเวสต์แฮมจะคงอยู่ตลอดไป"