ทำไม The Rock ถึงเป็นนักมวยปล้ำที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในฮอลลีวูด
เหมือนเป็นธรรมเนียมไปแล้วว่าคอหนังจะต้องได้ดูหนังของ เดอะ ร็อก ปีละหนึ่งเรื่องอย่างน้อย ซึ่งในปี 2022 เดอะ ร็อก ก็จะกลับมาพบกับคนดูบนจอเงินอีกครั้งกับ Black Adam หนังซูเปอร์ฮีโร่ค่าย DC ที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาด ๆ และมีคิวเข้าฉายในเดือนตุลาคม พร้อมกับถูกคาดหมายว่าจะเป็นหนังอีกเรื่องในโปรไฟล์ของเขาที่ทำเงินเป็นกอบเป็นกำ
อันที่จริงมีนักมวยปล้ำทั้งในอดีตและปัจจุบันหลายคนที่กระโดดจากสังเวียนผ้าใบสี่เหลี่ยมมาสู่โลกภาพยนตร์ แต่กลับมีเพียง เดอะ ร็อก ที่มีงานแสดงอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย นับตั้งแต่หนังเรื่องแรกเมื่อปี 2001 จนตอนนี้เขาได้ยกสถานะตัวเองเป็นซูเปอร์สตาร์แถวหน้าของฮอลลีวูดที่ค่ายหนังทุกยี่ห้ออยากร่วมงานด้วย เพราะมันจะการันตีได้ว่าหนังเรื่องไหนที่ เดอะ ร็อก แสดง เรื่องนั้นจะทำเงินมหาศาลแน่นอน
อะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของเขา และอะไรที่ทำให้เจ้าของท่า “ศอกมหาชน” กลายเป็นนักมวยปล้ำที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในแวดวงฮอลลีวูด Main Stand จะพาทุกคนไปหาคำตอบกัน
ยื่นนามบัตรแนะนำตัวสู่ “ฮอลลีวูด”
แฟนมวยปล้ำยุค 90s คงรู้กันดีว่า เดอะ ร็อก คือใครและโด่งดังแค่ไหน เขาคือซูเปอร์สตาร์ระดับแถวหน้าของสมาคม WWF (หรือ WWEในปัจจุบัน) ด้วยคาแร็กเตอร์เฉพาะตัว ช่างพูด ช่างจ้อ ช่างโม้ทุกครั้งที่ถือไมโครโฟน และลีลาการปล้ำที่เอ็นเตอร์เทนคนดูได้อยู่หมัด ทำให้เขาคือหนึ่งในนักมวยปล้ำที่โด่งดังที่สุดตลอดกาลของสมาคม และดังที่สุดในยุค Attitude Era หรือยุคที่แฟนมวยปล้ำลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าเป็นยุคที่สนุกที่สุดในประวัติศาสตร์ WWE
Photo : WWE
ด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเหนือใคร ทำให้ วินซ์ แม็คแมน เจ้าของ WWE มองเห็นว่าหาก เดอะ ร็อก มีโอกาสเข้าสู่วงการบันเทิง แทนที่จะออกมากระทืบคู่อริบนเวทีทุกสัปดาห์อย่างเดียว ไม่เพียงแต่จะทำให้ เดอะ ร็อก โด่งดังยิ่งขึ้น แต่ยังเป็นการช่วยโปรโมต WWE ให้เป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้นด้วย และอาจเป็นการเปิดตลาดใหม่ ๆ ให้คนที่ไม่เคยดูมวยปล้ำได้ลองหันมาติดตามดูเผื่อจะได้ฐานแฟนคลับเยอะขึ้น นั่นเลยทำให้ช่วงปลายยุค 90s เดอะ ร็อก จึงได้ไปเป็นแขกรับเชิญในรายการทีวีต่าง ๆ มากมาย
โดยเฉพาะ Saturday Night Live รายการวาไรตี้บันเทิงระดับตำนานของอเมริกา ที่ชักชวน เดอะ ร็อก ไปสร้างสีสันหลาย EP. ทั้งในฐานะนักแสดงรับเชิญและพิธีกรในช่วงปี 2000 ซึ่งรายการนี้เปิดโอกาสให้ เดอะ ร็อก ฉายความเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ ทั้งการจ้อต่อหน้าคนดูหรือรับบทในละครตลกต่าง ๆ จนทำให้คนดูในห้องส่งและทางบ้านหัวเราะขำกลิ้ง แล้วทุก EP. ที่ เดอะ ร็อก ปรากฏตัว เรตติ้งของ SNL ก็พุ่งกระฉูดชนิดที่ทีมงานเห็นแล้วยิ้มแก้มปริทุกครั้งไป
ไม่เพียงแต่แฟนคลับรายการ SNL เท่านั้นที่ประทับใจคาแร็กเตอร์ของ เดอะ ร็อก แต่ยังรวมถึงบรรดาทีมผู้สร้างภาพยนตร์จากค่ายต่าง ๆ ที่สังเกตเห็นเสน่ห์ที่ทะลุออกมานอกจอของเจ้าตัว และอยากดึงนักมวยปล้ำเจ้าของท่า “ศอกมหาชน” มาลองขึ้นจอเงินในฮอลลีวูด
เปิดตัวด้วยบทบาท “ราชาแมงป่อง”
หลังจาก The Mummy หนังแอ็กชั่นผสมแฟนตาซีภาคแรกออกฉายเมื่อปี 1999 จนประสบความสำเร็จทำรายได้ถล่มทลาย Universal Pictures ค่ายหนังชื่อดังของฮอลลีวูดจึงสั่งเดินหน้าทำภาคต่อในชื่อ The Mummy Returns ในปี 2001 ที่นอกจากได้นักแสดงจากภาคแรกกลับมาครบ พวกเขายังได้นักแสดงหน้าใหม่จากโลกมวยปล้ำมาแจม ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นนั่นคือ เดอะ ร็อก ที่ได้โอกาสปรากฏตัวบนแผ่นฟิล์มเป็นครั้งแรกในชีวิตกับบทบาท “ราชาแมงป่อง”
Photo : IMDB
แม้ทาง สตีเฟน ซอมเมอร์ส ผู้กำกับ The Mummy ภาคแรกที่กลับมาสานต่อในภาคสองยอมรับว่าไม่รู้จัก เดอะ ร็อก หรือดูมวยปล้ำ WWE มาก่อน แต่หลังจากลองกลับไปดูเทปมวยปล้ำของนักแสดงหน้าใหม่ รวมถึงรายการต่าง ๆ ที่เขาเคยไปออกก็ทำให้ซอมเมอร์สประทับใจกับลีลาท่าทางของ เดอะ ร็อก เป็นอย่างมาก และคิดว่าน่าจะช่วยสร้างสีสันให้กับหนังภาคนี้ได้ดีในบทบาทราชาแมงป่อง ตัวร้ายแห่งแดนอัคคาด ที่กลุ่มพระเอกต้องต่อกรด้วย
ขณะที่น้องใหม่อย่าง เดอะ ร็อก ที่แม้จะขึ้นเวทีปล้ำต่อหน้าคนดูหลักหมื่นมาจนเจนสังเวียน แต่พอมาอยู่หน้ากล้องถ่ายหนังเขาเองก็ยอมรับว่ารู้สึกประหม่าพอสมควร เพราะต้องละทิ้งเอกลักษณ์ต่าง ๆ ที่เคยทำบนเวทีจนคุ้นชินอย่างรัวลิ้นด่าคู่อริหรือยักคิ้วแบบจิ๊กโก๋ แล้วสวมบทบาทราชาแมงป่องแบบเข้าถึงจิตวิญญาณ รวมถึงการต้องไปเรียนภาษาอียิปต์โบราณเพื่อให้สมบทบาทตัวละครที่มาจากยุคอียิปต์
หนังเรื่องแรกในชีวิตอย่าง The Mummy Returns ทำให้ เดอะ ร็อก มีอุปสรรคมากมายให้ต้องฟันฝ่า ทั้งเรื่องภาษา สีหน้า ท่าทางยามอยู่หน้ากล้อง การอดทนถ่ายหนังท่ามกลางอากาศร้อนระอุ 110 องศากลางทะเลทรายซาฮารา ไหนจะพลาดกินของผิดสำแดงจนอาหารเป็นพิษ แต่ สตีเฟน ซอมเมอร์ส ก็ชื่นชมสปิริตอันแรงกล้าของนักแสดงน้องใหม่มาก ที่แม้จะป่วยแต่เมื่อถึงเวลาถ่ายทำซึ่งมีเวลาจำกัดเขาก็ลุกขึ้นมาถ่ายทำได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
Photo : IMDB
หลังการถ่ายทำอันทรหดสิ้นสุดลง ภาคต่อของ The Mummy ก็ออกฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลกอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม ปี 2001 นอกจากซีนแอ็กชั่นผสมแฟนตาซีที่ยังคงสนุกสนานตามประสาหนังแอ็กชั่นป๊อปคอร์น การปรากฏตัวของ เดอะ ร็อก ในบทบาทราชาแมงป่องก็เป็นที่ชื่นชอบของคนดู แม้ว่าจะมีเสียงบ่นตอนที่ราชาแมงป่องกลายร่างช่วงท้ายว่า CG ไม่เนียนเอาเสียเลย แต่เสน่ห์อันทะลักล้นของ เดอะ ร็อก ก็กลบจุดด้อยนี้ไปได้
The Mummy Returns ประสบความสำเร็จไม่แพ้ภาคแรก หนังทำรายในอเมริกาได้ถึง 435 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าภาคแรกนิดหน่อย แต่สิ่งสำคัญคือมันคือหนังที่ทำให้ เดอะ ร็อก แจ้งเกิดจนกลายเป็นที่รู้จักของคนดู ชนิดที่ เบรนแดน เฟรเซอร์ ผู้รับบท ริค โอคอนเนล นักล่าสมบัติพระเอกของเรื่อง ยังรู้สึกได้ว่าไอ้หนุ่มนักมวยปล้ำที่ผันตัวมาเป็นนักแสดงร่วมจอของเขา จะต้องโด่งดังยิ่งขึ้นกว่านี้แน่ถ้าเขาสานต่องานในวงการภาพยนตร์
ผลตอบรับอันยอดเยี่ยมของ The Mummy Returns และกระแสความนิยมในตัวละครราชาแมงป่องของ เดอะ ร็อก ทำให้ Universal Pictures ตัดสินใจทำหนังอีกเรื่องคือ The Scorpion King ที่เล่าเรื่องของราชาแมงป่องในอดีต แล้วชวน เดอะ ร็อก กลับมารับบทเดิมอีกครั้ง Universal ยอมเดิมพันกับนักแสดงคนนี้ด้วยการทุ่มเงินค่าตัว 5.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับ เดอะ ร็อก ที่ได้รับบทนำเต็มตัวเรื่องแรกในชีวิตที่เล่นเอาเจ้าของบทบาทถึงกับตะลึง
“ตอนนั้นเอเยนต์ของผมบอกว่า เฮ้ พวกเขา (Universal) ชอบในสิ่งที่พวกเขาได้ดูมาก และตอนนี้พวกเขาก็กำลังจะทำหนังเกี่ยวกับชีวิตของราชาแมงป่องด้วย ผมนี่แบบไม่อยากจะเชื่อเลย” เดอะ ร็อก เล่าถึงสายโทรศัพท์จากผู้บริหารของ Universal ที่กริ๊งกร๊างมาเสนอหนังเรื่องใหม่ พร้อมเงินค่าตัวที่สูงแบบไม่เคยมีพระเอกหน้าใหม่คนไหนได้มาก่อน
Photo : IMDB
เดอะ ร็อก ในบทบาทราชาแมงป่องคัมแบ็กมาเจอคนดูที่โรงภาพยนตร์อีกครั้งใน The Scorpion King ที่ออกฉายในเดือนเมษายน ปี 2002 เพื่อสานต่อความสำเร็จของ The Mummy Returns แม้ว่ารายได้จะไม่เปรี้ยงปร้างเท่า The Mummy สองภาคก่อน แต่มันก็เป็นหนังที่ขับเน้นศักยภาพของ เดอะ ร็อก ให้เจิดจรัสในฐานะตัวเอกของเรื่อง และทำให้อนาคตการงานในวงการบันเทิงของ เดอะ ร็อก สุกสกาวขึ้นไปอีก
หลากหลายบทบาทบนแผ่นฟิล์ม
ชื่อเสียงความโด่งดังจากบทราชาแมงป่องทำให้ เดอะ ร็อก กลายเป็นนักแสดงรุ่นใหม่ที่ค่ายหนังทั่วอเมริการุมจีบ หนังเรื่องต่อมาของเขาคือ The Rundown หนังแอ็กชั่นผสมคอเมดี้ในปี 2003 ที่เจ้าตัวรับบทเป็นนักทวงหนี้ที่ต้องไปตามหาขุมทรัพย์ในบราซิล ซึ่งเรื่องนี้ เดอะ ร็อก ยังคงฉายเสน่ห์ความเป็นตัวเองออกมาอย่างเต็มเปี่ยม แถมยังสอดแทรก easter egg ให้แฟนมวยปล้ำมีรอยยิ้ม ทั้งการจับศัตรูใส่ท่าไม้ตาย Rock Bottom แบบเดียวกับที่เขาใช้บนเวที หรือการกระโดด Clothesline ทำลายเสาตึกให้พังลงมา
Photo : IMDB
แต่ซีนที่คนดูประทับใจที่สุดคือฉากที่ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนคเกอร์ แอ็กชั่นสตาร์ผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล และไอดอลของ เดอะ ร็อก มาร่วมแสดงเรื่องนี้ในฐานะแขกรับเชิญ ซึ่งในเรื่องนี้ “ตำนานคนเหล็ก” เดินมาตบไหล่ เดอะ ร็อก ในซีนเริ่มต้นพร้อมอวยพรรุ่นน้องว่า “ขอให้สนุก” ซึ่งฉากนี้มีความหมายแฝงถึงการส่งต่อบทบาท “พระเอกหนังแอ็กชั่นรุ่นใหม่” ให้แก่ เดอะ ร็อก รับช่วงต่อด้วยหลังจากหมดยุคของเขาไปแล้ว
แม้ผลตอบรับทางรายได้ของ The Rundown จะไม่ปังสักเท่าไหร่ แต่ เดอะ ร็อก ก็ยังมีงานแสดงเข้ามาอย่างต่อเนื่องทุกปีทั้ง Walking Tall, Be Cool, Doom, Gridiron Gang, The Game Plan, Get Smart ฯลฯ เขาพยายามสร้างความโดดเด่นด้วยการรับเล่นหนังหลากหลายแนวทั้งหนังบู๊, หนังชีวิต, หนังตลก สลับกันไปเพื่อไม่ให้เกิดความจำเจ และพิสูจน์ว่าเขาสามารถเล่นได้หลายบทบาทโดยไม่ผูกติดกับแนวแอ็กชั่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนคเกอร์ ไอดอลของเขาเคยทำให้ดูมาก่อนว่าการรับงานหลากหลาย ทั้งหนังบู๊ ตลก ดราม่า ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงานใหม่ ๆ ให้แก่เขาได้มากแค่ไหน
Photo : IMDB
ดังนั้นตั้งแต่ปี 2003 คนดูเลยได้เห็น เดอะ ร็อก ที่เปลี่ยนมาใช้ชื่อในวงการเป็น “ดเวย์น จอห์สัน” รับงานแสดงที่ไม่ซ้ำแนวกันเลย เช่นพระเอกนักล่าสมบัติใน The Rundown, บอดี้การ์ดชาวเกย์ทรงผมแอฟโฟรในเรื่อง Be Cool, โค้ชทีมฟุตบอลของกลุ่มเยาวชนผู้มีปัญหาชีวิตใน Gridiron Gang, สายลับสุดเท่แต่ตลกใน Get Smart หรือเทพพิทักษ์ฟันน้ำนมจากเรื่อง Tooth Fairy และอื่น ๆ อีกมากมาย ส่วนเวทีมวยปล้ำก็นาน ๆ แวะกลับมาสักทีให้แฟนคลับหายคิดถึง เพราะตอนนั้นงานแสดงของเขาเยอะขึ้นจนเขาไม่มีเวลากลับไปปล้ำแล้ว
“Fast & Furious” จุดเปลี่ยนที่ส่งให้ เดอะ ร็อก กลายเป็นซูเปอร์สตาร์
ปี 2010 จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของ เดอะ ร็อก หรือ ดเวย์น จอห์นสัน ได้มาถึง เมื่อ Universal Pictures ค่ายหนังยักษ์ใหญ่ที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเสมอมา ติดต่อชวน เดอะ ร็อก ไปรับบท ลุค ฮ็อบส์ นายตำรวจขาบู๊ในภาพยนตร์เรื่อง Fast Five ภาคต่อของหนังแฟรนไชส์โจรกรรมผสมรถซิ่งสุดฮิตที่มี วิน ดีเซล เป็นผู้รับบทตัวเอก “โดมินิก ทอเร็ตโต” พ่วงตำแหน่งโปรดิวเซอร์คุมการผลิต ซึ่งบทของ เดอะ ร็อก คือการตามจับตัว ทอเร็ตโต้ และแก๊งพระเอกที่อยู่ในบราซิลมาดำเนินคดี
Photo : IMDB
“เหตผลที่ผมรับงานนี้เพราะผมชื่นชอบในวิสัยทัศน์ของ จัสติน ลิน (ผกก.) เราใช้เวลาร่วมกันเพื่อคุยเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ ผมตื่นเต้นกับการยกระดับเนื้อเรื่องของหนังให้น่าสนใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม รวมถึงความท้าทายที่ผมจะได้นำเสนอบทบาทใหม่ของตัวเองให้คนดูรู้จักในแฟรนไชส์นี้ด้วย” เดอะ ร็อก เล่าถึงวันที่ตัดสินใจรับงานแสดงหนังแอ็กชั่นสุดดัง ที่เขาจะได้ร่วมจอกับ วิน ดีเซล และ พอล วอล์คเกอร์ สองพระเอกของแฟรนไชส์นี้
แล้วการโคจรมาเจอกันระหว่าง เดอะ ร็อก และหนัง Fast & Furious ภาค 5 ก็ออกมาเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม เมื่อหนังภาคนี้ทำเงินถล่มทลายทั่วโลกถึง 626 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ชุบชีวิตให้แฟรนไชส์ FF กลับมามีชีวิตชีวายิ่งขึ้น นอกเหนือจากซีนแอ็กชั่นลากตู้เซฟกลางถนนอันตื่นตาเร้าใจแล้ว ฉากที่ ลุค ฮ็อบส์ ตัวละครของ เดอะ ร็อก ต่อสู้กับ โดมินิก ทอเร็ตโต้ ตัวละครของ วิน ดีเซล อย่างดุเดือดเลือดพล่านก็กลายเป็นซีนที่คนดูชื่นชอบสะใจแบบนั่งไม่ติดเก้าอี้เช่นกัน
ความสำเร็จครั้งมโหฬารของ Fast Five ทำให้ เดอะ ร็อก ที่ตอนนั้นเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่เป็นคนกล้ามโต หัวโล้น มีหนวด ยกระดับตัวเองกลายเป็นนักแสดงแอ็กชั่นแถวหน้าของวงการอย่างเต็มตัว ค่ายหนังทุกค่ายรุมจีบหนักยิ่งกว่าเดิมจนเจ้าตัวรับงานกันแบบไม่หวาดไม่ไหว ซึ่งช่วงนี้ เดอะ ร็อก ได้เปลี่ยนมาเล่นหนังแอ็กชั่นแบบเต็มตัวเพื่อตอกย้ำลายเซ็นในการเป็นแอ็กชั่นสตาร์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น Journey 2, Snitch, G.I.JOE แต่ก็ยังแวะมาเล่นหนังดราม่าเปลี่ยนสีสันบ้างอย่างเช่น Pain & Gain ในปี 2013 ที่รับบทเป็นนักกล้ามติดยาสุดเพี้ยนจนคนดูขำก๊าก
Photo : IMDB
เดอะ ร็อก กลับสู่แฟรนไชส์ Fast & Furious ในบทบาท ลุค ฮ็อบส์ นายตำรวจจอมดีเดือดอีกครั้งกับ 3 ภาคต่อมาคือ Fast & Furious 6 (2013), Furious 7 (2015), The Fate of the Furious (2017) รวมถึงหนังภาคแยกอย่าง Hobbs & Shaw (2019) ซึ่งทุกเรื่องก็กอบโกยรายได้ถล่มทลายทั่วโลกเหมือนเดิม แถมยังขับเน้นพลังดาราของ เดอะ ร็อก ให้เปล่งปลั่งยิ่งขึ้นกว่าเดิมจนตัวละคร ลุค ฮ็อบส์ ที่เขาเล่นกลายเป็นตัวละครสำคัญที่ขาดไปไม่ได้ในแฟรนไชส์นี้ไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม The Fate of the Furious ปี 2017 กลายเป็นหนัง FF ภาคสุดท้ายที่ เดอะ ร็อก ร่วมแสดง หลังมีปัญหาขัดแย้งเรื่องการทำงานกับ วิน ดีเซล พระเอกและโปรดิวเซอร์ของหนังจนไม่สามารถร่วมงานกันต่อไปได้ แม้ว่าภายหลัง วิน ดีเซล จะออกมางอนง้อขอคืนดีให้ เดอะ ร็อก กลับมารับบท ลุค ฮ็อบส์ อีกครั้ง แต่ทว่าตอนนี้ เดอะ ร็อก กลายเป็นแอ็กชั่นสตาร์เบอร์หนึ่งที่เปี่ยมอิทธิพลและบารมีในวงการฮอลลีวูดไปเรียบร้อยแล้ว ก็ปฏิเสธที่จะกลับมา นั่นจึงทำให้ F9 ภาคล่าสุดที่ออกฉายเมื่อปี 2021 ไม่มีเจ้าตัวร่วมแสดงและไม่ถูกพูดถึงในหนังเลย แถมโปรเจ็กต์ภาคต่อของ Hobbs & Shaw ก็ถูกยุบไปด้วย
เคล็ดลับความสำเร็จของ เดอะ ร็อก ในฮอลลีวูด
นับตั้งแต่เล่นหนังเรื่องแรกเมื่อปี 2001 จนมาถึงวันนี้ กราฟความสำเร็จของ เดอะ ร็อก พุ่งขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ เขายกสถานะตัวเองเป็นนักแสดงเนื้อหอมที่ทำรายได้มากที่สุดในโลก โดยเมื่อปี 2018 สื่อธุรกิจชั้นนำอย่าง FORBES เปิดเผยว่า ดเวย์น จอห์นสัน ที่อยู่ในช่วงพีกที่สุดในวงการบันเทิง ทำเงินไปทั้งสิ้น 124 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากงานแสดง งานพรีเซ็นเตอร์ รวมถึงธุรกิจต่าง ๆ ทั้งโปรเจ็กต์สินค้าออกกำลังกายกับแบรนด์ Under Armour หรือ Seven Bucks Entertainment บริษัทผลิตสื่อที่เขาก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2012 เพื่อทำภาพยนตร์ ซีรีส์ รายการทีวี ในความดูแลของตัวเอง
Photo : UA
ที่ผ่านมามีนักมวยปล้ำไม่น้อยที่กระโดดออกจากวงการ สปอร์ต เอ็นเตอร์เทนเมนต์ สู่จอเงิน ไล่ตั้งแต่ ฮัลค์ โฮแกน, แรนดี ซาเวจ, เลนนี่ มอนตาน่า, สโตนโคลด์ สตีฟ ออสติน, เคิร์ท แองเกิล, ทริปเปิลเอช ฯลฯ แต่ก็ไม่มีใครมีผลงานเล่นหนังได้มากเท่า เดอะ ร็อก หรือกระทั่งนักมวยปล้ำรุ่นน้องที่ผันตัวมาเล่นหนังฮอลลีวูดตามรอยอย่าง จอห์น ซีน่า หรือ เดฟ บาติสต้า ที่แม้จะเริ่มสร้างชื่อให้คนดูรู้จักบ้างแล้ว แต่ออร่าและพลังดารายังห่างชั้น เดอะ ร็อก พอสมควร
แล้วอะไรที่เป็นเคล็ดลับความสำเร็จในวงการบันเทิงของ เดอะ ร็อก ? แน่นอนว่าต้องขอบคุณ WWE ที่ปลุกปั้นให้ เดอะ ร็อก มีชื่อเสียงและผลักดันให้ไปออกรายการทีวีจนเป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งด้วยบุคลิกช่างจ้อ ช่างคุย พูดได้ไม่หยุดของเขาที่ติดมาจากสังเวียนมวยปล้ำ ประกอบกับ เดอะ ร็อก มีออร่าความเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ฉายแสงกว่านักมวยปล้ำคนอื่นที่มีบุคลิกดูแข็งและแห้งแล้งไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่เมื่อถูกส่งไปออกรายการทีวีเหมือนกัน จึงทำให้ เดอะ ร็อก โดดเด่นกว่าใคร เรียกว่าเขาสามารถใช้จุดเด่นของตัวเองให้เป็นประโยชน์ในวงการบันเทิงก็ว่าได้
ต่อมาคือ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนคเกอร์ แอ็กชั่นสตาร์รุ่นพี่ที่เขานับถือ สิ่งที่นักแสดง “คนเหล็ก” ทำในยุคของเขาคือรับงานแสดงที่หลากหลายทั้ง บู๊ ตลก และแฟนตาซี เช่น Last Action Hero, True Lies, Junior, Jingle All the Way หรือหนังฮีโร่ที่โดนสับเละอย่าง Batman & Robin ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ อาร์โนลด์ ทำงานได้หลายมิติผิดกับ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน เพื่อนร่วมรุ่นร่วมวงการที่เลือกเล่นแต่หนังแอ็กชั่นอย่างเดียว จนเป็นดาบสองคมทำให้เขาไม่สามารถทำงานแนวอื่นได้เลยในช่วงหนึ่ง
Photo : facebook.com/arnold
การไม่ผูกติดกับการเล่นหนังแอ็กชั่นบู๊ระห่ำของ อาร์โนลด์ จึงกลายเป็นต้นแบบที่ทำให้ เดอะ ร็อก เลือกที่จะเดินเจริญรอยตาม ซึ่งผลที่ออกมาก็คือเขามีงานจ้างที่หลากหลาย เล่นหนังอะไรก็ได้ บู๊ก็ดี ตลกก็ขำ ดราม่าก็โอเค ทำให้อาชีพนักแสดงของ เดอะ ร็อก เลยไม่พบทางตันเหมือนกับนักแสดงคนอื่น ๆ
การเลือกรับงานก็สำคัญ ใครที่ติดตามดูหนังของ เดอะ ร็อก ในยุคหลังจะเห็นได้ว่าหนังของเขามีจุดร่วมเดียวกันอยู่หนึ่งอย่างคือเป็น “หนังที่มอบความบันเทิงในครอบครัว” ทำนองว่าเด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี ไม่มีพิษภัย ดังนั้นนอกจากหนังบู๊เข้ม ๆ อย่างแฟรนไชส์ Fast & Furious เขาก็มีหนังสนุก ๆ สำหรับคนทุกเพศทุกวัยให้ดูอย่าง Central Intelligence หนังคู่หูตำรวจสุดฮาขำกลิ้ง, เทพหัวฟูสุดน่ารักในการ์ตูนเรื่อง Moana, หนังแอ็กชั่นผจญภัยแบบ Jumanji ทั้งสองภาค, หนังปลุกฝันให้วัยรุ่นแบบ Fighting with My Family หรือล่องเรือตามหากลีบดอกไม้วิเศษมารักษาโรคภัยในเรื่อง Jungle Cruise ที่สนุกถูกใจเด็กและผู้ใหญ่
ขณะเดียวกันบุคลิกที่ถ่อมตัวไม่คุยโม้โอ้อวด (ยกเว้นตอนอยู่บนเวทีมวยปล้ำ) รวมถึงการทุ่มเทกับงานที่ได้รับมอบหมายอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นบทบาทนักแสดงหรือนักธุรกิจ ทำให้ เดอะ ร็อก เป็นคนที่ใครก็อยากร่วมงานด้วย และนอกจากนี้หากสังเกตกันจะเห็นว่าเราแทบไม่เคยเห็นข่าวด้านลบหรือข่าวเสียหายของเขา ทำให้เขามีภาพลักษณ์ที่ดีที่เรียกว่าเป็น Mr. Nice Guy คนหนึ่งของวงการ
Photo : IMDB
อีกเรื่องที่น่านับถือคือการกล้าที่จะออกจาก comfort zone ไปหาความท้าทายใหม่ เพราะอย่างที่รู้กันว่าสมัยที่เป็นนักมวยปล้ำ เดอะ ร็อก คือซูเปอร์สตาร์ที่โด่งดังที่สุดของ WWE แฟน ๆ ยกให้เขาเป็นฮีโร่หรือไอดอล แถมมีรายได้การันตีทุกเดือน ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องออกมาเล่นหนังก็ได้เพราะในเมื่ออยู่กับ WWE ก็สบายอยู่แล้ว แต่เจ้าตัวก็เลือกที่จะออกไปหาโอกาสใหม่ ๆ และใช้จุดเด่นของตัวเองบนสังเวียนให้เป็นประโยชน์ในสายงานอื่น ซึ่งมันก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะนั่นทำให้ เดอะ ร็อก พบเจอเส้นทางความสำเร็จใหม่ในชีวิต หรือหากทำงานแล้วผลลัพธ์ล้มเหลว เช่น หนังบางเรื่องโดนนักวิจารณ์ด่าหรือรายได้ไม่เข้าเป้า เขาก็จะเก็บมันมาเป็นบทเรียนเพื่อทบทวนตัวเองและลุกขึ้นสู้ใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ
ด้วยวีธีการทำงานและการทุ่มเทมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่คนดูที่เป็นแฟนคลับของเขา ที่แม้จะถูกแซวบ่อยในระยะหลังว่าเล่นหนังเรื่องไหนก็บทซ้ำเดิมและบุคลิกเหมือนกันทุกเรื่อง แต่แฟนคลับและผู้สร้างก็ไม่สน เพราะไม่ว่าจะเล่นหนังเรื่องไหนเขาก็ยังการันตีรายได้อันงดงามและความสนุกให้หนังทุกเรื่องได้เสมอ ดังนั้นจงอย่าแปลกใจหากเราจะยังคงเห็น เดอะ ร็อก หรือ ดเวย์น จอห์นสัน โลดแล่นอยู่ในวงการฮอลลีวูดและเล่นหนังให้ดูกันไปอีกยาวนานหลาย 10 ปีต่อจากนี้