รวมใจและเชื่อมั่น : เบื้องหลังพลังศรัทธาที่พา โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส กลับมาเป็นแชมป์ NBA
กลับมาคว้าแชมป์อย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งสำหรับ โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส ที่สามารถล้ม บอสตัน เซลติกส์ ในรอบชิงชนะเลิศของ NBA ฤดูกาล 2021-22 คว้าแชมป์มาครองได้เป็นสมัยที่ 7 ของแฟรนไชส์
หากมองผ่าน ๆ อาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่วอร์ริเออร์สคว้าแชมป์ NBA เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาคือมหาอำนาจของวงการเกมยัดห่วงอย่างแท้จริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว 2 ปีก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้ไปเพลย์ออฟติดต่อกัน แถมฤดูกาล 2019-20 วอร์ริเออร์สยังจบในฐานะอันดับสุดท้ายของสายตะวันตกอีกด้วย
หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านั่นคือจุดจบของช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ของวอร์ริเออร์ส แต่พวกเขากลับมาคว้าแชมป์ได้อย่างไร ติดตามไปพร้อมกับ Main Stand
จุดเริ่มต้นของขาลง
ฤดูกาล 2018-19 ของบาสเกตบอล NBA จบลงด้วยความผิดหวังของ โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส แม้ว่าพวกเขาจะได้เข้าชิงชนะเลิศในฐานะแชมป์ของสายตะวันตกเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน แต่การพ่ายแพ้ให้ โตรอนโต แรปเตอร์ส จนพลาดแชมป์ ก็คือเป้าหมายที่ไม่เป็นไปตามเป้าของทีม
เพราะหลายฝ่ายคาดการณ์กันว่านี่อาจจะเป็นปีที่สุดท้ายที่วอร์ริเออร์สมีโอกาสลุ้นแชมป์แบบไม่มีใครเทียบได้ เนื่องด้วยสัญญาของหนึ่งในผู้เล่นคนดัง อย่าง เควิน ดูแรนท์ กำลังจะหมดลงกับทีมหลังจบฤดูกาลดังกล่าว
เมื่อไม่ได้แชมป์ตามเป้าหมาย ทุกคนจึงหันไปสนใจว่าดูแรนท์ที่กำลังมีปัญหากับทีมจะเลือกต่อสัญญากับวอร์ริเออร์สหรือจะเดินจากทีมไป
สุดท้ายทุกอย่างก็เป็นไปตามคาดการณ์ ดูแรนท์ไม่ต่อสัญญากับวอร์ริเออร์สและย้ายไปซบอก บรูกลิน เน็ตส์ ซึ่งนั่นทำให้วอร์ริเออร์สต้องขาดจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่ พร้อมกับต้องหาทางที่จะเริ่มสร้างทีมขึ้นมาใหม่ทดแทนการเสียผู้เล่นระดับรางวัล MVP มาให้ได้
“ความเปลี่ยนแปลงมันเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แน่นอนผมไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ถึงจุดหนึ่งเราทุกคนจะรู้ว่าชีวิตต้องเดินต่อไป ผมแค่ต้องยอมรับมันให้ได้” สตีฟ เคอร์ โค้ชใหญ่ของวอร์ริเออร์ส กล่าวหลังจากเสียผู้เล่นคนสำคัญ
แต่นั่นไม่ใช่ผู้เล่นคนเดียวที่วอร์ริเออรส์ต้องเสียไป เพราะในรอบชิงชนะเลิศของฤดูกาล 2018-19 เคลย์ ธอมป์สัน อีกหนึ่งผู้เล่นคนสำคัญได้รับบาดเจ็บบริเวณเอ็นเข่า ACL จนต้องเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งนั่นจะทำให้เขาไม่สามารถกลับมาเล่นได้ในฤดูกาล 2019-20
แค่การเสีย เคลย์ ธอมป์สัน ระหว่างรอบชิงชนะเลิศก็ทำให้วอร์ริเออร์สพลาดแชมป์ แต่เมื่อต้องเสีย เควิน ดูแรนท์ ไปอีกคน ยิ่งทำให้หลายฝ่ายมองว่าโอกาสคว้าแชมป์ของวอร์ริเออร์สจะยากขึ้นไปอีก หรือที่แย่สุดคือเสียความยิ่งใหญ่ไปตลอดกาล
อย่างไรก็ตามวอร์ริเออร์สดูไม่ได้เสียขวัญเท่าไหร่นัก พวกเขาไม่ได้ดึงผู้เล่นชื่อดังเข้ามาเสริมทีม และเลือกที่จะดราฟต์ผู้เล่นเข้าสู่ทีมตามปกติ
ดูเหมือนว่าวอร์ริเออร์สเห็นโอกาสในการเสียผู้เล่นตัวหลัก และใช้เป็นโอกาสดีที่จะให้ผู้เล่นหน้าใหม่ได้มีโอกาสลงสนามมากขึ้น เพื่อพัฒนาฝีมือในการเล่นของตัวเองขึ้นไปอีก โดยมีเพียงแค่ สเตฟเฟน เคอร์รี่ ยอดนักบาสเบอร์ 1 ของทีม คอยประคองทีมก็พอ ซึ่งทีมเชื่อจริง ๆ ว่าแค่เคอร์รี่นำทีมเพียงคนเดียวพร้อมกับผู้เล่นคนอื่นก็น่าจะประคองตัวเข้าสู่รอบเพลย์ออฟได้
“คุณต้องเชื่อใจในกันและกัน คุณต้องเชื่อใจกันมากจริง ๆ เราต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกัน … ผมพยายามหาผู้เล่นที่ดีที่สุด ในเวลาที่ย่ำแย่แบบนี้ แต่บางครั้งเราอาจไม่ได้พร้อมที่สุด ซึ่งมันก็ไม่ใช่ความผิดของใครหรอก” บ็อบ มายเยอร์ส ผู้จัดการทั่วไปของโกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส กล่าว
อย่างไรก็ตามทุกอย่างผิดแผนตั้งแต่ฤดูกาลเริ่มไปเพียง 5 เกม เพราะเคอร์รี่ได้รับบาดเจ็บนิ้วหักจนต้องพักอย่างน้อยเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งนั่นส่งผลเสียมหาศาลแก่ทีมวอร์ริเออร์สและทำให้พวกเขาแพ้รวดจนแทบไม่ชนะใครเลย ซึ่งถึงแม้ว่าเคอร์รี่จะกลับมาในช่วงท้ายฤดูกาลมันก็สายเกินแก้แล้ว วอร์ริเออร์สจบการแข่งขันในฐานะอันดับสุดท้ายของสายตะวันตก หมดสภาพอดีตทีมที่เข้าชิง 5 ครั้งติดต่อกันก่อนหน้านี้
ร่วมใจช่วยกันสู้
ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะ บ็อบ มายเยอร์ส ยอมรับว่าแม้เขาจะทำเต็มที่กับฤดูกาลที่ผ่านมา แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เนื่องจากอาการบาดเจ็บของทั้ง เคลย์ ธอมป์สัน และ สเตฟเฟน เคอร์รี่ ไม่ใช่สิ่งที่ทีมคาดคิดไว้ รวมถึงในตอนแรกทีมก็เชื่อว่า เควิน ดูแรนท์ จะต่อสัญญากับทีม ไม่ใช่ย้ายไปอยู่กับ บรูกลิน เน็ตส์
แต่อย่างน้อยฤดูกาลอันเลวร้ายก็ช่วยให้โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส มีเวลาวางแผนที่จะชุบชีวิตทีมกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้งในระยะยาว
ครั้งนี้ต่างจากฤดูกาลที่ผ่านมา วอร์ริเออร์สยอมรับความจริงว่าพวกเขาเป็นรองหลายทีม ทั้ง ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส, ลอสแอนเจลิส คลิปเปอร์ส, ดัลลัส แมฟเวอริกส์ ดังนั้นโฟกัสของทีมจึงไม่ใช่การพยายามดึงดันฝืนมองเป้าหมายที่การรักษาความยิ่งใหญ่และโอกาสในการคว้าแชมป์ แต่เป็นการพัฒนาทีมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เนื่องจากไม่ต้องเร่งรีบไปคว้าแชมป์ วอร์ริเออร์สจึงยังเชื่อในแนวทางของตัวเองด้วยการค่อย ๆ สร้างทีมเหมือนกับที่พวกเขาได้ทำมา นั่นคือเน้นใช้สิทธิ์ดราฟต์ที่ทีมมีอย่างคุ้มค่า ซึ่งในอดีตวิธีการนี้เคยช่วยให้วอร์ริเออร์สได้ผู้เล่นอย่าง สเตฟเฟน เคอร์รี่, เคลย์ ธอมป์สัน และ เดรย์มอนด์ กรีน เข้ามาเป็นกำลังหลักไล่ล่าแชมป์ให้กับทีมมา 3 สมัย
วอร์ริเออร์สเลือกที่จะดราฟต์ผู้เล่นแบบปกติต่อไป ไม่ใช่เพราะเชื่อใจในผู้เล่นรุ่นใหม่มากกว่า แต่เพราะทีมเชื่อว่านักบาสที่ทีมให้โอกาสเลือกเข้าลีกตั้งแต่แรกจะจงรักภักดีกับทีม ลงสนามเล่นสุดใจเพื่อทีมในการล่าความสำเร็จ เพราะทีมได้เห็นชัดเจนแล้วว่าคนอย่าง เคอร์รี่, ธอมป์สัน และ กรีน ทุ่มเทเพียงใด อีกทั้งยังไม่เคยมีความคิดที่จะขอเทรดย้ายทีมออกไปเลย แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในจุดที่ทีมไม่ได้ลุ้นแชมป์อีกต่อไป
“มันคือบททดสอบที่เราต้องเจอ เราต้องเผชิญหน้ากับอาการบาดเจ็บ มีคนมากมายไม่เห็นค่าของเรา มันต้องใช้ความอดทนมหาศาล รวมถึงพวกเราทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจอย่างมาก เราต้องเชื่อใจในกันและกัน” เดรย์มอนด์ กรีน กล่าว
แน่นอนว่าทุกอย่างไม่ได้สร้างกันง่าย ๆ วอร์ริเออร์สยังคงทำผลงานได้ไม่ดีนักในฤดูกาล 2020-21 แม้ว่าจะมีโอกาสได้สู้เพื่อลุ้นพื้นที่เพลย์ออฟหลังจากจบอันดับ 8 ของสายตะวันตก แต่สุดท้ายพวกเขาก็แพ้ในรอบเพลย์อิน (การหาทีมไปเล่นในรอบเพลย์ออฟ ระหว่างอันดับ 7 ถึง 10) ให้กับ เมมฟิส กริซลีส์ ตกรอบไปในที่สุด
แน่นอนว่าเป็นอีกครั้งที่วอร์ริเออร์สต้องถูกสบประมาท เพราะทีมก็ยังดูไม่เห็นอนาคตที่จะกลับไปเป็นแชมป์ได้ในเร็ววัน เพราะ เคลย์ ธอมป์สัน ก็ยังไม่หายเจ็บกลับมา อีกทั้ง 2 ปีที่ผ่านมาก็ไม่มีผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์มาเพิ่ม การสร้างผู้เล่นหน้าใหม่ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าเป้า ไม่เห็นแววที่จะมีใครขึ้นมาแบกภาระช่วยเคอร์รี่ได้เลย
แต่นั่นไม่ได้ทำให้ขุนพลวอร์ริเออร์สรู้สึกท้อแท้แม้แต่น้อย หรือทำให้ผู้เล่นตัวดัง ๆ ออกลูกงอแงอยากย้ายทีม หากแต่นั่นยิ่งผลักดันให้พวกเขาต้องการจะกลับมาประสบความสำเร็จให้เร็วที่สุด
“เราเคยมีสถิติที่แย่ที่สุดในลีก ต้องเจอปัญหาบาดเจ็บมากมาย ตะเกียกตะกายให้ได้เข้ารอบเพลย์อินเพียงเพื่อจะได้มีสิทธิ์ไปเล่นในรอบเพลย์ออฟ”
“ผมคิดว่าเรามีจิตวิญญาณของนักสู้ เรามีความเชื่อ และเชื่อมั่นจริง ๆ ว่าเราทำได้ดีแค่ไหน พวกเราพูดคุยกันตลอดทั้งปีว่าเรามี DNA ของการเป็นแชมป์อยู่” สเตฟเฟน เคอร์รี่ กล่าว
ความกล้าที่จะให้โอกาสกับผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ความเชื่อมั่นอาจไม่ได้ช่วยให้วอร์ริเออร์สเป็นแชมป์ แต่อย่างน้อยมันทำให้ผู้เล่นหลายคนของทีมไม่หมดศรัทธา ขอล่มหัวจมท้ายกับทีมต่อไปและไม่ต้องการจะย้ายไปเล่นให้กับทีมอื่น เพราะเชื่อว่าพวกเขาจะกลับมาได้อีกครั้ง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะดูไม่เห็นหนทางเลยก็ตาม
เมื่อผู้เล่นเก่ง ๆ ยังอยู่กันครบก็ถึงเวลาที่จะวัดความสามารถของเชฟที่ได้ครอบครองวัตถุดิบ นั่นคือ สตีฟ เคอร์ โค้ชใหญ่ของทีมว่าจะมีกึ๋นพอหรือไม่กับการดึงศักยภาพของผู้เล่นในทีมขึ้นมา
ต้องยอมรับว่าตลอด 2 ปีที่ผ่านมาเคอร์รี่ต้องแบกภาระเกมบุกของทีมอยู่คนเดียว จนทำให้เป็นเรื่องง่ายที่จะรับมือกับวอร์ริเออร์ส แต่ในฤดูกาล 2021-22 ทางด้าน สตีฟ เคอร์ กล้าที่จะให้โอกาสผู้เล่นคนอื่นได้ลงมาเล่นและเป็นตัวความหวังของทีมโดยไม่ต้องพึ่งเคอร์รี่เพียงอย่างเดียว
ซึ่งความไว้ใจของเคอร์ได้ทำให้ผู้เล่นหลายคนมีผลงานดีในแบบที่หลายคนไม่ได้คาดหวัง เช่น อ็อตโต้ พอร์เตอร์ จูเนียร์, มูซ มูดี้ และ จอร์แดน พูล เพราะเมื่อได้มีเวลาลงสนามมากขึ้นนักบาสเหล่านี้ก็ได้พัฒนาฝีมือและแสดงจุดเด่นให้เห็นมากขึ้นตาม สุดท้ายผลดีก็กลับไปอยู่ที่ตัวของเคอร์ที่สามารถใช้งานผู้เล่นเหล่านี้ช่วยทีมได้อย่างถูกจุด
รวมถึง แอนดรูว์ วิกกินส์ ที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นคู่หูของเคอร์รี่ในการช่วยสร้างเกมรุกของทีมได้อย่างโดดเด่นในปีนี้ ก็ยอมรับว่า สิ่งที่ทำให้เขาทำผลงานจนก้าวเข้าไปติดทีมออลสตาร์ในฤดูกาล 2021-22 ได้มาจากการได้รับความไว้วางใจให้ได้เล่นในสนามมากขึ้น รวมถึงได้รับแรงผลักดันจากทีมจนก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นที่ทำผลงานได้ดีในแบบที่ทีมคาดหวัง
แน่นอนว่ามันทำให้วอร์ริเออร์สออกสตาร์ทได้เป็นอย่างดีในฤดูกาลนี้ ถึงจะไม่ใช่ทีมที่ดีที่สุดในสายตะวันตกหรือ NBA แต่ผู้เล่นคนใหม่ ๆ ที่ก้าวขึ้นมาก็ทำผลงานได้ดีพอที่จะพาวอร์ริเออร์สคว้าอันดับ 3 ของสายตะวันตก ได้ลุ้นแชมป์ในรอบเพลย์ออฟ
ซึ่งวอร์ริเออร์สก็อยู่ในจุดที่ดีพร้อมกับการล่าแชมป์ เพราะช่วงท้ายฤดูกาลปกติพวกเขาได้ เคลย์ ธอมป์สัน กลับมาช่วยทีมอีกครั้ง ทำให้วอร์ริเออร์สมีทีมที่สมบูรณ์เดินหน้าไล่ล่าแชมป์ได้ทันที
สุดท้าย โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส ก็สามารถทำได้สำเร็จ พวกเขาปราบ บอสตัน เซลติกส์ 4 ต่อ 2 เกมในรอบชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง ทั้งที่พวกเขาก็ไม่ใช่ตัวเต็ง แต่นี่ถือเป็นการคว้าแชมป์ที่น่าจดจำมาก ชนิดที่เรียกว่า สตีฟ เคอร์ ได้รับการยกย่องว่านี่คือผลงานการคุมทีมที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่เขาเคยคุมทีมวอร์ริเออร์สมา
ขณะที่ สเตฟเฟน เคอร์รี่ ก็สามารถปลดล็อกอาถรรพ์หลังการคว้าแชมป์ 3 ครั้งแต่ไม่เคยได้รางวัล MVP รอบชิงชนะเลิศแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเขาสามารถคว้ารางวัลนี้มาได้ในที่สุดด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมในฐานะหัวใจของทีม แม้ว่าจะมีอาการบาดเจ็บก็ตาม
“2 เดือนก่อนหน้านี้ผมได้รับบาดเจ็บ เกมรับของเราแย่มาก เราต้องสู้แทบตายเพื่อเข้ามาในรอบเพลย์ออฟ และผมพูดเลยว่าเราสู้จนอยู่ในจุดที่ผมกล้าพูดว่าเราดีที่สุด”
“ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าการผลัดเปลี่ยนโอกาสการลงเล่นมันจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าเราจะทำได้ดีแค่ไหน เพราะเราต้องทำตามสถานการณ์ที่เราเป็นอยู่ และมันโคตรบ้า เพราะถ้าเราไม่ได้ทำเราคงมาไม่ถึงจุดนี้”
“ทุกอย่างที่เราได้ทำมามันได้พาเรามาอยู่ในโชคชะตาที่เราหวังไว้ มันทำให้เรารู้ว่ามีแต่พวกเราเองเท่านั้นที่จะรู้ว่าพวกเรามีค่ามากแค่ไหน ในวันที่มีแต่คนพูดสิ่งแย่ ๆ ใส่เรา และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราเป็นแชมป์” เคอร์รี่ กล่าว หลังจากพา โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส คว้าแชมป์อีกครั้ง
สุดท้ายแล้วปฏิเสธไม่ได้ว่า โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส เคยอยู่ในจุดที่พวกเขาไม่สามารถกลับมาได้อีกครั้งจนมีช่องทางที่ทีมของพวกเขาจะแตกสลาย ซูเปอร์สตาร์แยกย้ายกันไป หากว่าผู้เล่นหลายคนไม่ได้เชื่อใจในแฟรนไชส์นี้
แต่สุดท้ายผู้เล่นทุกคน ทีมงานสตาฟโค้ช และผู้บริหารต่างเชื่อใจในทีม เชื่อมั่นว่าพวกเขาจะกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง แม้ว่าในหลายจุดมองไม่เห็นว่าจะกลับมาเป็นทีมที่ดีได้อย่างไร แต่สุดท้ายด้วยความเชื่อใจกันก็นำไปสู่การให้โอกาสผู้เล่นที่ไม่ได้มีชื่อเสียง จนพวกเขาเข้ามาเสริมผู้เล่นตัวหลักที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้งและให้ผลตอบแทนอันคุ้นค่าจนพาวอร์ริเออร์สกลับมาเป็นแชมป์ได้ในที่สุด