"กาเบรียล เชซุส" : บทบาทพระเอกครั้งแรกที่ อาร์เซน่อล ของพระรองตลอดชีวิต
กาเบรียล เชซุส กำลังจะเป็นนักเตะใหม่ของ อาร์เซน่อล อย่างเป็นทางการแล้ว และกระแสของแฟนปืนใหญ่ก็เริ่มคาดหวังถึงการเข้ามาของเขาในฐานะ "ตัวท็อป" ของทีม
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างอาจไม่ง่าย เพราะโดยเนื้อแท้และธรรมชาติแล้ว เชซุส เป็นนักเตะอีกประเภทหนึ่ง และทุกคนที่เคยร่วมงานกับเขาตั้งแต่ 8 ขวบจนถึงปัจจุบันต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "มีนักเตะแบบนี้ไม่มากนักที่ยอมเป็นพระรองและไม่เอ่ยบ่นถึงบทบาทของตัวเอง"
นี่คือก้าวครั้งสำคัญมากๆ สำหรับพระรองวัย 25 ปี กับการยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นพระเอกเต็มตัว ติดตามเรื่องราวของ เชซุส ได้ที่นี่
จุดเริ่มต้นของแข้งพระรอง
กาเบรียล เชซุส คือหนึ่งในนักเตะบราซิลที่แจ้งเกิดและถูกจับตาว่าจะเป็นตัวหลักในทีมชาติตั้งแต่ที่เขายังเล่นอยู่กับ พัลไมรัส สโมสรแรกของเขา ช่วงเวลานั้นเกิดขึ้นราวปี 2015 ที่เชซุสมีพัฒนาการขึ้นมาอย่างโดดเด่น เขาก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมตั้งแต่อายุ 18 ปี ก่อนที่การเดินทางอันแสนน่าตื่นเต้นของเขาจะเริ่มขึ้น
เราเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านคงเคยได้เห็นภาพในอดีตของเชซุสที่เขากำลังรับจ้างทาสีถนนเพื่อเตรียมเมืองให้พร้อมในวันที่บราซิลได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2014 ภาพนั้นบ่งบอกได้เป็นนัยๆ ถึงชีวิตและจุดเริ่มต้นของเขาก่อนจะก้าวมาถึงจุดนี้เป็นอย่างดี
เชซุส เป็นเด็กหนุ่มจากครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ยากจน ไม่มีอะไรมากไปกว่าการพยายามจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพเพื่อถีบชีวิตไปให้ไกล และเรื่องราวของเชซุสสมัยยังหนุ่มเคยถูกนำเสนอโดยสื่อในอังกฤษอย่าง เดอะ การ์เดียน ที่ลงพื้นที่ถึง เซา เปาโล บ้านเกิดของเขา และพบว่านี่คือเด็กหนุ่มที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตัวอยู่เสมอ
เรื่องนี้มันเริ่มขึ้นตอนเขาอายุ 8 ขวบ ที่ถูกเล่าโดยชายที่มีชื่อว่า โชเซ่ ฟรานซิสโก้ "มาเมเด้" ผู้ก่อตั้งสโมสรฟุตบอลท้องถิ่น Pequeninos do Meio Ambiente เพื่อให้เด็กๆได้มีเกมลงเล่น โดยที่เขาเป็นโค้ชอาสาแบบไม่มีค่าจ้าง มาเมเด้ เจอกับ เชซุส ครั้งแรกและเล่าว่า เชซุสมาที่ทีมตอน 8 ขวบ สนามของทีมยังเป็นสนามดินขรุขระ และเชซุสก็เริ่มแสดงความแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆให้เขาได้เห็น
โดยปกติแล้ว นักเตะบราซิลจะมีรูปแบบวิธีการเล่นที่ค่อนข้างควบคุมยาก รักความสบาย ใช้อารมณ์ และทักษะมากกว่าวินัย เรียกง่ายๆว่าเป็นพวก "ศิลปิน" โดยกำเนิด แต่สำหรับ เชซุส มาที่นี่ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน เขาจึงเป็นคนที่ไม่เคยอิดออดเรื่องการซ้อมหรือพยายามทำอะไรที่โค้ชไม่ได้สั่งเลย
"เขามาที่นี่ตอน 8 ขวบพร้อมรองเท้าแตะ เกมแรกผมให้เขายืมรองเท้าของเด็กอีกคน ได้เห็นเขาเลี้ยงผ่านผู้เล่นที่โตกว่า 3 คนสบายๆ" มาเมเด้ เริ่มเล่า
"จริงๆแล้วมีเด็กหลายคนที่ทำแบบนี้ได้ แต่ภาระและสิ่งแวดล้อมได้พาพวกเขาไปจากสนามฟุตบอล ผมพยายามสร้างทีมนี้ให้ห่างไกลจากการเป็นกุ๊ยข้างถนน ผมพาพวกเขาไปแข่งตามที่ต่างๆด้วยรถเต่าของผมที่อัดแน่นด้วยนักเตะเด็กๆเป็น 10 คน"
"ผมบอกกับเชซุส และเขาตอบกลับมาว่า -เขาจะไม่มีวันพลาดการฝึกซ้อมแม้แต่ครั้งเดียว และจะลงเล่นทุกเกมที่ผมให้โอกาสเขา- แล้วเขาก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เขาไม่ใช่นักเตะประเภทที่ชอบหลบหลังคนอื่นและแกล้งทำท่าเหมือนซ้อมเพื่อลงสนามอย่างเดียว"
"ผมมีเด็กทั้ง 10 คนที่เก่งพอๆกันหรืออาจจะมากกว่าเขา แต่สุดท้ายไม่มีใครได้ดีไปกว่าเขาเลย และความต่างเดียวที่ผมเชื่อมาเสมอคือ คนอื่นไปไม่ถึงจุดที่เชซุสยืนอยู่เพราะพวกเขาขี้เกียจเกินไป และสิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเชซุสเลย"
ส่วนวิธีการเล่นของ เชซุส เมื่อโตขึ้นก็ยิ่งแตกต่างกับนักเตะบราซิลคนอื่นๆ แม้พื้นฐานทักษะด้านฟุตบอลจะยอดเยี่ยม แต่สิ่งที่เซชุสถนัดที่สุดคือการยิงประตู และเป็นการยิงแบบประเภท "รอชาร์จ" แบบที่เราได้เห็นกันบ่อยๆ จนเขาถูกเรียกอีกชื่อว่า "เตตินญ่า" ซึ่งเป็นศัพท์แสลงภาษาโปรตุเกสที่แปลว่า "ง่าย"
คุณสมบัตินี้ทำให้เขาได้ก้าวขึ้นไปอยู่ในทีมอคาเดมีของพัลไมรัส ก่อนจะพาทีมคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 22 ปี ณ เวลานั้น เชซุสเป็นดาวซัลโวของทีม และนั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เขาได้เป็นพระเอกเบอร์ 1 ของทีม เพราะเขาเลือกจะออกจากเซฟโซนและย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 32 ล้านปอนด์ ในปี 2017 โดยรู้ทั้งรู้ว่าคนที่ขวางทางเขาอยู่คือ เซร์คิโอ อเกวโร่ ดาวยิงตัวท็อปของโลก
จอมขยันแห่งเอติฮัด
เชซุส อาจจะเป็นนักเตะที่มีค่าเฉลี่ยการยิงประตูที่ดีมากๆ หากคิดเป็นนาทีตลอดช่วงเวลา 5 ปีของเขาที่ แมนฯ ซิตี้ แต่ความจริงคือ เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ถูกอันเดอร์เรต (ถูกประเมินต่ำกว่าความเป็นจริง) อยู่เสมอ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่เขากำลังจะโบกมือลา
ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เป็นทีมที่คาดเดา 11 ตัวจริงได้ยาก และแทบไม่สามารถการันตีตำแหน่งในทีมให้กับใครได้เลยนอกจากเหล่าตัวหลักอย่าง เควิน เดอ บรอยน์, รูเบน ดิอาส และ โรดรี้ เพราะที่เหลือจะมีการสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งรวมถึงแผนการเล่นอยู่แทบทุกเกม
เรื่องดังกล่าวถือเป็นปัญหาที่ เชซุส เองต้องเผชิญ เพราะเขามักจะถูกเลือกให้เป็นเบอร์ 2 ตลอด ไม่ว่าจะตำแหน่งกองหน้าที่เคยมี อเกวโร่ ขวางทางอยู่ หรือแม้กระทั่งตอนที่ อเกวโร่ ออกจากทีมไปแล้ว ตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าที่เป็นตำแหน่งถนัดก็ยังไม่ได้เป็นของเขาเสียทีเดียว เพราะมีการใช้นักเตะอย่าง ฟิล โฟเดน หรือ เดอ บรอยน์ มายืนแทนบ่อยๆ จน เชซุส ต้องขยับมาเป็นผู้เล่นตัวรุกในฝั่งขวาที่อาจจะไม่ใช่ตำแหน่งที่ดีที่สุดของเขาก็ตาม
เชซุส ทำงานหนักและไม่เคยปริปากบ่นเรื่องตำแหน่งของตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียวตลอดช่วงเวลาที่เขาอยู่กับ แมนฯ ซิตี้ เขาพร้อมทำงานหนักและตอบสนองความต้องการของโค้ช เพราะในช่วงเวลาที่ เป๊ป ต้องการประตูหรือหย่อนเขาลงสนาม เขาก็มักจะมีประตูติดไม้ติดมือทุกครั้งไป
"ผมเล่นตรงริมเส้นได้เหมือนกัน ผมเคยรับบทบาทนี้ในทีมชาติมาแล้วตลอด 2 ปีหลัง ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรทั้งนั้นกับเรื่องตำแหน่ง ผมวิ่งไปได้ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ครองบอล จ่ายบอล ส่งบอล ช่วยเล่นเกมรับ ผมทำได้หมด ดังนั้นก็ดีเหมือนกันสำหรับตำแหน่งปีก ผมว่ามันก็เหมาะกับผมไม่น้อยเลย" เชซุส เล่าถึงบทบาทที่เปลี่ยนไปของเขา
ทัศนคติและความไม่อิดออดคือสิ่งที่ เป๊ป ชื่นชอบในตัวของ เชซุส มาก เชซุสเข้าใจถึงขนาดของทีมที่ใหญ่และบทบาทของตัวเองที่อาจจะไม่เด่นเท่าคนอื่นๆ แต่ในเบื้องหลัง เขาคือคนที่ขยันทำงานหนักไม่แพ้ใครและสามารถเล่นร่วมกับใครก็ได้ในทีม นั่นเป็นคุณสมบัติที่ เป๊ป พูดถึง เชซุส อยู่เสมอ
"กาเบรียล เชซุส ยอดเยี่ยมอย่างที่สุด เราจะจัดเขาลงเล่นกับใครก็ได้ ขึ้นอยู่กับระบบและแผนของคู่ต่อสู้ กับทีมชาติบราซิล เขาเคยเล่นฝั่งซ้ายมาก่อน แม้จะไม่ใช่ปีกอาชีพอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง แต่เมื่อเขาไปเล่นตรงนั้นคุณจะได้ปีกที่เคลื่อนที่เข้าไปในกรอบเขตโทษได้เก่งที่สุด วิธีการทำงานของเชซุสคือสิ่งที่ผมต้องใช้คำว่าน่าเหลือเชื่อ เขาพร้อมจะวิ่งออกตัวเคลื่อนไหวสร้างพื้นที่กับทีมในทุกๆจังหวะ เรื่องความขยัน คุณไม่เคยเห็นกองหน้าคนไหนมีเกินเขาแน่"
"คือแบบนี้ หากนักเตะของผมคนไหนที่สมควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุดไม่ว่าจะเรื่องการงาน ครอบครัว เพื่อนฝูง กาเบรียลจะต้องเป็นหนึ่งในคนๆนั้น เขาคือคนที่ใจกว้างเสมอ และไม่สำคัญเลยว่าคนอย่างเขาจะถูกจับไปเล่นตำแหน่งไหน เพราะนักเตะอย่างเชซุสสู้เพื่อทีมยิ่งกว่าสู้เพื่อตัวเองมากกว่าที่ใครคิด" เป๊ป กล่าว
หลังออกจากพัลไมรัส เชซุส รับตำแหน่งตามที่ เป๊ป บอกทั้งหมด ทั้งในเรื่องของตำแหน่งในสนามไปจนถึงการวางตัวนอกสนามและการถูกกล่าวถึงบนหน้าสื่อ เขากลายเป็นนักเตะของ แมนฯ ซิตี้ ที่พูดถึงน้อยกว่าใคร ทั้งที่ผลงานดีเสมอต้นเสมอปลาย
บทบาทกองหน้าและปีกเบอร์ 2 ในทีม แมนฯ ซิตี้ บทบาทในทีมชาติบราซิลที่ต้องยอมหลบให้นักเตะอย่าง เนย์มาร์ รวมถึงผู้เล่นรุ่นๆเดียวกันอย่าง ริชาร์ลิซอน และ แอนโทนี่ หน้าที่ของเชซุสจึงไม่ได้โดดเด่นจนคนทั่วไปรู้จักเขา แต่หากใครได้ทำงานกับเขา ทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นักเตะแบบเชซุสนี่แหละคือคนสำคัญของทีม เขาคือนักเตะแบบที่ทีมลุ้นแชมป์ทุกทีมต้องมี เป็นคนที่พร้อมลงไปทำหน้าที่เมื่อได้รับคำสั่งจากโค้ช แม้จะต้องเป็นพระรองก็ตาม
อย่างไรก็ดี แม้จะได้รับคำชมและการยกย่องจากเพื่อนร่วมงานขนาดไหน แต่บางครั้งคนเราก็ต้องเลือกสิ่งที่เรียกว่า "โอกาส" ให้กับตัวเองบ้าง หลังจากฤดูกาล 2021-22 จบลง ภารกิจคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 3 ในรอบ 4 ปีลุล่วง และ แมนฯ ซิตี้ เลือกคว้ากองหน้าตัวท็อปของโลกอย่าง เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ เข้ามาเสริมทัพ และแน่นอนว่าดาวยิงชาวนอร์เวย์จะได้รับบทบาทพระเอกในแนวรุกของทีมแน่นอน
ช่วงเวลาดังกล่าวคือช่วงที่เชซุสเริ่มตัดสินใจ และสุดท้ายเขากำลังจะย้ายไปอยู่กับ อาร์เซน่อล พร้อมด้วยบทบาทใหม่ที่เขาไม่เคยพบเจอมาตลอดช่วง 5 ปีหลัง นั่นคือ "พระเอกของเรื่อง" และนี่คือการพิสูจน์ตัวเองครั้งสำคัญของเขาอย่างแท้จริง
พระเอกมือใหม่
แมนฯ ซิตี้ และ อาร์เซน่อล คือสองทีมที่ให้ความรู้สึกต่างกันแบบคนละฟีล ฝั่งเรือใบสีฟ้าคือสโมสรที่เพียบพร้อมทั้งเรื่องการบริหาร ทุนทรัพย์ บุคลากร และมีนักเตะในสนามระดับที่สามารถพร้อมลงสนามทันทีเพราะมีความลงตัวอยู่แล้ว
แต่ที่ อาร์เซน่อล ว่าที่สโมสรใหม่ของเชซุส นี่คือทีมที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้ามาแล้วหลายซีซั่น ไม่เคยมีทีมที่สมบูรณ์แบบมาหลายปี โดยเฉพาะในตำแหน่งกองหน้าที่ไม่เคยมีใครโชว์ฟอร์มได้สม่ำเสมอจริงๆเลยสักคน ยิ่งในฤดูกาล 2022-23 ที่กำลังจะเริ่มขึ้น พวกเขามีกองหน้าตัวเป้าตัวเดียวคือ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ซึ่งหากวัดกันตัวๆกับ เชซุส ก็น่าจะเดาได้ไม่ยากว่า เชซุสจะกลายเป็นกองหน้าตัวหลักของทีมในซีซั่นที่จะถึงนี้อย่างแน่นอน
แมนเชสเตอร์ อีฟนิ่ง นิวส์ สื่อท้องถิ่นระบุว่า เหตุผลที่ เชซุส เลือกย้ายไป อาร์เซน่อล เพราะเจ้าตัววิเคราะห์มาอย่างดีแล้วเพื่ออนาคตของตัวเอง เขาไม่เห็นอนาคตของตัวเองมากนักที่ แมนฯ ซิตี้ ที่ได้ 2 กองหน้าใหม่อย่าง ฮาแลนด์ และ ฆูเลียน อัลบาเรซ ที่ทำให้เขาเห็นโอกาสลงสนามน้อยลง และนั่นจะส่งผลกับการติดทีมชาติบราซิลไปเล่นฟุตบอลโลก 2022 ซึ่งในตำแหน่งของเขา ณ เวลานี้มีตัวเลือกเยอะมาก
"แค่ฮาแลนด์เข้ามาทุกอย่างก็จบแล้วสำหรับเชซุส เขาอายุ 25 ปีแล้ว ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป หากอยากจะก้าวไปอีกระดับเขาต้องเป็นผู้เล่นตัวหลักที่ได้ลงสนาม 90 นาทีเต็มทุกสัปดาห์ และอาร์เซน่อลคือทางเลือกที่จะทำให้เขาได้ขยับจากคำว่าพระรองก้าวขึ้นมาเป็นสตาร์ได้" ไอแซก จอห์นสัน นักข่าวจาก MEN กล่าว
"ที่อาร์เซน่อลมีนักเตะบราซิลเยอะมาก และเขาเองก็เคยร่วมงานกับ มิเกล อาร์เตต้า มาก่อน โอกาสดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว อเล็กซ็องดร์ ลากาแซ็ตต์ จากทีมไป ตอนนี้ก็เหลือแค่เอ็นเคเทียห์คนเดียว เชซุสรู้แน่ชัดตั้งนานแล้วว่าหากเขาเลือกอาร์เซน่อล ตำแหน่งกองหน้าจะเป็นของเขา และเขาจะเป็นตัวเลือกแรกทุกสัปดาห์"
จากนี้ไปที่เหลือจะเป็นหน้าที่ของเชซุสแล้วว่าเขาจะสามารถก้าวขึ้นไปเป็นสตาร์ได้หรือไม่ เขาอาจจะเก่งกาจ รู้จักระบบการเล่น แต่หน้าที่ของเขาในตอนที่เล่นกับ อาร์เซน่อล และ แมนฯ ซิตี้ จะต้องแตกต่างกันออกไปแน่นอน เช่นเดียวกับความคาดหวังที่มากขึ้นด้วย
ที่ แมนฯ ซิตี้ เชซุสเป็นคนที่มีประโยชน์กับเกมรุก ไม่จำเป็นต้องจบสกอร์เองด้วยซ้ำ เพราะระบบการเล่นของทีมกระจายประตูไปสู่นักเตะทุกๆคนแทบทุกตำแหน่ง แต่ที่ อาร์เซน่อล เขาเป็นกองหน้าที่ดีที่สุดที่ทีมมี ณ เวลานี้
เขาต้องเริ่มแคร์เรื่องการยิงประตูมากขึ้น ซึ่งนั่นอาจจะผิดธรรมชาติของเขาที่เป็นคนใจกว้างที่คิดถึงทีมก่อนตัวเองเสมอ ตรงนี้อาจจะมีความเสี่ยงบ้าง เพราะนักเตะบางคนอาจจะมีปัญหาเมื่อถึงวันที่ตัวเองถูกคาดหวังมากที่สุดที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถยกระดับตัวเองได้ อาทิ มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นต้น
แต่อย่างน้อยที่สุด ไม่ว่า เชซุส จะเล่นแบบไหน ก็ถือว่า อาร์เซน่อล ได้นักบอลที่เหมาะสมกับทุกระบบการเล่นและจะเข้ามาช่วยทีมได้แน่นอน เขาเป็นนักเตะที่มีประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีก อยู่ในช่วงอายุที่ดี เคยร่วมงานกับโค้ชมาก่อน มีทัศนคติที่เหมาะสม มีความขยัน เอนกประสงค์เล่นได้หลายตำแหน่ง และสุดท้ายเขาเป็นนักเตะที่มีคุณภาพ
นับเป็นการเสริมทัพที่ยอดเยี่ยมเท่าที่จะเป็นไปได้ของ อาร์เซน่อล ณ เวลานี้อย่างแท้จริง
อัลบั้มภาพ 7 ภาพ