11 คนแรกของ ฟาน ฮัล “ตอกย้ำ” ในวันแดงเดือด
ช่วงประมาณ 48 ชั่วโมงก่อนแมตช์ “แดงเดือด” 22 มี.ค.ที่ผ่านมา มีบทสัมภาษณ์ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่น่าสนใจ 1 หัวข้อเกี่ยวกับที่มาที่ไปของระบบ “3-4-3”
ว่ากันว่า มันเกิดขึ้นตอนแมตช์เยือน บาเซิล แห่งสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อ 2 ต.ค.2014 ซึ่งหงส์แดง บุกพ่าย 0-1 คาเซนต์ จาค็อป ปาร์ค
เกมดังกล่าว “เดลี เมล์” รายงานว่า เปาโล ซูซ่า กุนซือโปรตุกีสของบาเซิล จำต้องปรับกระบวนทัพหลังแบ็คซ้ายคนสำคัญ เบห์รัง ซาฟารี เจ็บจนต้องเปลี่ยนเอามิดฟิลด์ เดอร์ลิส กอนซาเลซ ลงมาเล่นแทนตั้งแต่นาทีที่ 8
งานนั้น ซูซ่าต้องปรับจาก “แบ็คโฟร์” เป็น “แบ็คทรี” 3-4-3 และทำให้ลิเวอร์พูลประสบปัญหาในการรับมือก่อนจะแพ้ในเกมดังกล่าว
จากเหตุการณ์นั้น ร็อดเจอร์ส ถึงกับมี 1 วันนั่งครุ่นคิดในห้องทำงาน ก่อนจะออกมาจากห้องตอน “ตี 3” พร้อมรูปแบบการเล่นใหม่ 3-4-3 ให้หงส์แดงยุคปราศจาก หลุยส์ ซัวเรซ และเกมรับรั่วเป็นท่อน้ำแตก
ผลลัพธ์ยังไม่ประสบความทันที เพราะลิเวอร์พูล แพ้ นิวคาสเซิล 0-1 เมื่อ 1 พ.ย.2014 ในการ “ทดลอง” ครั้งที่ 1 ก่อนจะพ่ายยับ 0-3 ให้แมนฯยูไนเต็ด ในการทดลองหนที่ 2 วันที่ 14 ธ.ค.2014
แต่หลังจากนั้น ระบบแบ็คทรี ได้ดึงสิ่งที่ดีที่สุดออกมาจากเกมรับ โดยเฉพาะ มาร์ติน สเคอร์เทล, เอมเร่ ชาน และมามาดู ซาโก้ หรือกระทั่ง “แจ้งเกิด” ให้ จอร์ดอน ไอบ์
หงส์แดง เก็บชัยชนะ 10 นัด เสมอ 3 และเก็บ “คลีนชีต” ในการไปเยือนใน 6 แมตช์หลังพรีเมียร์ลีก
“ภาพรวม” ก็ไม่แพ้ใคร 23 นัด (ชนะ 16 เสมอ 5) ก่อนจะมาเสียท่าแมนฯยูไนเต็ด (หากไม่นับที่พ่าย เชลซี และ เบซิกตัส 0-1 ในบอลถ้วย ลีก คัพ และยูโรป้า ลีก)
ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า การค้นพบ และหา “จุดเปลี่ยน” จากการปรับระบบมาเล่น 3-4-3 ไม่นับ ซิมง มิโญเลต์ คืนฟอร์ม, การดร็อป สตีเว่น เจอร์ราร์ด และใช้จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เป็นกัปตันทีม และไม่แพ้ใครจนเกม “แดงเดือด” นัดนี้ ได้ช่วย “คืนชีพ” ซีซั่นนี้ของหงส์แดง
ขณะเดียวกัน แมนฯ ยูไนเต็ด ก็มีเรื่องราวน่าสนใจคล้ายๆกัน
โดยก่อนจะถล่มสเปอร์ส 3-0 แบบสวยสดงดงาม ทั้งผลการแข่งขัน และ “สไตล์” การเล่นในศึกพรีเมียร์ลีก นัดที่ 29
ผมเอง “สับแหลก” หลุยส์ ฟาน ฮัล ใน “หลายมุม” ของการทำทีม และเขียนถึง 3-4 ครั้งก่อนหน้าวันนี้ ที่ทำให้ผมต้อง “รับผิดชอบ” คำพูดตัวเองอยู่เหมือนกัน
1.ฟาน ฮัล ผิดอะไร?, 2.ฟาน ฮัล บ้าไปแล้ว? หรือจะ 3.แมนฯยูฯหมดโควตาเฮง กระทั่งล่าสุด 4.ผีสุดยอด หรือน้องไก่ห่วย!?
หลักๆ ผมชำแหละ สไตล์การเล่นที่ชนะแต่ไม่ประทับใจ หรือแอบ “มีดวง” และประเด็นเรื่องการ “โยนยาว” แถมยังคุยโม้ว่า ไม่ได้โยน!!!
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเล่นไม่เข้าตาขนาดไหน แต่ ฟาน ฮัล และแมนฯ ยูฯ กลับเก็บผลการแข่งขันได้อย่างสุดเหลือเชื่อ โดยเฉพาะหลังจากพลาดพ่ายเลสเตอร์ 3-5 เมื่อ 21 ก.ย.2014
แมนฯ ยูฯ ลงเตะในพรีเมียร์ลีก อีก 25 นัด เก็บชัยชนะได้ 16 นัด เสมอ 6 นัด และแพ้เพียง 3 นัดให้กับแมนฯ ซิตี้, เซาแธมป์ตัน และสวอนซี
ขณะที่บอลถ้วย เอฟเอ คัพ ซึ่งเข้ารอบมาเรื่อย ๆ ในช่วงฟอร์มดีก็เพิ่งมาเสียท่า “แชมป์เก่า” อาร์เซนอล 1-2 ในรอบก่อนรองชนะเลิศ เมื่อ 10 มี.ค.ที่ผ่านมานี้เอง
แต่ “มหัศจรรย์” ครับว่า เกมดังกล่าวกลับนำมาซึ่ง “จุดเปลี่ยน” ที่สำคัญที่สุดในฤดูกาลนี้ของทีมปีศาจแดง
อันนำไปสู่การค้นพบ 11 คนแรกที่ดีที่สุดของ หลุยส์ ฟาน ฮัล!!!
11 คนแรกนัดแพ้ปืนใหญ่ในระบบ 4-3-3 ที่เห็นได้ตอนผู้เล่นยืนในสนาม แต่ดูไม่ออกบน “ทีมชีต” ประกอบด้วย: ประตู - ดาวิด เด เกอา, กองหลัง - อันโตนิโอ บาเลนเซีย, คริส สมอลลิ่ง, มาร์กอส โรโฮ และลุค ชอว์, กองกลาง – เดลีย์ บลินด์, อังเดร เอร์เรร่า และมารูยาน เฟลไลนี่, กองหน้า – เวย์น รูนีย์ โดยมี แอชลีย์ ยัง และอังเคล ดิ มาเรีย ขนาบขวา/ซ้าย
ด้วยฟอร์มกระท่อนกระแท่นในครึ่งแรก และการบาดเจ็บ ลุค ชอว์ ถูกถอดออก และโรโฮ ถูกโยกไปเล่นฝั่งซ้ายอันทำให้ เดลีย์ บลินด์ ต้องถอยมาเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟ
ไมเคิล คาร์ริค ถูกเรียกกลับมาประจำการในแดนมิดฟิลด์แทน บลินด์ ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ ดิ มาเรีย โดนใบแดง
ครับ เกมนั้นแมนฯ ยูฯ แพ้คารัง 1-2 แต่คาร์ริค ทำผลงานได้ดี และการไม่มี ดิ มาเรีย เพราะติดแบนทำให้ ฟาน ฮัล ต้องหันมาใช้ ฮวน มาตา ในแมตช์ถัดมา
นั่นจึงเป็น “ที่มา” ของระบบ 4-4-2 ในแมตช์กับ สเปอร์ส ซึ่งประกอบด้วย: เด เกอา, กองหลัง - บาเลนเซีย, สมอลลิ่ง, ฟิล โจนส์ และบลินด์, กองกลาง – คาร์ริค, เอร์เรร่า และเฟลไลนี่, กองหน้า – รูนีย์ และมาตา กับยัง ขนาบข้าง
ทีมชุดนี้ยัง “รับสูง” และเสียบอลยากขึ้น กับโยนน้อยลง เพราะมาตา เก็บบอลดี และชอบเล่นบอลบนพื้น (เลี้ยงตัดเข้ากลางจากฝั่งขวา) มากกว่า ดิ มาเรีย ที่ชอบโยน และเสียบอลง่าย
ทั้งหมดมีจุด “กำเนิด” จากแมตช์เอฟเอ คัพ ที่แพ้ อาร์เซนอล, ได้ “พิสูจน์” กับสเปอร์ส และ “ตอกย้ำ” กับลิเวอร์พูล ในศึกแดงเดือดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ครับ ตอนนี้ หลุยส์ ฟาน ฮัล ค้นพบ 11 คนแรกที่ “ลงตัว” ที่สุดที่นำพามาซึ่ง “สไตล์” และ “ผลการแข่งขัน”
คลิปไฮไลท์พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล 1-2 แมนฯ ยูไนเต็ด
