ไม่ใช่แค่เพื่อขาย : โมเดลการสร้างนักเตะของอาหยักซ์ สู่เป้าหมายการคว้าตัวของทีมใหญ่
แฟรงกี้ เดอ ยอง, มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์, จัสติน ไคลเวิร์ต, แคสเปอร์ ดอลเบิร์ก, ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค และ ไรอัน คราเฟนแบร์ค ทั้งหมดนี้คือนักเตะที่ อาหยักซ์ อัมสเตอร์ดัม สโมสรดังแห่งเนเธอร์แลนด์ปั้นและขายสู่ยอดทีมแห่งยุโรปตลอด 5 ปีที่ผ่านมา
ตัวอย่างที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 40 ปีของสโมสร กับภารกิจในการสร้างสรรค์นักเตะเยาวชนขึ้นมาประดับวงการลูกหนัง และจนถึงทุกวันนี้นักเตะจากอาหยักซ์ยังคงได้รับความนิยมจากหลายทีมทั่วโลกไม่เสื่อมคลาย
Main Stand จะพาคุณไปดูโมเดลการสร้างนักเตะของอาหยักซ์ที่ไม่ใช่แค่การปั้นเพื่อขาย แต่ยังหมายถึงการสร้างนักเตะตามปรัชญาแทคติกของตัวเอง และเพื่อเป้าหมายสำคัญตลอดหลายสิบปี นั่นคือเป็นกำลังหลักให้กับสโมสร
สร้างเพื่อตอบรับสุดยอดแทคติก
นักเตะเยาวชนของอาหยักซ์ในปัจจุบันอาจเป็นเป้าหมายสำคัญในการซื้อตัวของสโมสรใหญ่ทั่วยุโรป แต่หากย้อนกลับยังจุดเริ่มต้นเมื่อห้าสิบปีก่อน อาหยักซ์เดินหน้าการสร้างระบบพัฒนาเยาวชนภายใต้เป้าหมายเดียวเท่านั้นคือสร้างนักเตะที่สมบูรณ์แบบสำหรับ อาหยักซ์ อัมสเตอร์ดัม
แนวคิดในการสร้างนักเตะเยาวชนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของอาหยักซ์โดยเฉพาะเกิดขึ้นจากความสำเร็จของสโมสรในช่วงทศวรรษ 60s หลัง ไรนุส มิเชลส์ ผู้จัดการทีมระดับตำนานของสโมสร คิดค้นแผนการเล่น 4-3-3 ที่ผู้เล่นสามารถสลับตำแหน่งกันได้ตลอดเวลา เมื่อบวกกับการจ่ายบอลและการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว นี่คือระบบที่สมบูรณ์แบบจนถูกเรียกว่า โททัลฟุตบอล
ความสำเร็จของระบบโททัลฟุตบอลส่งผลให้อาหยักซ์เลือกจะยึดถือระบบ 4-3-3 เป็นแผนการเล่นประจำสโมสร แม้ ไรนุส มิเชลส์ จะโบกมือลาทีมหลักคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ในปี 1971 แต่ความยิ่งใหญ่ของทีมกลับไม่หยุดลงแค่นั้น พวกเขาสามารถคว้ายูโรเปี้ยน คัพ มาครองติดต่อกันอีกสองสมัยในปี 1972 และ 1973 เนื่องจากโททัลฟุตบอลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณแห่งอาหยักซ์ไปแล้วเรียบร้อย
บุคคลสำคัญอีกรายที่มีส่วนช่วยให้โททัลฟุตบอลไหลเวียนในอาหยักซ์แม้มิเชลส์จากไปคือ โยฮัน ครัฟฟ์ ยอดเพลย์เมกเกอร์ชาวดัตช์ที่เป็นเด็กปั้นของสโมสร ซึ่งหลังจากประสบความสำเร็จมหาศาลกับอาหยักซ์ครัฟฟ์ก็ย้ายไปเล่นให้กับบาร์เซโลน่า และเริ่มพัฒนาแนวคิดฟุตบอลของตัวเองขึ้นมาที่นั่น ก่อนจะกลับมาเริ่มต้นบทบาทผู้จัดการทีมกับอาหยักซ์ในปี 1985
เช่นเดียวกับอาจารย์ของเขา ครัฟฟ์สร้างแทคติกฟุตบอลเกมรุกที่ไม่เหมือนใครของตัวเองขึ้นมา เป็นระบบ 3-4-3 ที่ต้องการความยืดหยุ่นในแผงหลัง ด้วยเหตุนี้นักเตะในตำแหน่งอื่นจึงต้องมีคุณสมบัติตามที่ครัฟฟ์ต้องการเพื่อจะเล่นในแผนนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นกองกลางตัวรับที่ควบคุมพื้นที่หน้ากองหลังได้ทั้งหมด, กองกลางสองคนที่บัญชาเกมกลางสนาม, ปีกติดริมเส้นฝั่งละหนึ่งคน, กองหน้าตัวต่ำ และกองหน้าตัวเป้าอีกหนึ่งคน
แม้จะวางแผนสลับซับซ้อนแค่ไหน แต่ไม่มีทางที่อาหยักซ์จะค้นหานักเตะเหล่านี้ได้พร้อมกันในเวลาเดียว พวกเขาจึงลงมือ "สร้าง" นักเตะที่สโมสรต้องการขึ้นมาด้วยตัวเอง นี่คือจุดเริ่มต้นของการสร้างนักเตะเยาวชนที่มีประสิทธิภาพของอาหยักซ์ ภายใต้รากฐานจากแทคติกของมิเชลส์และครัฟฟ์
"เราลงทุนไปกับการสร้างซูเปอร์สตาร์แห่งอนาคตมาเสมอ นอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญกับการเป็นสโมสรระดับแถวหน้าของยุโรป เพราะนั่นคือพื้นที่ซึ่งเราสมควรจะอยู่" ฟาเบียน นักท์ซาม ผู้อำนวยการฝ่ายแฟนบอลของอาหยักซ์ กล่าว
แม้ครัฟฟ์จะไม่ได้อยู่เห็นความสำเร็จที่เขาสร้างด้วยตัวเอง เนื่องจากย้ายไปคุมบาร์เซโลน่าตั้งแต่ปี 1988 แต่นักเตะเยาวชนที่สโมสรปั้นมาเพื่อสอดรับกับแทคติกของเขา ทั้ง แดนนี่ บลินด์, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ, แฟรงค์ เดอ บัวร์, โรนัลด์ เดอ บัวร์, พาทริค ไคลเวิร์ต, มาร์ค โอเวอร์มาร์ส, เอ็ดการ์ ดาวิดส์ และ เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ ได้กลายเป็นส่วนสำคัญที่พาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 4 ของสโมสร ในปี 1995
ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จในการสร้างเยาวชนของอาหยักซ์อย่างแท้จริง เพราะพวกเขาสามารถสร้างนักเตะที่สอดรับกับแทคติกอันมีความสลับซับซ้อน ก่อนก้าวไปคว้าความสำเร็จระดับทวีปได้ด้วยตัวเอง นับจากวันนั้นเป็นต้นมาอาหยักซ์จึงยังคงยึดโครงสร้างที่มิเชลส์และครัฟฟ์วางไว้ให้ในการปลุกปั้นนักเตะเยาวชนฝีเท้าดีอีกมากมายขึ้นมาประดับวงการลูกหนัง
กำลังหลักของทีมตลอดมาและตลอดไป
เมื่อกล่าวถึงสี่หลักการที่อาหยักซ์ใช้เพื่อพัฒนานักเตะรุ่นเยาว์ของพวกเขา แทคติก, สติปัญญา, หลักการ และทักษะ ทั้งหมดคือหัวใจที่สโมสรปลูกฝังให้เยาวชนของทีมได้เรียนรู้ตั้งแต่วัยเยาว์ ซึ่งนั่นจะส่งผลให้พวกเขาสร้างนักเตะที่ไม่เพียงทักษะดีมีพรสวรรค์แต่ยังเข้าใจระบบการเล่นของกีฬาฟุตบอลเป็นอย่างดี
การปล่อยนักเตะดาวรุ่งออกสู่ตลาดโลกด้วยมูลค่ามหาศาลถือเป็นผลพลอยได้สำคัญจากการสร้างนักเตะรุ่นเยาว์ด้วยหลักการนี้ อย่างไรก็ตามอาหยักซ์ไม่เคยหลงทางจากรากเหง้าของพวกเขา สโมสรไม่เคยบอกว่า "เราจะปั้นนักเตะเพื่อส่งออก และไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น" การสร้างนักเตะเยาวชนของอาหยักซ์ยังคงมีใจความสำคัญเหมือนที่เคยเป็นมา นั่นคือสร้างนักเตะเหล่านี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมในปัจจุบัน
"อาหยักซ์มีประเพณีและกลิ่นอายที่แตกต่างออกไปจากสโมสรอื่น ฟุตบอลไม่ใช่แค่การวิ่งไปทั่วสนาม นักเตะทุกคนที่นี่ต้องการจะเล่นกับบอลและไม่มีใครกลัวที่จะทำแบบนั้น แต่ละปีคุณจะเล่นด้วยแทคติกเดิม ๆ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่คุณจะก้าวสู่ทีมชุดใหญ่" คริสเตียน อีริคเซ่น เพลย์เมกเกอร์ชาวเดนมาร์ก กล่าวยกย่องระบบที่ปั้นเขามาขึ้นเป็นยอดนักเตะในปัจจุบัน
ปัจจุบันอาหยักซ์ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนในหน้าเว็บไซต์ของอคาเดมีสโมสรว่า พวกเขาจะฝึกนักเตะให้เล่นตามระบบ 4-3-3 โดยฟุตบอลของพวกเขาต้องเป็นฟุตบอลที่น่าดึงดูดใจ, เน้นเกมรุกเป็นสำคัญ, มีความสร้างสรรค์, มีความรวดเร็ว และหลากหลาย รวมถึงเน้นการเข้าไปเล่นฟุตบอลในแดนคู่ต่อสู้ให้ได้มากที่สุด
นี่คือแม่พิมพ์ที่ทำให้นักเตะเยาวชนของพวกเขาจะเป็นกำลังหลักของทีมในทุกยุคทุกสมัย โดยมีนักเตะต่างชาติและแข้งรุ่นเก๋าเป็นส่วนเสริม การเฟ้นหาเยาวชนพรสวรรค์สูงเพื่อนมาปลุกปั้นในอคาเดมีจึงมีความจริงจังเป็นอย่างมาก แมวมองของอาหยักซ์ไม่ลังเลที่จะเดินทางไกลกว่า 200 กิโลเมตรเพื่อไปดูฟอร์มเด็กหนุ่มวัย 12 ปี หากพวกเขาเชื่อว่านักเตะเหล่านี้คือเพชรแท้ที่กำลังตามหา
คริสเตียน อีริคเซ่น, ยาน แฟร์ตองเกน และ โทมัส แฟร์มาเลน ล้วนเป็นนักเตะต่างชาติที่ถูกค้นพบโดยแมวมองของอาหยักซ์ ก่อนถูกนำมาปลุกปั้นจนเป็นซูเปอร์สตาร์ของโลกลูกหนังในเวลาต่อมา ซึ่งกว่าที่นักเตะเหล่านี้จะถูกคัดเลือกเข้าสู่ทีมเยาวชนของอาหยักซ์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพวกเขาต้องถูกจับตาการพัฒนาโดยสโมสรอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของระบบทีมจึงจะได้ย้ายสู่กรุงอัมสเตอร์ดัม เพื่ออาศัยอยู่กับครอบครัวบุญธรรมของพวกเขา
การเฟ้นหาช้างเผือกในวงการฟุตบอลอย่างตั้งใจไม่ใช่เพียงกุญแจเพียงอย่างเดียวในการพัฒนานักเตะเยาวชนของอาหยักซ์ แต่ยังรวมถึงการโฟกัสไปยังความพร้อมของนักเตะที่จะลงเล่นในทีมชุดใหญ่มากกว่าจะใส่ใจผลงานของพวกเขาในระดับเยาวชน อาหยักซ์ปลูกฝังให้นักเตะรู้อย่างชัดเจนว่าความล้มเหลวในระดับเยาวชนไม่ใช่เรื่องน่าอาย และไม่ใช่เรื่องผิดบาปหากพวกเขาพลาดแชมป์ลีกในรุ่น U-17
เพราะการคว้าแชมป์ที่แท้จริงของนักเตะเหล่านี้คือการได้ก้าวเป็นส่วนหนึ่งของทีมอาหยักซ์ชุดใหญ่ และสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความสำเร็จของสโมสร นักเตะเยาวชนของอาหยักซ์จึงเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามความผิดหวังตั้งแต่เด็ก นำมาสู่หัวใจที่เตรียมพร้อมจะรับความกดดันและกล้าเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ต้องเจอในฟุตบอลระดับสูง
"ทุก ๆ สองสามปีคุณจะมีกลุ่มดาวรุ่งพรสวรรค์สูงในทีม เมื่อรวมพวกเขาเข้ากับนักเตะประสบการณ์สูงอย่าง บลินด์ หรือ ทาดิช รวมถึงนักเตะที่เราซื้อเข้ามาแบบ เนเรส มันคือการสร้างทีมที่น่ามหัศจรรย์ขึ้นมาให้ทุกคนได้ชม" เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ ซีอีโอของอาหยักซ์ กล่าว
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้อาหยักซ์สามารถผลิตนักเตะชุดใหม่ขึ้นมาส่งออกไปยังตลาดโลกได้อย่างต่อเนื่อง เพราะพวกเขาโฟกัสไปที่การสร้างดาวรุ่งเพื่อเป็นกำลังหลักของทีมที่ประสบความสำเร็จ ยกตัวอย่างเช่น ทีมชุดในช่วงปี 2016-19 ที่ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูโรป้า ลีก และรอบรองชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
ความสำเร็จระดับนี้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้แข้งตัวหลักของทีมอย่าง แฟรงกี้ เดอ ยอง และ มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์ ได้รับความสนใจจากทีมระดับแถวหน้าของยุโรป และเมื่อถึงเวลาที่สโมสรรู้ว่าต้องขายพวกเขาออกจากทีมเพื่อหมุนหาเงินมาเป็นงบประมาณในการปั้นนักเตะรุ่นต่อไป ทั้งสองจึงกลายเป็นสมาชิกของ บาร์เซโลน่า และ ยูเวนตุส ตามลำดับ
"ทุกคนที่อาหยักซ์มีเพียงเป้าหมายเดียว คือการสร้างนักเตะรุ่นเยาว์ให้กลายเป็นผู้เล่นระดับโลก คุณไม่สามารถจินตนาการได้หรอกว่าโค้ชทีมเยาวชนของเราภาคภูมิใจแค่ไหนเมื่อพวกเขาก้าวสู่ทีมชุดใหญ่ แน่นอนว่าผู้คนมากมายพยายามลอกเลียนความสำเร็จของเรา แต่คุณไม่สามารถลอกเลียนวิธีคิด, บรรยากาศ และกรุงอัมสเตอร์ดัม ได้" เดวิด เอนดท์ อดีตผู้ดูแลทีมอาหยักซ์ กล่าว
ความจริงที่นักเตะของอาหยักซ์ตกเป็นเป้าหมายของทีมใหญ่มาตลอดหลายทศวรรษไม่เคยเป็นมากกว่าผลลัพธ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จจากโมเดลการสร้างนักเตะเยาวชนของสโมสร ซึ่งพวกเขาไม่เคยคิดง่ายเพียงแค่ปั้นนักเตะขายแล้วจบ แต่เป็นการสร้างนักเตะอย่างยั่งยืนจากแทคติกที่ถูกสร้างขึ้นภายในสโมสร สู่การสร้างนักเตะที่ต้องมาเป็นกำลังหลักของอาหยักซ์ ก่อนขายออกในเวลาต่อมา เพื่อนำเงินมาสร้างนักเตะรุ่นใหม่ต่อไป
นี่คือวัฏจักรที่ทำให้อาหยักซ์ยังคงเป็นสโมสรที่สร้างนักเตะระดับแถวหน้าออกมาประดับวงการลูกหนังจนถึงทุกวันนี้ โมเดลการสร้างนักเตะเยาวชนของอาหยักซ์จึงถือเป็นแบบแผนที่สโมสรฟุตบอลทั่วโลกสามารถนำไปปรับใช้ เพราะพวกเขาแสดงให้เห็นแล้วว่าการสร้างทีมฟุตบอลด้วยความสำเร็จที่ยั่งยืนสามารถทำได้ด้วยวิธีใด เพราะอาหยักซ์ทำมันมายาวนานกว่า 40 ปีแล้ว
"อคาเดมีของเราไม่สามารถนิ่งเฉยและคงอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราทำในอดีต เพราะฉะนั้นโค้ชของเราจึงต้องดูแลนักเตะเยาวชนให้พวกเขาได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องการให้นักเตะของเรามีวิธีคิด, ทักษะ และแทคติกที่ยอดเยี่ยม เพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้อาหยักซ์โด่งดัง และมันจะไม่มีวันหายไปจากสโมสรของเรา" แฟรงค์ เดอ บัวร์ อดีตผู้จัดการทีมอาหยักซ์ กล่าวถึงเหตุผลสำคัญที่ทำให้ระบบของอาหยักซ์อยู่ค้างฟ้ามาถึงทุกวันนี้