ซน อึง จอง : แข้งผู้ล้มเหลวที่ใช้บาดแผลสร้างนักเตะเก่งที่สุดของทวีปเอเชีย
ซน ฮึง มิน คือนักฟุตบอลชาวเอเชียยุคปัจจุบันที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย และเขามาได้ไกลถึงวันนี้ก็เพราะ ซน อึง จอง คุณพ่อของเขาที่เคี่ยวเข็ญการฝึกซ้อมอย่างหนักมาตั้งแต่วัยเยาว์
เรื่องราวของ ซน ฮึง มิน ถูกเล่าและบอกต่อมากมายจากความสำเร็จที่เกิดขึ้น แต่ถ้าจะเข้าใจความสำเร็จของนักเตะรายนี้อย่างแท้จริง สิ่งที่น่าสนใจคือความเป็นมาของซนผู้พ่อที่ประสบการณ์ชีวิตส่งให้เขานำมาปรับใช้เพื่อปลุกปั้นลูกชายให้เป็นนักเตะระดับโลก
ซน อึง จอง สร้างนักเตะระดับโลกขึ้นมาได้อย่างไร ติดตามไปกับ Main Stand
แข้งทองอนาคตไกล
หาก ซน ฮึง มิน จะเป็นนักเตะระดับโลกคงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะเขาได้รับสายเลือดความรักฟุตบอลจากพ่อมาเต็มเปี่ยม สำหรับ ซน อึง จอง แม้จะอยู่ในยุคที่ฟุตบอลไม่ใช่กีฬาโด่งดัง แต่เขาก็มีความฝันเดียวเท่านั้นคือการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
เด็กหนุ่มจากซอซาน ดินแดนทางตะวันตกที่ห่างไกลของเกาหลีใต้ ยอมละทิ้งบ้านเกิดตั้งแต่อายุไม่ครบ 15 ปีไปสู่เมืองใหญ่อย่างชุนชอน เพื่อเข้าโรงเรียนที่มีการฝึกสอนฟุตบอล และเริ่มต้นความฝันในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
ซน อึง จอง สร้างชื่อในฐานะกองหน้าตั้งแต่เป็นแข้งเยาวชน ความรวดเร็วและแข็งแกร่งของเขาเป็นที่เลื่องลือ ซึ่งมันช่วยให้เขาได้รับทุนเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย และเมื่อได้รับใบปริญญามา อึง จอง ตัดสินใจเข้ารับการเกณฑ์ทหารในทันที เพื่อให้หลังจากนั้นเขาจะได้เดินหน้าเป็นนักฟุตบอลอย่างเต็มตัว
ซึ่งในระหว่างที่เกณฑ์ทหาร อึง จอง ได้รับเลือกให้เป็นนักเตะภายใต้สังกัดของ ซังมู เอฟซี ทีมของกองทัพบกประเทศเกาหลีใต้ และเป็น ซังมู เอฟซี ที่ทำให้ อึง จอง ได้สัมผัสกับประสบการณ์การแข่งขันฟุตบอลระดับอาชีพเป็นครั้งแรก
หลังจากใช้เวลา 2 ปีกับการเป็นแข้งทหาร ซน อึง จอง ก็ปลดประจำการ และเขาได้รับสัญญาฉบับใหม่จาก ฮุนได ไทเกอร์ หรือ อุลซาน ฮุนได ในปัจจุบันให้เข้าไปเป็นสมาชิกใหม่ของสโมสร
อึง จอง มีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมในปีแรกกับ ฮุนได ไทเกอร์ ด้วยการได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในตำแหน่งกองหน้าของทีม ซึ่งด้วยทักษะการจบสกอร์อันเฉียบคม พร้อมกับความว่องไว ทำให้ อึง จอง ได้ลงเล่นให้กับทีมชาติเกาหลีใต้ชุดสำรองมาแล้ว
อย่างไรก็ตามฟุตบอลพลังสไตล์ อึง จอง ก็นำมาซึ่งผลเสีย เพราะหลังจากเริ่มเล่นในลีกอาชีพไป 3 ปี ร่างกายของ อึง จอง ในวัย 26 ปี ก็เริ่มพัง เขาได้รับบาดเจ็บบ่อย และส่งผลกระทบต่อผลงานในสนาม
สุดท้ายจากหนึ่งในตัวเต็งผู้เล่นทีมชาติเกาหลีใต้ชุดใหญ่ที่จะถูกส่งไปลุยศึกโอลิมปิก เกมส์ 1988 ที่กรุงโซลเป็นเจ้าภาพ ซน อึง จอง กลับไม่ติดทีมชาติไป และกลายเป็นจุดเริ่มต้นความล้มเหลวของแข้งหนุ่มรายนี้
ความล้มเหลวที่เกินรับ
อาการบาดเจ็บกลายเป็นปัญหาสำคัญของ ซน อึง จอง เขาพบว่าความสำเร็จของเขาในการเล่นฟุตบอลมาจากพรสวรรค์ด้านร่างกายไม่ใช่ทักษะในการเล่นฟุตบอล และเมื่อใช้ร่างกายหนักจนเริ่มพังและบาดเจ็บบ่อยครั้ง ผลงานของของเขาก็ตกลงแบบน่าใจหาย
อึง จอง ถูก ฮุนได ไทเกอร์ ปล่อยตัวออกจากทีมจนต้องย้ายไปอยู่กับ ซองนัม เอฟซี ซึ่งไม่ได้ทำให้เขามีโอกาสลงสนามเท่าไหร่นัก
หลังจากที่กลายเป็นนักฟุตบอลระดับตัวสำรองอย่างเต็มตัวด้วยวัยเพียง 28 ปี ซน อึง จอง ก็ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการ เพราะเขามองว่าตัวเองไม่มีทางที่จะก้าวไปเป็นนักเตะระดับแถวหน้าได้อีกแล้ว
“ผมก็เป็นแค่นักฟุตบอลธรรมดาคนหนึ่งที่แค่ได้มีโอกาสไปเล่นกับนักฟุตบอลที่เหมือนกับปีศาจแบบนั้น” ซน อึง จอง เล่าถึงช่วงเวลาที่เขายอมรับชะตาตัวเองและเลือกแขวนสตั๊ดไป
แม้จะมูฟออนจากวงการลูกหนังในฐานะผู้เล่น แต่ในความเป็นจริงฟุตบอลไม่หานไปจาก ซน อึง จอง เขายังคงรู้สึกผิดหวังกับตัวเองอยู่ตลอดเรื่องการเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ล้มเหลว
ความเจ็บปวดที่ทำร้ายผู้ชายคนนี้อยู่ตลอดคือความรู้สึกที่เขามองว่าตัวเองไม่ได้มีเทคนิคฟุตบอลที่ดีอะไร เพราะเมื่ออาการบาดเจ็บพรากความเร็วไป อึง จอง จึงมองว่าตัวเองเป็นแค่แข้งธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรพิเศษเลย
อึง จอง ยอมรับว่าเจ็บใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก เขาเหมือนเป็นนักฟุตบอลสมัครเล่นที่จับบอลไม่เป็น หากเทียบกับแข้งระดับแถวหน้าของเกาหลีใต้
“ตอนผมเล่นอาชีพผมเล่นตำแหน่งกองหน้าทางด้านข้าง แต่ผมพบว่าผมไม่มีทักษะใด ๆ หรือเทคนิคในการใช้เท้าในการหลอกล่อเพื่อเอาชนะผู้เล่นคนอื่นได้เลย ผมรู้สึกเสียดายและเสียใจกับตัวเองมาก” ซน อึง จอง กล่าว
ซน อึง จอง ใช้เวลาว่างไปกับการดูเทปนักฟุตบอลระดับโลกเสมอ โดยเฉพาะลีกบุนเดสลีกา เยอรมัน ที่เขาชอบมากเป็นพิเศษ เขาดูมันเพื่อศึกษาเทคนิคการใช้เท้าของฟุตบอลระดับโลก เทคนิคการควบคุมลูกฟุตบอลในลักษณะต่าง ๆ เพื่อหวังว่าสักวันเขาจะได้สอนนักเตะรุ่นหลังให้มีความสามารถมากกว่าที่เขามี
สร้างทุกคนให้เก่งกว่าตัวเอง
สิ่งที่ อึง จอง ศึกษามาไม่ได้เสียเปล่า เพราะหลังจากที่ลูกชายของเขาอย่าง ซน ฮึง มิน ยืนยันว่าอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ อึง จอง จึงทุ่มเททุกอย่างที่เขาศึกษามาให้กับลูกชายด้วยประสบการณ์ผสมกับการหาความรู้เพิ่มเติม สิ่งสำคัญที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดคือการฝึกการใช้เท้าในการควบคุมลูกฟุตบอล
ด้วยเหตุนี้นี่คือสิ่งที่ทำให้ซนผู้เป็นพ่อสั่งลูกชายของเขาให้เดาะบอลหลายชั่วโมงติดต่อกัน เพราะเขาอยากมั่นใจว่าลูกชายของเขาจะไม่โตไปเป็นแข้งไร้เทคนิค ไร้ลีลา จนไปไม่รอดในสังเวียนฟุตบอลอาชีพ
การฝึกเบสิกทักษะในการเล่นฟุตบอลคือหัวใจสำคัญของการเป็นนักฟุตบอลที่ ซน อึง จอง ยึดมั่นมาตลอด แม้แต่ในปัจจุบันที่เขาเปิดอคาเดมีฟุตบอลของตัวเอง เขาก็ยังยึดหลักเดิมคือให้เด็ก ๆ ฝึกแค่การสร้างทักษะการเล่นฟุตบอลเท่านั้น และจะไม่ให้เด็ก ๆ ลงเล่นแบบเป็นทีมจนกว่าจะอายุ 15 ปี
“สำหรับทีมระดับโรงเรียน พ่อแม่และสโมสรบางแห่งที่ให้เด็กลงทีมแข่งตั้งแต่อายุยังน้อยไม่ได้เกี่ยวกับการพัฒนาเด็กในฐานะนักเตะ แต่พวกเขาสนใจแค่การเอาชนะในเกมและการแข่งขันในระดับท้องถิ่นมากกว่าจะไปโฟกัสที่การพัฒนาของเด็กตั้งแต่พื้นฐาน”
“เราจะไม่ให้เด็กยิงบอลก่อนอายุครบ 15 ปี ทำไมน่ะหรอ ? มันจะทำลายเส้นเอ็นและข้อต่อกระดูกที่เท้าของพวกเขาไง เพราะพวกเขายังไม่โตเต็มวัย ซน ฮึง มิน เองก็ผ่านการฝึกแบบนี้มา และนั่นคือเหตุผลที่ผมไม่ส่งลูกชายลงแข่งทีมตั้งแต่อายุยังน้อย มันคือปรัชญาเดียวกับที่ผมนำมาใช้กับเด็กกลุ่มนี้” ซน อึง จอง กล่าว
นอกจากนี้อีกหนึ่งแนวทางที่ ซน อึง จอง พยายามปลูกฝังให้กับเด็กทุกคน นั่นคือแนวคิดที่อยากพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา และอย่าคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว เพราะหากนักฟุตบอลคิดว่าตัวเองยังเก่งไม่พอก็จะอยากพัฒนาฝีเท้าไปเรื่อย ๆ
แต่ถ้าไปคิดว่าตัวเองพอใจแล้ว นักเตะก็จะไม่สนใจการพัฒนาทักษะให้ดียิ่งขึ้น สุดท้ายก็จะพบว่าสิ่งที่มีอยู่ไม่พอกับการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
"ซน ฮึง มิน ต้องทำงานหนักขึ้นและมีความก้าวหน้ามากขึ้นกว่าที่เป็น ถ้าเขาพอใจกับสิ่งที่ได้มาตอนนี้นั่นเท่ากับวิกฤตกำลังมาเยือน เขาต้องพยายามทำให้ดีขึ้นอยู่เสมอเพื่อให้อยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุดแทนที่จะมีความสุขที่ในจุดที่เขาอยู่” ซนผู้พ่อกล่าวถึงลูกชาย และสะท้อนไอเดียที่เขาต้องการให้ลูกศิษย์ทุกคนพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งความเชื่อนี้ก็ส่งตรงมาจากประสบการณ์จริงของ ซน อึง จอง ที่พลาดที่ไม่ได้ทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมมากพอ จนกลายเป็นความเจ็บปวดของเขามาจนถึงทุกวันนี้
ซน อึง จอง เคยล้มเหลวในเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของตัวเอง แต่เขาไม่ล้มเหลวเลยกับการเรียนรู้จากบาดแผลในอดีตแล้วนำมาสานต่อความฝันให้กับคนรุ่นหลังเขา
หาก ซน อึง จอง ไม่เคยเป็นนักเตะที่ล้มเหลว ซน ฮึง มิน ก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จแบบในทุกวันนี้ และแม้จะยังคงเสียใจกับฝันที่ไปไม่ถึงของตัวเองในอดีต แต่ ซน อึง จอง ก็พูดได้เต็มปากว่า เขาสร้างนักเตะที่เก่งที่สุดของเอเชียขึ้นมาได้สำเร็จ และอาจไม่หยุดแค่ ซน ฮึง มิน ตราบใดที่ปรัชญาการฝึกสอนของเขายังคงดำเนินต่อไป