จงเป็นคน 2 บุคลิก ? : ความลับผงาดคับโลกยิ่งกว่าแชมป์มวยกรงของ "คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์"
หากคุณเป็นคนที่ดูกีฬา MMA หรือศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน ในสถาบันอันดับ 1 ของโลกอย่าง UFC มาโดยตลอด คุณสามารถพูดได้ว่านักชกอย่าง คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ นั้นไม่ใช่นักสู้ที่เก่งที่สุดตลอดกาล
ความสำเร็จของเขาเป็นรอง "ตำนาน UFC" หลาย ๆ คนไม่ว่าจะเป็น อันแดร์สัน ซิลวา, ดาเนี่ยล โครมิเยร์ หรือแม้กระทั่งนักชกในยุคเดียวกับเขาอย่าง คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ ... ทว่า แม็คเกรเกอร์ กลับทำในสิ่งที่ตำนานเหล่านี้ทำไม่ได้ นั่นคือการทำให้ MMA กลายเป็นกีฬาที่แม้กระทั่งคนที่ไม่เคยสนใจยังต้องอยากดูในวันที่เขาขึ้นชก
และนี่คือเรื่องราวความสุดยอดในแบบที่ไม่เคยมีใครทำได้ คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ กับการพาศึกมวยกรงหลุดจากกรอบและสร้างชื่อในฐานะ "ซูเปอร์สตาร์" ผู้สร้างกระแสที่ดีที่สุดตลอดกาลของกีฬานี้
ติดตามได้ที่ Main Stand
รู้จักหนทางของตัวเอง
การจะก้าวขึ้นมาเป็นยอดฝีมือของวงการต่าง ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ สิ่งเหล่านี้วัดกันได้จากการเป็นแชมป์โลกที่มีเพียงหยิบมือเท่านั้น หากเทียบกับคนที่พยายามทุ่มสุดชีวิตเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น เรื่องราวของมวยกรงก็เช่นกัน
Photo : www.mmafighting.com
แม็คเกรเกอร์ เริ่มต้นฝึกหัดชกมวยตั้งแต่อายุยังน้อยโดยได้รับการสนับสนุนจากพ่อของเขา ต้นเหตุของการฝึกมวยเกิดจาก แม็คเกรเกอร์ เป็นเด็กที่ก้าวร้าวและมีอารมณ์รุนแรง พ่อของเขาจึงพยายามจะให้การชกมวยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขเรื่องเหล่านั้น ซึ่งมั่นก็ทำได้จริง ๆ แม็คเกรเกอร์ สามารถมีสมาธิกับสิ่งที่ทำในชีวิตประจำวัน และเขาก็เริ่มรักในการชกมวยเข้าอย่างจัง ด้วยการเริ่มเป็นสมาชิกของสโมสรมวยระดับท้องถิ่นในกรุงดับลินชื่อว่า Crumlin Boxing Club ตอนอายุ 11 ปี
เรื่องราวหลังจากนั้นชีวิตของเขาก็มีแต่มวยเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งหมด และมันมีจุดเปลี่ยนเล็ก ๆ ที่ทำให้เขาต่างจากนักมวยคนอื่น ๆ ที่เล็งเป้าไปที่การเป็นแชมป์โลก แม็คเกรเกอร์มองหาวิธีการที่จะต่อยอดจากวิชาหมัดมวยของเขา จะมีกีฬาไหนที่ตอบโจทย์ได้ดียิ่งกว่าการชกมวยสากลบ้าง และนั่นทำให้เขาได้เจอกับการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA) ซึ่ง ณ เวลานั้นหลายคนไม่เห็นด้วยกับเขา เพราะเชื่อว่าการเป็นนักมวยสากลนั้นจะสามารถทำเงินได้ดีกว่า และในวงการมวยกรงก็แทบไม่มีนักสู้ชาวไอริชประสบความสำเร็จมากนัก แต่สิ่งที่แม็คเกรเกอร์มองเห็นนั้นข้ามไปอีกสเต็ปหนึ่ง ... เขาเชื่อว่ามวยสากลและมวยกรงกำลังจะเดินสวนทางกัน และเหนือสิ่งอื่นใดคือเมื่อเขาได้ลองฝึกมวยกรงเขาก็รู้สึกว่ามันตอบโจทย์กับร่างกายของเขามากกว่า
"ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามวยสากลคือรักแรกของผมในกีฬาการต่อสู้ ผมเคยมีช่วงเวลาที่ดีกับมัน แต่เห็นว่าศักยภาพของตัวเองเหมาะกับการต่อสู้แบบผสมผสานในกรงแปดเหลี่ยมมากกว่า วันที่ผมเลือกมวยกรงคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ผมรู้ว่าเส้นทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล แต่ผมรู้ว่าวงการมวยกรงจะสวยงามและยิ่งใหญ่มากขึ้นในอนาคตแน่นอน" แม็คเกรเกอร์ พูดถึงเรื่องราวการตัดสินใจในอดีตของเขา
เราไม่รู้ว่าเขาใช้อะไรในการคาดการณ์ แต่บังเอิญว่าในช่วงที่แม็คเกรเกอร์เลือกหันเส้นทางชีวิตไปสู่แวดวงมวยกรงตอนอายุ 18 ปีนั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับ MMA ที่มีชื่อว่า Way of Martial Arts เริ่มวิเคราะห์ว่ามวยกรงกำลังจะเติบโตขึ้นในอนาคต แม้จะยังไม่แซงหน้ามวยสากลในแง่ค่าตัวของนักชก แต่สิ่งที่จะเพิ่มขึ้นคือความนิยม ผู้คนจะติดตามมวยกรงมากขึ้นผ่านการถ่ายทอดสดแบบ Pay Per View (PPV)
"MMA เป็นหนึ่งในกีฬาที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกในแง่ของความนิยม โดยเฉพาะการแข่งขันอย่าง UFC ที่เป็นหัวหอกของวงการ ในช่วง 5 ปีหลังสุดศึก UFC มียอดการขายสิทธิ์ PPV ได้มากกว่า 1 ล้านรายการ นั่นคือตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ... แน่นอนว่ามวยสากลยังคงเป็นกีฬาที่ได้ความนิยมมากกว่าในแง่ของความสากล แต่สิ่งที่สวนทางกันคือตัวเลขของผู้ติดตามในการถ่ายทอดสดมวยสากลและ UFC ... วงการมวยซบเซาแต่ UFC กำลังก้าวหน้า ... หากยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป UFC อาจจะสามารถแซงหน้ามวยสากลได้ในไม่ช้า" นี่คือสิ่งที่ Way of Martial Arts ได้วิเคราะห์เอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าหากมันเป็นเช่นนั้น การเลือกมายังวงการ MMA ของ แม็คเกรเกอร์ ก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องถ้ามองในแง่ของการเติบโต
Photo : www.mmafighting.com
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเขารู้ว่าสไตล์ของเขาไม่เหมาะกับมวยสากลมากนัก Sportskeeda อธิบายว่าโดยธรรมชาติแล้วแม็คเกรเกอร์เป็นนักสู้ที่มีสไตล์การชกที่แตกต่างในเรื่องของการยืนชก เขาเป็นนักสู้ที่มีสไตล์การชกแบบผสมผสานกับ คาโปเอร่า ศิลปะการต่อสู้แบบบราซิล กล่าวคือในแง่ของการป้องกันเขาเป็นคนชอบใช้การหลบหลีกมากกว่าการบล็อกหรือตั้งการ์ด ซึ่งการตั้งการ์ดถือเป็นหัวใจของมวยสากล เพราะการบล็อกนั้นทำได้ง่าย ใช้กำลังน้อยกว่า รวมถึงยังมีประสิทธิภาพมากกว่าเพราะมวยสากลนั้นมีนวมขนาดใหญ่ แต่ใน MMA มีนวมบางกว่า การบล็อกจึงอาจไม่ใช่หนทางที่ดีนัก เพราะการใช้วิธีการบล็อกใน MMA จะป้องกันความเสียหายได้น้อยกว่ามวยสากลนั่นเอง
ขณะที่วิธีการชกของแม็คเกรเกอร์นั้น แม้เขาจะเป็นนักสู้แบบ "มวยหมัด" ที่โดดเด่นในศึก MMA แต่ถ้าเข้าไปต่อยในมวยสากลเขาก็ไม่ได้มีสปีดหมัดที่เร็วมากนัก ดังนั้นการที่หมัดของเขาจะชกคู่ต่อสู้ได้ เขาต้องใช้การโจมตีแบบอื่นช่วย ยกตัวอย่างเช่นการใช้การเตะเพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ และเมื่อคู่ต่อสู้โดนก่อกวนด้วยอาวุธอื่นและเริ่มช้าลง พลังหมัดของเขา โดยเฉพาะหมัดซ้ายจึงกลายเป็นตัวชี้วัดผลแพ้ชนะได้อยู่บ่อย ๆ
วิธีที่เปรียบเทียบง่าย ๆ ที่สุดเพื่อหาเหตุผลว่าทำไม แม็คเกรเกอร์ ถึงเหมาะกับมวยกรงมากกว่ามวยสากลคือการเทียบกับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ทั้งคู่มีน้ำหนักสูสีกันหากดูจากวันที่แม็คเกรเกอร์พีกที่สุด มาเทียบกับช่วงที่ ฟลอยด์ พีกที่สุด แค่วัดเรื่องประสิทธิภาพของการปล่อยหมัดทั้งความหนัก ความเร็ว และการตั้งรับ ก็น่าจะพอทำให้นึกภาพออก เพราะ ฟลอยด์ เป็นมวยที่ได้ชื่อว่าตั้งรับได้ดีที่สุดคนหนึ่งตลอดกาล และทุกการปล่อยหมัดที่ทำให้ ฟลอยด์ เป็นผู้ชนะนั้นมากจากสปีดหมัดที่รวดเร็วในแบบที่ แม็คเกรเกอร์ ไม่มีทางทำตามได้แน่
หากแม็คเกรเกอร์เลือกเอาดีทางมวยสากลแทนมวยกรง เราคงไม่มีทางคาดเดาออกเลยว่าเขาจะไปได้ไกลถึงระดับที่ฟลอยด์ทำไว้หรือไม่ ? แต่ที่สุดแล้วเขาก็เลือกเส้นทางที่เหมาะกับตัวเองมากกว่าอย่าง MMA และสิ่งที่เขาพิสูจน์มาตลอดอาชีพก็ออกดอกผล ทุกคนได้เห็นความยอดเยี่ยมของเขาด้วยตาของตัวเอง และทำให้เห็นว่าการเลือกเส้นทางนี้คือหนทางที่ถูกต้องสำหรับตัวของเขาเองขนาดไหน
กฎของแรงดึงดูด
ทีนี้เราจะไปให้ลึกยิ่งกว่าเรื่องกีฬากันสักหน่อย เว็บไซต์ Bleacher Report ได้เขียนบทความชื่อว่า "ความลับที่ทำให้ แม็คเกรเกอร์ ไปสู่หนทางของชื่อเสียงและโชคลาภเหมือนกับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์"
เนื้อหาภายในบทความเล่าถึงสาเหตุที่แม็คเกรเกอร์กลายเป็นยอดมวยกรงที่แม้แต่คนไม่ดูมวยกรงยังรู้จัก และทำเงินได้มากที่สุดตลอดกาลยิ่งกว่านักสู้ MMA คนไหน ๆ ในโลก โดย B/R เริ่มต้นด้วยการใช้ทฤษฎีชื่อว่า "กฎแรงดึงดูด" (Law of Attraction) ของ ฟินิส ควิมบี้ นักคิดชาวอเมริกัน ในยุคศตวรรษที่ 18 มาอธิบายความโด่งดังของเกรียนไอริชผู้นี้
Photo : weplay.co
กฎแรงดึงดูดประกอบด้วย 3 ข้อ ข้อที่ 1 คือการขอ (Ask) มันคือการตั้งจิตใจให้แน่วแน่ถึงสิ่งที่ตัวเองทำและคาดหวัง การคิดและหมกหมุ่นอยู่กับสิ่งนั้นแบบทุกเมื่อเชื่อวันที่จะทำให้ดึงดูดสิ่งที่ดี ๆ ที่เราหวังให้เข้ามาใกล้ตัวเรามากขึ้น
ข้อ 2 คือ ความเชื่อ (Believe) คือการเชื่อจากก้นบึ้งของหัวใจแบบไม่โกหกตัวเองว่าสิ่งดีจะเกิดขึ้นกับเราในวันหนึ่งอย่างแน่นอน
และข้อ 3 คือ ได้รับ (Receive) คือการยอมรับกับผลลัพธ์ในตอนสุดท้าย ชื่นชมยินดีกับสิ่งที่ได้รับในวันที่สิ่งที่คาดหวังเกิดขึ้นจริง และหากไม่สมหวังก็จงใช้มันไตร่ตรองทบทวนดูว่าเรายังขาดตกบกพร่องสิ่งใดไปบ้าง
กฎเหล่านี้มันเกี่ยวข้องกับความโด่งดังของ แม็คเกรเกอร์ ยังไงน่ะเหรอ ?
แม็คเกรเกอร์คือคนที่ตั้งความหวัง เชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ และแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองอยู่เสมอ คุณคงเคยได้ยินเรื่องราวก่อนที่เขาจะมีชื่อเสียงกับการต่อสู้ชีวิตร่วมกับ ดี เดฟลิน ภรรยาของเขาที่คบหากันมาตั้งแต่อายุ 15 ปี
ในช่วงที่ แม็คเกรเกอร์ ยังเป็นวัยรุ่น เขาไม่ได้เป็นนักสู้มวยกรงที่มีค่าตัวมากมายนัก เขาจึงต้องทำหน้าที่เป็นช่างประปาเพื่อหารายได้หลัก ซึ่งทั้งสองสิ่งไปด้วยกันไม่ค่อยได้ ถ้าอยากจะเป็นที่หนึ่งก็ต้องทุ่มเทเพื่อมันจนถึงที่สุด เรื่องนี้ เดฟลิน เองใช้กฎข้อที่ 2 ของนั่นคือ "เชื่อ" เธอเชื่อในตัว แม็คเกรเกอร์ และเธอยอมเสียสละเป็นคนทำงาน 2 กะ ทั้งการเป็นเด็กเสิร์ฟ พนักงานทำความสะอาด ผู้ช่วยพยาบาล เพื่อหาเงินเป็นหลัก ซึ่งในขณะเดียวกันเธอบอกให้ แม็คเกรเกอร์ ลาออกจากการเป็นช่างประปาและตามฝันการเป็นนักชกมวยกรงของเขา
Photo : www.mmafighting.com
เดฟลินเป็นคนออกค่าใช้จ่ายแทบทุกอย่างในบ้าน เธอออกค่าเข้าโรงยิม ค่าอาหารเสริม ทุนในการเดินทางไปแข่ง และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทุกอย่างของแม็คเกรเกอร์ เพราะเธอเชื่อมั่นในตัวเขาจริง ๆ ว่าแม็คเกรเกอร์จะเป็นคนที่พาทั้งคู่ไปสู่ชีวิตที่ดีกว่านี้ในอนาคตในฐานะนักสู้มวยกรง และสิ่งเหล่านี้เดฟลินใช้เวลาอันยากลำบากถึง 8 ปีเต็ม ๆ
ขณะที่แม็คเกรเกอร์นั้น เมื่อได้เห็นความเสียสละของแฟนสาวซึ่งเป็นที่พึ่งเดียวของเขาในเวลานั้น มันทำให้เขาพยายามอย่างสุดชีวิต ไม่นอกลู่นอกทาง โฟกัสกับหน้าที่ของตัวเอง และเขาบอกเสมอว่าทุกเวทีที่เขาขึ้นชกเขาไม่ได้สู้เพื่อตัวเองเท่านั้น แต่มันคือการต่อสู้เป็นทีมระหว่างเขากับเดฟลินที่เดิมพันด้วยชัยชนะที่มากกว่าแชมป์ แต่มันคือชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และตอบแทนความเชื่อมั่นที่ภรรยามอบให้เขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง
แน่นอนว่าแม็คเกรเกอร์ไม่ใช่นักชกที่เก่งตั้งแต่เกิด 6 ไฟต์แรกในการต่อสู้มวยกรงแบบอาชีพเขาแพ้ถึง 2 ครั้ง นี่เป็นตัวเลขที่เยอะมากหากเทียบกับนักชกแถวหน้าคนอื่น ๆ ที่มีโปรไฟล์สวยมาตั้งแต่เริ่มต้น แต่การเดินทางของ แม็คเกรเกอร์ และ เดฟลิน คือทางยาว พวกเขาผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาถึง 8 ปี ต่างคนต่างทุ่มสุดตัวในหน้าที่ของตัวเอง ดังนั้นทุก ๆ ความพ่ายแพ้คือบทเรียนของแม็คเกรเกอร์ที่พาให้เขาพยายามจะยกระดับตัวเองขึ้นไปอีก
ยกตัวอย่างเช่นการแพ้ 2 ครั้งแรกของเขาให้กับ อาร์เต็ม ซิเตนคอฟ และ โจเซฟ ดัฟฟี่ แม็คเกรเกอร์นั้นตายน้ำตื้นเพราะเป็นคนที่นอนสู้ไม่เป็น เขาแพ้ด้วยการโดนจับซับมิชชั่นทั้งคู่ ไฟต์แรกโดนโจมตีด้วยท่า Kneebar ส่วนอีกไฟต์เป็นท่า Arm-triangle Choke จนเขาต้องตบพื้นยอมแพ้
เขาถูกวิจารณ์ว่าเป็นนักสู้ที่น่าจะโตยากในมวยกรง เพราะในช่วงที่เป็นมืออาชีพใหม่ ๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่ถึงคราวต้องนอนสู้ที่วัดกันด้วยการจับล็อกและการพลิกตัว แม็คเกรเกอร์มักจะออกอาการทันที เพราะการนอนชกคือศิลปะการต่อสู้ที่สำคัญมากเช่นกันสำหรับกีฬานี้ ซึ่งความพ่ายแพ้ 2 จาก 6 ไฟต์แรกก็ทำให้แม็คเกรเกอร์กลับไปแก้ไขสิ่งที่ตัวเองยังขาดตกบกพร่องใหม่อีกครั้ง และหลังจากนั้นอีก 5 ปี (ตั้งแต่ปี 2010 ถึงปี 2015) เขาก็ไม่เคยแพ้ใครเพราะการซับมิชชั่นอีกเลย
Photo : www.mmafighting.com
"ผมสามารถหาข้ออ้างได้เป็นร้อยเป็นพัน แต่ผมแพ้แล้วก็ต้องยอมรับมัน ผมสู้สุดใจแล้วแต่ก็ยังแพ้ แค่นั้นเอง ผมรู้แล้วว่าแพ้เพราะอะไร 1. น้ำหนัก และ 2. การฝึกเทคนิคเฉพาะบางอย่าง ตอนนี้ผมมีโอกาสที่จะแก้ไขมันแล้ว" แม็คเกรเกอร์ กล่าวถึงวิธีรับมือกับความพ่ายแพ้ของเขา
กฎแรงดึงดูดอาจจะเป็นเรื่องจั๊กจี้ เพราะมีการพูดถึงการขอพลังจักรวาลที่จับต้องไม่ได้และดูงมงาย แต่เนื้อแท้หรือแก่นของกฎนี้คือการเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ ลงมือทำอย่างสุดความสามารถ และท้ายที่สุดคือการยอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะในวันที่พ่ายแพ้ จงเรียนรู้มันเพื่อไปสู่หนทางแห่งชัยชนะ
ที่สุดแล้วแม็คเกรเกอร์ก็ก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์ 2 รุ่นของสถาบัน Cage Warriors ในบ้านเกิด ก่อนก้าวสู่เวทีใหญ่อย่าง UFC และคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ ผู้คนในวงการชื่นชมการเติบโตของเขาที่พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว แต่สำหรับแม็คเกรเกอร์ฝันของเขายังไม่จบแค่นั้น เพราะเขาไม่คิดแค่จะเก่งคับวงการ แต่เขาต้องการจะใหญ่คับโลก
หาจุดขาย และกลายเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์
โลกของกีฬาเปลี่ยนไปมาก บางครั้งความเก่งอย่างเดียวก็ไม่พอที่จะทำให้นักกีฬาคนหนึ่งโด่งดังในระดับสากล โลกใบนี้มีนักกีฬามือหนึ่งอยู่มากมาย แต่ตาสีตาสาคนไหนบ้างที่จะรู้จักชื่อแชมป์โลกมวยกรง ? ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ใช่ว่าจะเป็นสตาร์ได้ถ้าไม่สามารถหาจุดขายของตัวเองให้เจอ
อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้น แม็คเกรเกอร์ทำฝันตัวเองสำเร็จด้วยการเป็นแชมป์โลก แต่ว่าการต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ของคน 2 คน หากเขาพอใจแค่กับการเป็นแชมป์โลก แล้วสัญญาที่เขาให้ไว้กับภรรยาของเขาว่าจะมอบชีวิตที่สุขสบายไปตลอดชีวิตเพื่อตอบแทนสิ่งที่เธอพยายามอย่างหนักเพื่อเขามาตลอด 8 ปีล่ะ ใครจะรับผิดชอบ ? ... นี่คือสิ่งที่แม็คเกรเกอร์ตั้งเป็นโจทย์อยู่เสมอ นอกจากจะเป็นแชมป์โลกแล้ว เขาจะเป็นนักทำเงินจากมวยกรงให้รวยล้นฟ้าชนิดที่ว่าใครก็ทำตามไม่ได้
Photo : www.mmafighting.com
"ความฝันของผมคือเป็นแชมป์โลก UFC ที่มีเงินเยอะจนไม่รู้จะเอาไปทำอะไร และผมจะมีชีวิตที่สุดยอด เพื่อลูก เพื่อหลาน" นี่คือสิ่งที่แม็คเกรเกอร์ยืนยันกับความฝันของเขา
เขาเริ่มสร้างจุดขายในแต่ละครั้งของการชก นอกจากวิธีชกที่บ้าเลือดและท้าทายแล้ว เขาสร้างแบรนด์และจุดขายให้กับตัวเองตั้งแต่ยังไม่เดินขึ้นเวทีเลยด้วยซ้ำ ทุกการให้สัมภาษณ์ของเขาเต็มไปด้วยคำพูดที่เสียดสี ท้าทาย หยามเหยียด และติดตลกใส่ฝั่งตรงข้าม ... วิธีนี้เหมือนกับการสร้างชื่อเสียงทางอ้อมของเขาที่เขาใช้มาโดยตลอด
ครั้งที่เขาเป็นแชมป์โลกรุ่นเฟเธอร์เวตของ UFC หมาด ๆ และกลายเป็นที่รู้จัก เขาถูกถามในการสัมภาษณ์ว่า "ใครคือนักสู้ที่เขาคิดว่ารับมือยากที่สุด ?" แม็คเกรเกอร์ทำท่าคิดอยู่นานโข จนกระทั่งผู้สัมภาษณ์ในวันนั้นต้องถามอีกรอบว่า "คุณคิดว่าใครเก่งที่สุดที่คุณเคยเจอ ?" แม็คเกรเกอร์ได้ยินคำนั้นแล้วทำท่าเลิกคิ้ว เอาปากไปจ่อไมโครโฟนแล้วตะโกนว่า "ไอ้คนบ้าแบบนั้นมันมีที่ไหนกันเล่า" ซึ่งก็สร้างความเฮฮาให้กับสื่อกันยกใหญ่
Photo : RTE
การเป็นคนติดกวนติดปั่นทำให้ชื่อของแม็คเกรเกอร์ถูกดันขึ้นบนหน้าสื่อมากขึ้น เพราะทุกครั้งที่เขาพูดและปรากฏตัวมักจะมีอะไรที่สื่อเอามาขายได้เสมอ เขาชอบสงครามน้ำลาย ชอบพูดจาด้วยคำพูดที่หลงตัวเองขั้นสุด และแน่นอนว่าเขาไม่ได้แค่พูดอย่างเดียว แต่เขาทำให้เห็นบนเวทีด้วย
ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดว่า "ผมต้องการท้าทายตัวเองด้วยการทำน้ำหนักขึ้นมาอีกรุ่น เพราะโลกศิลปะการต่อสู้มีพวกขี้ขลาดตาขาวมากไปหน่อย" คำโวของแม็คเกรเกอร์เปรียบเสมือนการโยนขนมปังล่อในบ่อปลา ทุกคนชอบใจและอยากจะเห็นเขาโดนคว่ำสักครั้ง แต่สิ่งที่เขาพูดไว้กลับกลายเป็นความจริง หลังจากคำโวนั้นเขากลายเป็นนักสู้คนแรกในประวัติศาสตร์ที่ครองเข็มขัดแชมป์โลก UFC 2 รุ่น คือรุ่นเฟเธอร์เวตในปี 2015 และไลท์เวตในปี 2016
ยิ่งเป็นแชมป์เขาก็ยิ่งเอาสื่ออยู่หมัด เขาสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองในแบบที่คนดูชอบ เขาใช้ชีวิตในแบบที่ลูกผู้ชายทุกคนอยากเป็นไม่ว่าจะในแง่ของความไม่กลัวใคร ความเท่ในการแต่งตัวที่ดูดีตลอดภายใต้การสร้างแบรนด์ธุรกิจที่เข้าถึงกลุ่มคนดูของเขา เช่นการเป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นอย่าง August McGregor ที่เขาร่วมมือกับ David August หนึ่งในช่างตัดเสื้อที่โด่งดังที่สุดในฮอลลีวูด นอกจากนี้ยังมีแบรนด์วิสกี้ Proper No. Twelve ที่ทำยอดขายได้ถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
โลกธุรกิจเหล่านี้พาเขาไปพบกับเซเลบริตี้คนดังนอกวงการมวยมากมาย ทั้งในวงการฮอลลีวูดอย่าง อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์, ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน, วิล สมิธ, โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ หรือแม้กระทั่งเศรษฐีคนดังของโลกอย่าง อีลอน มัสก์ และคนอื่นอีกมากมายที่พาเขาหลุดไปจากกรอบของมวยกรงและกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
แม็คเกรเกอร์รู้จักตัวเองและรู้จักคนดูของเขาเป็นอย่างดี เขานำเสนอในสิ่งที่คนดูอยากจะเห็น การปากดีท้าตีท้าต่อยกลายเป็นจุดขายของเขา เขาท้าแม้กระทั่ง ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ในช่วงปี 2015 ซึ่งถือเป็นช่วงพีกของทั้งคู่ และบอกว่าอยากชกกับฟลอยด์เพื่อหาคำตอบว่าใครเป็นนักสู้ที่ดีที่สุดในโลกกันแน่ มวยกรง หรือ มวยสากล ?
Photo : www.mmafighting.com
แม้ในปี 2015 พวกเขาทั้งคู่จะไม่ได้ชกกัน แต่คำท้านั้นก็เป็นคำถามในใจของใครหลายคน จนกระทั่งทั้งคู่ได้ข้ามวงการมาชกกันจริง ๆ ในศึกมันนี่ ไฟต์ เมื่อปี 2017 ที่แม้ใครต่อใครจะบอกว่ามันเป็นงานมวยปาหี่ แต่ที่แน่ ๆ งานนั้นคือหนึ่งในศึกมวยสากลที่มีคนดูผ่าน PPV และทำเงินมากที่สุดในโลกตลอดกาล เพียงแค่ไฟต์นั้นไฟต์เดียวแม็คเกรเกอร์ทำเงินไปได้ถึง 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.5 พันล้านบาท)
แล้วคุณจะต้องการอะไรอีก ? เขาทำฝันของตัวเองสำเร็จและมอบชีวิตที่ดีให้กับทุกคนรอบตัวตามที่สัญญาไว้ เรื่องราวทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องฟลุคหรือความบังเอิญ มันคือการทำงานหนักของคน ๆ หนึ่งที่แบกอีกหลายคนไว้เบื้องหลัง การทำให้ตัวเองเก่งขึ้นไปพร้อม ๆ กับการสร้างรายได้มหาศาลของแม็คเกรเกอร์คือของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการวางแผนมาเป็นอย่างดี แม็คเกรเกอร์กลายเป็นนักสู้ 2 บุคลิกที่ได้รางวัลตอบแทนก้อนโตในแบบที่ไม่มีนักมวยกรงคนไหนเคยทำได้
Photo : www.mmafighting.com
เบื้องหน้าเมื่อปรากฏตัวเขาทำตัวเหมือนกับพวกไม่สนใจโลก ไร้ระเบียบวินัย มีแต่ลูกบ้า ใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างจุดขายให้กับตัวเอง ทว่าเบื้องหลังนั้นตรงกันข้าม แม็คเกรเกอร์มีความป็นนักกีฬาที่มีระเบียบวินัยสูง ให้ความสำคัญกับการฝึกซ้อมเป็นอย่างมาก เขาบอกว่าตัวเองไม่สามารถหยุดฝึกซ้อมได้เลย ถ้าไม่ซ้อมเขาจะรู้สึกไม่มั่นใจ และสิ่งที่ทำให้เขามั่นใจเกินตัวต่อหน้าสื่อนั้นก็มาจากการทำงานหนักระหว่างการฝึกซ้อมนั่นเอง
ไม่มีความสำเร็จใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ตั้งเป้าหมายให้ชัด ทุ่มเทให้มาก และทำงานหนักในสิ่งที่ตัวเองยังไม่สมบูรณ์แบบ ... นี่คือแนวคิดที่ทำให้ คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ กลายเป็นนักสู้มวยกรงที่ผู้คนรู้จักไปทั่วโลกแม้กระทั่งคนไม่เคยดูการต่อสู้ MMA อย่างแท้จริง