ภาคสุดท้าย : เปิดความขัดแย้ง EA SPORTS กับ FIFA สู่จุดล่มสลายของเกมตระกูลดัง

ภาคสุดท้าย : เปิดความขัดแย้ง EA SPORTS กับ FIFA สู่จุดล่มสลายของเกมตระกูลดัง

ภาคสุดท้าย : เปิดความขัดแย้ง EA SPORTS กับ FIFA สู่จุดล่มสลายของเกมตระกูลดัง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากพูดถึงเกมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จที่สุดในปัจจุบัน FIFA จากค่าย EA Sports ย่อมเป็นเกมที่สมควรได้รับตำแหน่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะไม่เพียงจะมีแฟนคลับที่คลั่งไคล้เกมนี้อยู่ทั่วโลก นี่ยังเป็นเกมที่สร้างเม็ดเงินมากกว่าพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีให้แก่ผู้สร้าง

แต่ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหน เกมตระกูล FIFA ก็เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแบบไม่ทันตั้งตัว เมื่อ EA Sports เลือกไม่ต่อสัญญากับ FIFA หรือ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ และจะเดินหน้าสร้างเกมฟุตบอลต่อภายใต้ชื่อใหม่ EA Sports FC โดยไม่พึ่งพาองค์กรฟุตบอลชื่อดังอีกแล้ว

Main Stand จะพาไปทำความเข้าใจต้นตอความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายที่ทำให้เกม FIFA ต้องเดินมาถึงจุดจบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

บรรจบกันด้วยความสัมพันธ์ทางธุรกิจ

อธิบายให้เข้าใจกันอย่างชัดแจ้งเลยว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง EA Sports และ FIFA ตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดขึ้นโดยมีเหตุผลอื่นนอกเสียจากเรื่องของธุรกิจเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าหากมองไปยังปี 1993 ที่ EA Sports เริ่มคิดจะทำเกมฟุตบอลเป็นของตัวเอง พวกเขามอง FIFA เป็นเพียงเครื่องมือทำให้เกมฟุตบอลที่กำลังจะเกิดขึ้นติดตลาดเท่านั้น

ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาดังกล่าว EA Sports กำลังโฟกัสไปยังเกมที่สร้างจากกีฬาอันเป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกา เช่น อเมริกันฟุตบอล หรือ ฮอกกี้น้ำแข็ง เนื่องจากตลาดในประเทศค่อนข้างใหญ่และการันตีด้วยฐานแฟนที่แน่นหนา ส่วนเกมกีฬาฟุตบอลนั้น EA Sports อยากจะทำไว้เผื่อเป็นทางเลือก และไม่คิดว่ามันจะประสบความสำเร็จด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ดี EA Sports มีวิสัยทัศน์มากพอที่จะมองเห็นว่าสิ่งใดจะทำให้เกมของพวกเขาขายได้ และคำตอบสำหรับเกมฟุตบอลที่กำลังจะวางขายนี้คือ "การซื้อลิขสิทธิ์มูลค่ามหาศาลจากองค์กรกีฬายักษ์ใหญ่" เหมือนดั่งเช่นที่พวกเขาเคยปั้นเกมอย่าง MADDEN NFL หรือ NHL ให้ติดตลาดได้อย่างรวดเร็ว นั่นเพราะพวกเขาได้ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อนำเครดิต, โลโก้ทีม, ชุดแข่งขันทุกอย่างที่อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของ NFL และ NHL มาใช้งาน

 

ประจวบเหมาะกับที่การแข่งขันฟุตบอลโลกกำลังจะมาจัดที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1994 ทาง EA Sports จึงตัดสินใจเดินทางไปพูดคุยกับ FIFA ถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อนได้ข้อสรุปเป็นการทำข้อตกลงให้ EA Sports สร้างเกมฟุตบอลโดยนำชื่อของ FIFA ไปใช้งานได้ ถือกำเนิดขึ้นเป็นเกม FIFA International Soccer ที่ถูกวางขายเป็นครั้งแรกในเดือนธันวาคมปี 1993

EA Sports เซ็นสัญญาฉบับแรกกับ FIFA เป็นเวลา 5 ปี ก่อนจะขยายสัญญาอีกหลายครั้งในปี 1998, 2006 และ 2013 ซึ่งตลอดเวลาที่ทั้งสองฝ่ายเดินทางร่วมกันในฐานะเกมตระกูล FIFA พวกเขาผ่านร้อนหนาวร่วมกันมาแล้วมากมาย ตั้งแต่วันที่เกมของทั้งคู่ยังเป็นรอง Pro Evolution Soccer ของ Konami จนกระทั่งวันนี้ที่ FIFA กลายเป็นเกมที่สร้างกำไรให้ EA Sports มากที่สุด

แต่ความสัมพันธ์ที่เดินไปเนื่องจากประโยชน์ในแง่ธุรกิจเป็นหลักไม่เคยจีรังยั่งยืน เมื่อสัญญาของ EA Sports กับ FIFA กำลังจะหมดลงในปี 2023 ทั้งสองฝ่ายต่างมองเห็นตรงกันว่า พวกเขาสามารถหาประโยชน์ที่มากขึ้นจากแพลตฟอร์มนี้ได้ โดย FIFA มองว่าพวกเขาควรได้เงินมากกว่าเดิมเนื่องจากการขยายตัวของตลาดดิจิทัล ส่วน EA Sports ก็มองเห็นว่าเกมฟุตบอลของพวกเขาติดตลาดจนอาจไม่ต้องพึ่งพาใครอีกต่อไป

ความกระหายที่จะโกยเม็ดเงินเข้ากระเป๋ามากขึ้นของทั้งสองฝ่าย นำมาสู่ทางแยกที่ทั้งสองเส้นทางไม่สามารถบรรจบกันได้อีกต่อไป เมื่อ EA Sports ประกาศไม่ต่อสัญญากับ FIFA และจะเดินหน้าสร้างเกมฟุตบอลของตัวเองในชื่อ EA Sports FC ตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นไป

แยกทางกันเพราะหาเงินในกระเป๋าได้มากกว่า 

ก่อนอื่นคงต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่ EA Sports และ FIFA จะต่างมองหาผลประโยชน์ที่มากกว่าเข้ากระเป๋าของตัวเองกันทั้งคู่ เพราะเอาแค่ในส่วนของ FIFA พวกเขากลับมองว่าการทำสัญญากับคู่ค้าที่เคยมีความสัมพันธ์ยาวนานถึง 30 ปี กลายเป็นการปิดโอกาสไม่ให้ดำเนินธุรกิจดิจิทัลกับลูกค้ารายอื่น

FIFA จึงขอค่าลิขสิทธิ์ในสัญญาฉบับใหม่เป็นมูลค่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าจากสัญญาฉบับก่อนหน้า นอกจากนี้ยังมีรายงานเพิ่มอีกว่า FIFA อยากจะเซ็นสัญญายาวแค่ 4 ปี เพื่อให้มีการต่อสัญญาฉบับใหม่ทุกรอบฟุตบอลโลก โดย FIFA หวังว่าจะได้เงินจากสัญญาแต่ละฉบับไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะเดียวกัน EA Sports ที่กำลังมั่นใจกับเกมฟุตบอลของพวกเขา หลังเพิ่งทำกำไรมากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2021 ก็ต้องการอิสระมากขึ้นที่จะผลักดันเกมให้เดินหน้าไปในทิศทางใหม่ เช่น การสร้างทัวร์นาเมนต์อีสปอร์ต หรือ NFT (Non-Fungible Token) ที่อ้างอิงจากตัวเกม ซึ่งทั้งหมดนี้ทาง EA Sports อยากทำโดยที่ไม่ต้องมานั่งรอว่า FIFA จะเห็นด้วยหรือไม่

 

ยิ่งไปกว่านั้น EA Sports มองเห็นว่าเหตุผลแท้จริงที่ผู้คนมากมายหันหน้ามาหาเกมของพวกเขา ไม่ใช่เพราะนี่เป็นตัวเกมที่มีแบรนด์ FIFA รับรองอีกต่อไป แต่เป็นเพราะระบบเกมที่พวกเขาสร้างขึ้นมามัดใจผู้คนได้สำเร็จ เช่น FUT หรือ FIFA Ultimate Team โหมดสร้างทีมในฝันที่ดูดสตางค์คนเล่นมหาศาลทุกปี ตลอดจนการทุ่มเงินซื้อลิขสิทธิ์ชื่อทีมและชุดแข่งขัน ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของ FIFA เลย ดังนั้นหากขาด FIFA ไป เกมฟุตบอลซีรีส์ใหม่ของ EA Sports ก็จะไม่เสียประโยชน์ตรงนี้อยู่ดี

ด้วยเหตุนี้ EA Sports FC จึงจะยังคงก้าวต่อไปโดยมีการใช้งานนักเตะ 19,000 คน, 700 ทีมฟุตบอล และ 30 ลีกฟุตบอลอย่างถูกลิขสิทธิ์ โดยตอนนี้พวกเขายืนยันแล้วว่าได้มีการเซ็นสัญญากับ พรีเมียร์ลีก, ลา ลีกา และ สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า เข้ามาเป็นพันธมิตรอย่างถูกต้องแล้ว

ถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่า EA Sports เหมือนจะยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองได้ตั้งนานแล้ว เหตุใดจึงเพิ่งมาตัดความสัมพันธ์กับ FIFA เอาป่านนี้ ? ความจริงคือหากเลือกได้ EA Sports ก็อยากจะต่อสัญญากับ FIFA ต่อไป เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าอย่างไรเกมฟุตบอลของพวกเขาจะต้องได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อยจากการหายไปของชื่อ FIFA หรืออาจถึงขั้นไม่สามารถประสบความสำเร็จเท่าเดิมได้อีกเลยด้วยซ้ำ แต่หลังการเจรจานาน 6 เดือนไม่เป็นผล ทุกฝ่ายจึงต้องเดินหน้าต่อไป

ทั้งนี้ EA Sports มั่นใจว่าสิ่งสำคัญที่พวกเขามีอยู่ในมือนั่นคือ "เกมที่มีคุณภาพ" และมันจะทำให้เกมฟุตบอลซีรีส์ใหม่ของพวกเขาเดินหน้าต่อไปได้ เพราะในอดีตเคยมีกรณีที่ SI หรือ Sports Interactive ผู้พัฒนาเกม Championship Manager หรือ CM เลือกแยกทางจาก Eidos ผู้จัดจำหน่ายเก่า และมาสร้างเกมซีรีส์ใหม่อย่าง Football Manager หรือ FM แทนในปี 2003 ซึ่งในปัจจุบันทุกคนคงรู้ดีแล้วว่า FM ของ SI ที่ปัจจุบันอยู่ในเครือ Sega เป็นฝ่ายคว้าชัยชนะเหนือ Eidos ที่ได้ชื่อ CM ไปใช้ เพราะสุดท้ายชื่อเกมที่ติดหูไม่เคยสำคัญไปกว่าคุณภาพของเกมแต่อย่างใด

 

EA Sports จึงมั่นใจอย่างมากว่าพวกเขาจะเดินหน้าต่อไปได้แม้ไม่มี FIFA อยู่เคียงข้างเหมือนเคย เนื่องจากคุณภาพของเกมที่ถูกพัฒนาตลอด 30 ปีจนกลายเป็นมาตรฐานของวงการเกมกีฬาไปเสียแล้ว เมื่อบวกกับความจริงที่พวกเขาจะได้อิสระมากขึ้น แถมยังได้ประหยัดเงินอีกมากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์ ไม่มีอะไรที่ทำให้ EA Sports ต้องลังเลในการเดินหน้าเกมฟุตบอลของตัวเองต่อไปภายใต้ชื่อใหม่ที่ไม่ใช่ FIFA

ทางกลับกัน FIFA ที่เสียเชิงเล็กน้อยจนต้องรีบออกมาบอกว่า FIFA คือแบรนด์ระดับโลกเพียงแบรนด์เดียวสำหรับเกมลูกหนังและยังคงเป็นต้นตำรับของแท้แน่นอน แต่ความจริงคือ FIFA ไม่มีความจำเป็นต้องกลับไปง้อ EA Sports แม้แต่น้อย เพราะแตกต่างจากฝ่ายผลิตเกมที่มีเหตุผลนับล้านให้คิดก่อนการตัดสินใจ FIFA ก็สามารถโฟกัสไปที่เรื่องเดียวคือ เงิน เท่านั้น

เมื่อ EA Sports ไม่สามารถวางเม็ดเงินที่ FIFA ต้องการได้ พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำธุรกิจร่วมกันอีกต่อไป เพราะถึงอย่างไรเสียสิ่งหนึ่งที่ EA Sports ไม่สามารถแตะต้องได้อีกต่อไปคือ ฟุตบอลโลก ทัวร์นาเมนต์ที่มูลค่าสูงที่สุดในโลกฟุตบอล เพราะฉะนั้น FIFA จึงสามารถโกยเงินมหาศาลเพียงแค่การขายลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกให้ผู้ผลิตเกมเจ้าใหม่ไปหยิบจับดัดแปลงโดยไม่ต้องพูดถึงเรื่องการกำเนิดใหม่ของซีรีส์ FIFA เลย

มีธุรกิจอีกมากมายนอกวงการเกมที่จ่ายเงินมหาศาลให้กับ FIFA ในขณะนี้ จึงไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องยอมลดค่าตัวเพื่อร่วมงานกับ EA Sports ต่อไป แต่ถึงอย่างนั้น FIFA ต้องยอมรับความจริงว่าตัวเองกำลังสูญเสียรายได้ตรงนี้ไป ซึ่งขณะนี้ดูเหมือนว่า FIFA จะต้องมองหาเงินทดแทนจากธุรกิจในวงการอื่นไปก่อน เพราะคาดการณ์เอาไว้ว่ากว่า FIFA จะสามารถหาผู้ผลิตเกมเจ้าใหม่เข้าเดินหน้าเกมซีรีส์เดิมต่อได้ก็น่าจะต้องรอถึงปี 2024 เป็นอย่างน้อย

 

ความสัมพันธ์ที่ยุติลงของ EA Sports และ FIFA จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ในแง่ของธุรกิจ เพราะต่างฝ่ายต่างอยากได้ผลประโยชน์ที่เพิ่มมากขึ้นกันทั้งคู่ ดังนั้นแล้วหากจะพูดว่าเหตุผลที่ทั้งสองฝ่ายต้องแยกทางกันเพราะมองทางไหนก็ไปต่อไม่ได้จริง ๆ คงจะไม่ผิดนัก

ส่วนคนดูอย่างเราก็ไม่ต้องกังวลจนเกินไป เพราะเหมือนที่ EA Sports มั่นใจว่าตัวเกมจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีคุณภาพ แฟนฟุตบอลจึงสามารถมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าเกมลูกหนังที่เรารักจะไม่เปลี่ยนโฉมมากจนเกินไป และถ้าหาก EA Sports FC ไม่สามารถสร้างความพึงพอใจได้ก็ยังมีเกมในตระกูล FIFA กลับมาใหม่ในอนาคต

นี่จึงเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเกมฟุตบอลอย่างแน่นอน ส่วนใครจะคุ้มมากกว่าจากการแยกทางครั้งนี้ระหว่าง EA Sports และ FIFA สักวันเวลาจะให้คำตอบกับเรา

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook